เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้าตอนที่ 11
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 11 ปลา คืออาหารที่ข้าชอบ
ในสนามบอลของสำนักศึกษานั้นเต็มไปด้วยโต๊ะและเก้าอี้ ผู้เข้าสอบที่ได้รับหมายเลขที่ลงทะเบียนได้ทยอยเข้าสู่สนามสอบตามลำดับ โชคดีที่มีเมฆลอยปกคลุมบนท้องฟ้าในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้หนาอะไรมากนักเพียงแค่บดบังแสงแดดเอาไว้เหนือเมฆเท่านั้น มีสายลมแห่งขุนเขาพัดผ่าน สนามสอบจึงยังคงเย็นสบาย
หลี่กังถือกระดาษม้วนอยู่ในมือยืนบนลานสูงและตะโกนพูดกับผู้เข้าสอบรุ่นเยาว์จำนวนสามร้อยยี่สิบหกคน “สวรรค์เบื้องบนเป็นพยาน สำนักศึกษาอวี้ซันของข้านั้นทำการอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แผ่นดินเบื้องล่างเป็นผู้พิสูจน์สำนักศึกษาอวี้ซันของข้าจะปฏิบัติต่อทุกคนช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานขุนนางตระกูลใด หรือนักศึกษาผู้ยากไร้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของผู้ที่มีชื่อเสียงหรือผู้ที่เล่าเรียนด้วยตนเอง ขอเพียงพวกเจ้าสอบได้คะแนนมากกว่าหกสิบคะแนนก็สามารถเดินเข้าสู่สำนักศึกษาแห่งนี้เพื่อเล่าเรียนได้ หากผิดคำจากที่กล่าวมา ขอให้ฟ้าดินลงโทษ”
เมื่อคำพูดจบลง ธูปจับเวลาขนาดใหญ่ก็ถูกจุดขึ้น อาจารย์ของสำนักศึกษาที่ยืนอยู่ใต้ลานก็เริ่มแจกกระดาษข้อสอบ โดยขอให้ผู้ที่เข้าสอบกรอกชื่อสกุลและบ้านเกิดของพวกเขาก่อนจากนั้นให้อาจารย์ทำการพับปิดชื่อสกุลและบ้านเกิดด้วยตนเอง หลังจากกระดาษข้อสอบได้ถูกตรวจอ่านเสร็จแล้วเท่านั้นจึงจะเปิดแถบกระดาษที่มีชื่อสกุลและบ้านเกิดออก การคัดลอกบทความนั้นทำไม่ทันจริงๆ จึงได้แต่ทำเช่นนี้ คราวหน้าจะมีผู้ที่คัดลอกบทความโดยเฉพาะมาเข้าร่วมอย่างแน่นอน
การกระทำนี้ทำให้ม่านตาของหม่าโจวหดตัวเล็กน้อย เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยมองเขาด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าอันเ**่ยวย่นของเขาก็แดงก่ำและก้มศีรษะลงเพื่อเขียนบ้านเกิดและชื่อสกุล อาจารย์จินจู๋ใช้แผ่นกระดาษปิดพันม้วนกระดาษข้อสอบด้วยสีหน้าที่เฉยเมย จากนั้นก็พับปิดกระดาษข้อสอบของผู้เข้าสอบคนถัดไปต่อไป
หม่าโจวเห็นกระดาษข้อสอบมีคำถามเพียงสามข้อเท่านั้น ซึ่งข้อแรกนั้นคือ “ปลา คืออาหารที่ข้าชอบ อุ้งตีนหมี คืออาหารที่ข้าชอบ แต่ห้ามครอบครองทั้งสองในเวลาเดียวกัน จึงทิ้งปลาแล้วเลือกอุ้งตีนหมี หากวันนี้ข้าต้องการทั้งสองอย่าง ควรจะทำเช่นไรดี”
นี่มันคือคำถามประหลาดอะไรกัน เหงื่อของหม่าโจวเริ่มไหลลงมาเพราะประโยคต่อไปคือการเปรียบเทียบระหว่างชีวิตกับความหยิ่งในศักดิ์ศรี ขงจื่อกล่าวว่าสละชีพนั้นคือคุณธรรม เมิ่งจื่อกล่าวว่าสละชีพเพื่อคุณธรรม แต่ไม่มีใครเคยบอกเขามาก่อนว่าคุณธรรมน้ำมิตรนั้นต้องมี แต่ชีวิตก็ต้องรักษาไว้ด้วย เช่นนี้ก็ไม่แลดูละโมบไปหน่อยหรือ
เมื่ออ่านต่อไปด้านล่าง ยังโชคดี ล้วนแล้วแต่ว่าให้ตอบตามความต้องการ เขาตัดสินใจที่จะไม่อ่านคำถามแรก เพียงแค่ตั้งสมาธิในการตอบคำถามสองข้อต่อไปก็พอซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา เมื่อธูปจับเวลาไหม้ไปเล็กน้อย เขาก็ตอบคำถามสองข้อนั้นได้อย่างมีสีสันแพรวพราว หลังจากที่ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้นเขาก็เริ่มครุ่นคิดคำถามแรกอีกครั้ง
