เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 33 ทุกที่เต็มไปด้วยคนโศกเศร้า
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าการต่อสู้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นที่ฉางอัน แต่ใครจะคิดล่ะว่าทั่วทั้งฉางอันกลับสงบเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าคน ระหว่างพระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋านั้นแม้แต่ทะเลาะวิวาทกันยังไม่มี พระภิกษุยังคงทำพิธีของตัวเองต่อไป ส่วนนักบวชลัทธิเต๋ากลับกำลังยุ่งอยู่กับการเอาเครื่องรางให้กับราษฎร นักบวชลัทธิเต๋าผมหงอกบางคนก็ถือแส้ขนหางจามรี เดินทางไปรักษาคนป่วยที่ไม่มีปัญญารักษาอาการป่วยของตัวเองในที่ต่างๆ และแม้แต่ยาก็เอาให้ไปฟรีๆ อย่างใจกว้าง
ซุนซือเหมี่ยวยืนกรานว่าจะกลับไปที่สำนักเล็กๆ ของตัวเอง ยังจะไม่กลับไปที่เขาอวี้ซัน เห็นเขาเดินเข้าไปในสำนักตามลำพัง อวิ๋นเยี่ยก็สั่งให้หลิวจิ้นเป่าพาองครักษ์มาเฝ้าข้างนอกสำนักด้วยความเป็นห่วง หากมีการเคลื่อนไหวอะไรเล็กๆ น้อยๆ ต้องรีบรายงานทันที เขาจะนำกำลังพลมาที่นี่ทันที
อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะจัดการเสร็จได้ไม่นาน กองทัพของแม่ทัพองครักษ์เวยเว่ยฝ่ายขวาก็มาถึงอย่างรวดเร็ว แม่ทัพผู้มีสีหน้ามืดมนขับไล่ทุกคนออกไป เมื่ออวิ๋นเยี่ยเอาป้ายห้อยเอวออกมาให้เขาดู บอกเขาว่าตัวเองคือท่านโหว แม่ทัพคนนั้นก็ไม่ได้ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย แม่ทัพองครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้ายและเเม่ทัพองครักษ์เวยเว่ยฝ่ายขวาเป็นศัตรูกันมาตลอด จึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใคร
หลี่ซื่อหมินจัดการได้ไม่เลว ไม่ต้องพูดถึงการส่งทหารไปกว่าร้อยนาย ถึงแม้ว่าจะมีทหารแค่คนเดียวที่คอยคุ้มกันซุนซือเหมี่ยวอยู่ที่หน้าประตู เหล่าพระภิกษุก็คงไม่กล้าเข้ามา
พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ซื่อหมินยังคงดำเนินต่อไป ได้ยินมาว่าต้องใช้เวลากว่าแปดสิบเอ็ดวันถึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจที่จะไปหาแม่ทัพองครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้าย ไปแอบฟังข่าวคราว ฉางอันเงียบสงบผิดปกติเกินไป หลังจากเข้าไปในค่ายทหาร เขาก็เห็นแม่ทัพแปลกหน้ามากมาย แม่ทัพที่คุ้นเคยกันไม่ถูกย้ายไปที่อื่นก็ถูกย้ายไปเป็นขุนนางนักปราชญ์ เหล่าไล่ยืนถือข้าวของของตัวเองอยู่ที่ทางเข้าค่าย เขาทักทายอวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ท่านโหว ท่านมาที่นี่ทำไมกันขอรับ เฉิงไซว่ย้ายไปเป็นจู้กั๋วเสียนแล้ว ต่อไปเขาคงไม่ได้ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของของกองทัพแล้ว ต้องกลับมารับตำแหน่งใหม่เท่านั้นถึงจะสามารถเคลื่อนย้ายกองทัพได้อีกครั้ง ตอนนี้แม่ทัพของเราคือแม่ทัพตู้ ท่านมาหาเขาหรือ”