ผู้ที่สามารถแนะนำตนเองเพื่อเข้าสอบในสำนักศึกษาได้นั้นย่อมต้องมีความสามารถ ไม่มีพวกปลอมปนเข้ามาอย่างแน่นอน ผู้ที่เล่าเรียนเขียนอ่านแห่งต้าถังล้วนแล้วแต่มีจิตใจที่ให้เกียรติในการศึกษา ต้องไม่มีผู้ที่ไร้ยางอายหลอกตัวเองรวมอยู่ในนี้เป็นแน่แท้
เมื่อธูปจับเวลาไหม้ถึงครึ่งหนึ่งผู้ที่เข้าสอบในสนามสอบต่างก็หน้าเศร้า ขมวดคิ้ว ไม่ว่าพวกเขาจะใจกล้าอาจหาญเพียงไรก็ไม่กล้าเลือกที่จะเป็นไม้หลักปักขี้เลน คำถามนี้หากไม่ถูกก็คือผิด ไม่มีทางสายกลางให้เดินได้
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ ความคิดที่ตรงเป็นท่อนไม้ทำให้พวกเขาไม่มีใครกล้าก้าวออกนอกกรอบ แต่กลับไม่รู้ว่าการเมืองมักจะมองหาจุดร่วมในขณะเดียวกันก็เก็บความเห็นที่แตกต่างไว้ การร้องขอ การประนีประนอมที่ไม่มีคำว่าสิ้นสุดจนในที่สุดจึงได้ฉันทามติ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เจรจากันไม่ได้นี่คือคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่สุดของการเป็นขุนนาง
หากไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ก็ไม่สามารถเป็นข้าราชการที่ดีได้ ในตอนแรกหลี่กังเองก็ไม่เห็นด้วยที่อวิ๋นเยี่ยจะตั้งคำถามข้อนี้ ผู้มีปัญญาหากสูญเสียความหยิ่งในศักดิ์ศรีไปยังจะเรียกว่าผู้มีปัญญาได้อีกหรือ เขาดูแคลนผู้ที่ไม่รักในศักดิ์ศรีประเภทนี้อย่างที่สุด วิธีการของนักปกครองที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เพียงแต่ด้วยความที่อวิ๋นเยี่ยยืนกรานอย่างหนักแน่นจึงได้ยอมเพิ่มคำถามข้อนี้เข้าไป
หากหลี่ซื่อหมินอยู่ที่นี่ด้วยเขาจะเข้าใจอวิ๋นเยี่ย หากฝางเสวียนหลิงอยู่ด้วยก็จะเข้าใจเช่นกัน จั่งซุนอู๋จี้เองก็จะเข้าใจเช่นกัน เพราะว่าพวกเขาก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน ดังที่กล่าวกันว่าแข็งเกินไปนั้นอยู่ยาก อ่อนเกินไปนั้นจะลำบาก พวกเขารู้แจ้งเห็นชัดกับเรื่องราวเหล่านี้ดี
ต้าถังแข็งแกร่งเกินไป แต่ราชวงศ์ซ่งในสมัยต่อมาก็อ่อนแอเกินไป ราชวงศ์หนึ่งต้องแตกสลายในระหว่างการต่อสู้เข่นฆ่ากันและอีกราชวงศ์หนึ่งต้องดับสลายไปที่เขาหยาซันในท้ายที่สุด อวิ๋นเยี่ยอยากที่จะปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งการปรึกษาหารือไว้ในความคิดของขุนนางต้าถังเป็นอย่างยิ่ง คนรู้จักกันแท้ๆ มีปัญหาอะไรนั่งเจรจากันดีกว่าการถือมีดฟาดฟันกันเป็นอย่างมาก การใช้กองทัพเป็นวิธีสุดท้ายของการเจรจา ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ การปกป้องคุ้มครองประเทศจึงจะเป็นหน้าที่หลักของพวกเขา หากแบ่งแยกระหว่างกองทัพและการปกครองออกจากกันอย่างชัดเจนจะหลีกเลี่ยงภัยแอบแฝงที่ผู้บัญชาการประจำท้องที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้หรือ
พวกเขาตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อวิ๋นเยี่ยเริ่มกำหมัด ตัวเขายังมีเวลาให้ใช้อย่างน้อยก็ห้าสิบปี ไม่เชื่อว่าจะสอนพวกเขาให้เรียนรู้ที่จะนั่งลงและเจรจากันไม่ได้ เพื่อเป็นการปกป้องไพร่ฟ้า เพื่อบุกเบิกพื้นที่ที่จะทำให้พวกเขาอยู่รอดจึงจะเป็นสิ่งที่กองทัพพึงกระทำ การปกครองทางการเมืองเดิมก็ควรจะตัดขาดกับกองทัพตั้งแต่ต้นแล้ว พวกเขาควรจะไปปรากฏตัวอย่ที่ทะเลทราย ผืนหญ้าที่รกร้าง ป่าทึบ ท้องทะเล แต่ไม่ควรจะมารวมกันเป็นกลุ่มก้อนที่ฉางอัน