“เหล่าไล่ เจ้าจะย้ายข้าวของไปที่ไหนกัน ข้าจำได้ว่านอกจากสู้รบตบมือแล้วเจ้าก็ทำอะไรไม่เป็น เจ้าจะไปอยู่ที่ไหนกัน” ประโยคเดียวทำเอาชายแข็งแกร่งที่ถูกแทงสามทียังไม่รู้สึกอะไรถึงกับเบ้าตาแดง
“ท่านโหว ท่านก็รู้ว่าจุดจบของทหารเป็นเช่นไร จะให้ข้าไปสู้รบตบมืออะไรข้ากล้าไปหมด ตอนนั้นแม่ทัพตู้กำลังจะทำการทดสอบศิลปะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าข้าจะอ่านออกเพียงสองสามตัวอักษร แต่อะไรพวกนั้นมันคือคู่ต่อสู้ของตุ๊กตา เมื่อสองกองทัพต้องต่อสู้กัน แน่นอนว่าแม่ทัพต้องรู้หนังสือและมีฝีมือ แต่ทหารอย่างข้า ก็แค่ทำตามคำสั่งของแม่ทัพ ดูแลเหล่าสหาย ต่อสู้จนสุดชีวิตไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องถามข้าเรื่องเสบียงอาหารและทรัพยากรทหาร เหตุใดข้าต้องรู้ว่าวันใดวันหนึ่งของเดือนพระจันทร์อยู่ที่ไหน กองทัพทหารกว่าหนึ่งพันห้าร้อยนายเป็นแนวหน้าที่ดีที่สุดในการต่อสู้ เป็นแนวหลังที่ดีที่สุดในการป้องกัน นี่คือการสอบในสนามรบ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เหตุใดข้าต้องรู้เรื่องพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวด้วย ข้าถามไปสองคำ จู่ๆ ข้าก็ถูกไล่ออกมาจากค่าย ท่านโหว ท่านช่วยข้าด้วย ครั้งนี้ปล่อยข้าไปเถิด ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
มองดูลูกผู้ชายที่คุกเข่าร้องไห้โฮอยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก หลี่ซื่อหมินกำลังปรับปรุงกองทัพของตัวเอง ยกย่องเหล่าแม่ทัพเดิมให้สูงขึ้น แล้วค่อยส่งคนไปยึดค่าย ไม่มีการสนับสนุนจากเหล่าแม่ทัพ เช่นเดียวกับกุ้งน้อยอย่างเหล่าไล่และคนอื่นๆ ก็ต้องถูกคนอื่นจัดการไปเช่นนั้นหรือ
หลี่ซื่อหมินคิดว่ามีระเบิดก็สามารถชนะการทำสงครามได้ทุกครั้งจริงๆ หรือ ไม่ต้องการผู้กล้าเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว? ไม่แน่หรอก ตอนนี้ระเบิดยังคงอยู่ในสภาพเริ่มต้น หากพูดความจริงที่ไม่น่าฟังก็คือมันไม่ได้น่าเกรงขามขนาดนั้น ตอนแรกมันอาจจะทำให้ศัตรูหวาดกลัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกิดสงครามบ่อยขึ้น ไม่ช้าก็เร็วศัตรูก็จะรู้จักระเบิดอย่างชัดเจน ถึงตอนนั้นหากขาดเหล่านักรบผู้กล้าไป จะจัดการกับศัตรูที่รู้จักและเข้าใจในระเบิดอย่างไรกัน
คนอื่นไม่รู้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รู้? ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์ปืนขึ้นมา คันธนูและลูกธนูยังคงเป็นอาวุธหลักที่ขาดไม่ได้ ส่วนปืนนั้น ต้าถังในตอนนี้ยังมีทองแดงสำหรับใช้ทำเหรียญทองแดงไม่พอเลย จะมีส่วนที่หลงเหลือพอไปทำปืนใหญ่ได้เช่นไร อีกอย่างคือปืนใหญ่จำเป็นต้องใช้เทคนิคมากมาย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าไม่มีใครมีความสามารถพอจะสร้างปืนใหญ่ด้วยวิธีดึกดําบรรพ์
แท่งเหล็กที่ตัวเองทำขึ้นมา ตีเป็นมีดสองสามเล่มยังพอไหว แต่หากทำเป็นปืนใหญ่ ร้อยครั้งจะประสบความสำเร็จเพียงหนึ่งก็ถือว่าเป็นพรจากบรรพบุรุษของตระกูลหลี่แล้ว และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือหลังจากที่ทำขึ้นมาแล้ว จะยังไม่รู้ว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี ฟองและรอยร้าวที่เกิดขึ้นระหว่างการทำล้วนแต่อยู่ข้างใน ในยุคที่ไม่มีเครื่องตรวจจับที่ละเอียด ทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น
รอให้เหล่าไล่ร้องไห้ไปได้พอสมควรแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับเขาว่า “ร้องไห้ทำไม แม่ทัพองครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้ายมีคนแบบเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อยู่ที่นี่ไม่ได้ก็ไปอยู่ที่อื่นเสีย เหล่าตู้ไม่ต้องการเจ้า นั่นเพราะเขาตาไม่ถึง ล้วนแต่เป็นชายชาติทหารด้วยกันทั้งนั้น เช่นนั้นเจ้าก็มาอยู่กับข้าเถิด ข้าจะไปบอกให้เหล่าตู้รับเจ้ากลับมาแล้วย้ายเจ้าไปเป็นทหารรับคำสั่ง ไปรายงานตัวที่ยังค่ายบัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนาน ดีเหมือนกัน ข้ากำลังจะก่อตั้งกองทัพ เจ้าไปเป็นทหารที่นั่นต่อ แล้วยังมีใครที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ เรียกมาให้หมด”
เหล่าไล่ดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา บัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนานคือกองทัพทหารรักษาการณ์ท้องถิ่น แต่ค่ายของกองทัพกลับอยู่ที่ฉางอัน ต้องไปหลิ่งหนานแค่ปีละสองครั้ง ขนเสบียงอาการและทรัพยากรกลับไปก็พอ ได้ยินมาว่าตอนนี้แต่ละคนอ้วนขึ้นไม่น้อย ท่านโหวเอาสาหร่ายทะเลที่แม้แต่หมูยังไม่กินออกมาขายในราคาสูง ตอนนี้คนในฉางอันกินสาหร่ายทะเลกันจนชินแล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีอาหารเพียงพออีก
ทิ้งของที่อยู่ในมือออกไป แล้วรีบกลับไปที่ค่าย ผ่านไปไม่นานก็พาทหารเจ็ดแปดคนออกมาด้วย เมื่อพบอวิ๋นเยี่ย แต่ละคนก็พากันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เรียกเขาว่าต้าไซว่ ในค่ายทหารมักจะเรียกแม่ทัพว่าต้าไซว่
มีการสนับสนุนจากต้าไซว่ พวกเขาก็กล้าหาญขึ้นมาตามธรรมชาติ เหล่าไล่ที่เมื่อครู่ยังหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้กลับฟื้นฟูท่าทีที่น่าเกรงขามปกติของตัวเองกลับมาทันที เสียงที่พูดก็ดังขึ้นไม่น้อย
นายทหารหนุ่มสวมชุดเกราะคนหนึ่งเดินเข้ามาตะโกนด่าเหล่าไล่ “พวกสารเลว ถูกต้าไซว่ไล่ออกไปแล้วยังไม่รีบไสหัวออกไปจากค่าย รอให้ข้าตัดหัวอยู่หรือ”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางอวิ๋นเยี่ยที่อยู่บนม้าแล้วกำลังจะตะโกนออกมา แต่ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยใช้แส้ม้าฟาดเข้าที่หน้าเต็มๆ เป็นชายชาติทหาร ถูกแส้ฟาดก็ไม่เกรงกลัว ถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา ดูท่าทางเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่น่าฟังกว่าเมื่อครู่ แล้วเขาก็ดึงมีดออกมา
เขาชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ไอ้หนุ่ม แน่จริงก็ฟาดมาอีกที ฟาดมาแค่ทีเดียวข้ายังไม่สะใจ”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เกรงใจแน่นอน เล่นแส้ม้ามาตั้งหลายปีแล้ว แส้ม้ายาวกว่าสองฟุตจึงฟาดเข้าไปที่หน้าของชายผู้นั้นเต็มๆ หวดแรกฟาดเข้าไปที่ปาก หวดที่สองฟาดเข้าไปที่ระหว่างคิ้วอย่างแรง เมื่อเขาเอามือที่ปิดหน้าออก ใบหน้านั้นแทบจะดูไม่ได้เลยทีเดียว
อวิ๋นเยี่ยก้มหน้าลงและพูดกับขุนนางทหารคนนั้นว่า “ข้ามีแส้อีกเส้นหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าควรจะฟาดอีกดีหรือไม่ นายพันหนุ่มคนนั้นราวกับสิงโตกำลังโมโห เขากระโดดขึ้นมาหาอวิ๋นเยี่ย หมัดยังมาไม่ถึงหน้าอวิ๋นเยี่ย ป้ายห้อยเอวก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขา ข้างบนนั้นเขียนคำว่าอวิ๋นอยู่ในวงกลมที่มีพื้นหลัง สัญลักษณ์ผู้บัญชาการประจำกององครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้าย
เมื่อครู่หากไม่รู้เขายังแกล้งทำเป็นโง่ได้ ทว่าตอนนี้ได้รู้แล้ว หากยังกล้าทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ เขาก็จะถูกเหล่าไล่ที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยหั่นเป็นชิ้นๆ ทันที กฎลงโทษของทหารที่ทำแม่ทัพไม่พอใจเพียงพอที่จะทำให้เขาตายอย่างไร้ที่ฝัง
ไม่รอให้อวิ๋นเยี่ยได้พูดอีก ชายเฒ่าอายุสี่สิบปีที่มีเครายาวยิ้มแล้วเดินเข้ามา เขาทักทายอวิ๋นเยี่ยเสียงดัง “ไอ้หย๊าหยา อวิ๋นโหว ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่ได้ ได้ยินมาตลอดว่าท่านภูมิใจในกองทัพทหารเรือ คิดไม่ถึงว่าท่านยังเป็นถึงผู้บัญชาการประจำกองทัพขององครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้าย ตู้อวี้ช่างไร้มารยาท สาเหตุก็คือป้ายห้อยเอวมีเยอะเกินไป ข้าจำไม่ค่อยได้ อย่าได้ถือสา อย่าได้ถือสา”
“เหล่าตู้ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าผู้บัญชาการประจำกองคือข้า ก็แค่ดูป้ายที่ห้อยไว้ที่เอว รังแกทหารน้อยยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรอก ที่ข้ามาในวันนี้ก็แค่มาดูลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องเหล่านี้ ได้ยินมาว่าแม้แต่การสอบพื้นฐานของทหารพวกเขายังสอบไม่ผ่าน อับอายขายขี้หน้าจริงๆ ข้ากะจะเอาพวกเขากลับไปฝึกฝนใหม่ที่กองทัพเรือ เหล่าตู้ เจ้าต้องไว้หน้าข้านะ”
ตู้อวี้คือหลานชายของตู้หรูฮุ่ย ตำแหน่งที่เขาได้รับ เป็นแม่ทัพองครักษ์อู่เว่ยฝ่ายซ้ายหรือก็คือผู้บัญชาการประจำกองทัพ แต่ดูเหมือนว่าหลี่ซื่อหมินจะลืมไปแล้วว่าถึงแม้ตำแหน่งนี้จะถูกปลดออกมาจากอวิ๋นเยี่ย แต่ป้ายห้อยเอวกลับไม่ได้เอาคืนกลับไป ทุกครั้งที่เขาเจอกับอวิ๋นเยี่ยส่วนใหญ่เขามักจะกำลังโมโห แต่ก็มีส่วนน้อยอยู่บ้างที่เขากำลังมีความสุข ดังนั้นเขาจึงลืมไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยเองก็แกล้งทำเป็นลืมไปแล้วเหมือนกัน หากมีป้ายห้อยเอวอันนี้ หลังจากเวลาห้ามออกจากบ้านในเวลากลางคืน เขายังสามารถเดินไปไหนก็ได้โดยที่ไม่มีใครกล้าถาม มีป้ายห้อยเอวอันนี้ เขาสามารถรังแกใครก็ได้ตามอำเภอใจโดยที่ไม่ต้องสนใจผลที่จะตามมา เหมือนอย่างในตอนนี้
ตู้อวี้หัวเราะแห้ง “อวิ๋นโหวไม่ลืมความสัมพันธ์ก่อนของเรา มันช่างทำให้สหายอย่างข้านับถือ แต่ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ข้ากลัวว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้อวิ๋นโหวน่ะสิ”
“ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อะไร หากมีปัญหาเช่นนั้นก็คือปัญหาของตู้เซียง ปีนั้นเรื่องของกรมโยธา แค่คำพูดเดียวของตู้เซียงก็ทำให้ข้าเกือบจะกลายเป็นยาจก ไม่รู้ว่าตอนนี้สหายตู้ก็อยากจะพูดแบบเดียวกันใช่หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องไว้หน้าตู้อวี้ ครั้งก่อนหากไม่ใช่เพราะคำพูดของตู้หรูฮุ่ย เขาไม่จำเป็นต้องไปสร้างพระราชวังอะไร ตอนนี้เป็นเช่นไร ตำหนักว่านหมิน กลายเป็นกลุ่มตำหนักว่านหมินไปโดยสมบูรณ์ ปริมาณงานวิศวกรรมเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ช่างอิฐดีๆ ของตระกูลอวิ๋นตั้งหลายคนถูกขังอยู่ที่นั่นกลับบ้านไม่ได้ ทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ตู้อวี้รู้ว่าตัวเองยั่วอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ คนที่ยั่วให้อวิ๋นเยี่ยโมโหจริงๆ ไม่เคยมีจุดจบที่ดี ลุงของเขา ตู้หรูฮุ่ยก็เกือบจะถูกถลกหนัง ตอนนี้ตำแหน่งเจวี๋ยของอวิ๋นเยี่ยได้เกิดดับไปพร้อมกับประเทศ ถือได้ว่าเขาเป็นขุนนางอันดับหนึ่งที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทำให้เขาโมโหไม่มีประโยชน์อะไร ความสามารถของคนเหล่านี้เขารู้ดีอยู่แก่ใจ เดิมทีกะว่าจะเอามากำเล่นในมือแล้วค่อยใช้งาน ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยมาเอาเปรียบ
หยิบป้ายห้อยเอวผู้บัญชาการประจำกองมาจากในมือของอวิ๋นเยี่ย เก็บไว้ในแขนเสื้อของตัวเอง ถอนหายใจและสั่งให้เสมียนหนังสือไปออกหนังสือย้ายตัวให้เหล่าไล่ นายทหารที่มีตำแหน่งต่ำกว่าอันดับห้า ไม่จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติจากฮ่องเต้
อวิ๋นเยี่ยเองก็เขียนหนังสือรับคำสั่ง สั่งให้หลิวจิ้นเป่าพาพวกเขาไปรายงานตัวที่ริมฝั่งแม่น้ำเว่ยเหอ จากนั้นตัวเองก็กลับบ้านไปอย่างไม่มีชีวิตชีวาเท่าไรนัก ชะตากรรมของคนเหล่านี้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่ มันไม่เคยอยู่ในกำมือของพวกเขาเองเลย
เหล่าไล่และคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ซุนซือเหมี่ยวก็เป็นเช่นนี้ หลี่เฉิงเฉียนก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้ ท่ามกลางความสับสน อวิ๋นเยี่ยรู้สึกคิดถึงยุคสมัยที่ตัวเองเต็มไปด้วยความโกรธเคือง อย่างน้อยเขาก็สามารถพูดออกมาได้ ไม่เหมือนกับตอนนี้ ต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ อธิบายให้ใครฟังก็ไม่ได้ เล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้แม้แต่น้อย