“เจ้าเป็นคนที่อิสระ มีที่มาแปลกๆ มีที่ที่จะไปอันคลุมเครือ หากจะมีความคิดประหลาดไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้ว่าตาเฒ่าอย่างข้าจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงต้องการเพิ่มคำถามแปลกๆ ข้อนี้เสียให้ได้ แต่ทว่าข้ามองออกว่าเจ้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ข้าจึงได้รับปากให้เจ้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้เจ้าได้เห็นความจริงได้อย่างชัดเจน ความแข็งแกร่งของความเคยชินนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าอยากจะท้าทายมันผลที่ตามมาช่างน่ากลัวกว่าตั๊กแตนที่ฝืนหยุดล้อรถเสียอีก
เจ้าไม่ต้องกังวลกับข้อกล่าวหาต่างๆ ที่จะเกิดตามมาทีหลัง ข้าบอกอาจารย์คนอื่นๆ แล้วว่าคำถามนี้เป็นแบบทดสอบความคิดของนักเรียน ขอเพียงเลือกที่จะตอบคำถามข้อนี้และหาวิธีการแก้ไขได้ ไม่ว่าคะแนนสอบของเขาจะดีเพียงไหน สำนักศึกษาก็จะปรับตกเขาโดยไม่ให้โอกาสแก้ตัวใดๆ”
เสียงของหลี่กังค่อยๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ตาเฒ่าคนนี้มักจะตามใจตนเองอยู่เสมอ แม้จะรู้ว่ามันผิด เขาก็ยังยอมปล่อยให้เขาไปลองดู สุดท้ายแล้วไม่สามารถควบคุมได้เขาก็ออกหน้ามาจัดการกับความยุ่งเหยิงนั้น
แนวคิดของนักการเมืองในยุคปัจจุบันอาจไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมทางสังคมในตอนนี้ แนวคิดเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นเป็นช่วงแรกทางแถบยุโรปเหนือ แต่ตอนนี้สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นสภาพสังคมป่าเถื่อนเหมือนยุคเก่า แต่ละคนยังเป็นโจรถือขวานไล่ปล้นไปทั่ว ตะโกนโหวกเหวกโห่ร้อง มีความสุขอยู่กับการปล้นชิงและข่มขืน
เมื่อคิดดูแล้วก็ชวนให้หมดแรง ยุโรปยังอยู่ภายใต้การปกครองของคนบ้าอยู่ พระสันตะปาปาเพิ่งเผาห้องสมุดโรมันเสียหาย รัฐต่างๆ ที่มีเจ้าแคว้นปกครองจำนวนมากมายต่อสู้ฆ่าฟันกัน เหล่าอัศวินสวมชุดกระป๋องเหล็ก ถือหอกไม้ยาวประมาณหกเมตรทิ่มแทงกันไปมา
พระคัมภีร์ยังคงเขียนไว้บนหนังแกะอยู่เลย อยากจะเขียนเล่าเรื่องอะไรสักอย่างต้องฆ่าแกะก่อนหนึ่งตัวจึงจะได้ จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าตนเองลำดับความสำคัญสลับกันเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาบรรพบุรุษเราไม่เคยไร้สิ้นซึ่งสติปัญญา ตนเองจะมาแสดงความโง่แล้วอวดฉลาดอยู่ที่นี่ไปทำไม
ความรู้ของตนเองนั้นลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนอาจารย์หลี่กังอย่างนั้นหรือ ปณิธานของตนเองมั่นคงได้ดั่งหลี่ซื่อหมินอย่างนั้นหรือ ที่ฆ่าลูกชายและลูกสาวมากมายได้ หากเป็นตนเองคงต้องบ้าไปนานแล้ว ตนเองเอาแต่คิดที่จะเปลี่ยนต้าถัง แต่กลับไม่รู้ว่าต้าถังกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเช่นกัน ทฤษฎีเหล่านั้นในยุคปัจจุบันกล่าวได้ถูกต้องจริงๆหรือ ไม่น่าจะใช่ อย่างน้อยตอนนี้ประชาชนชาวต้าถังอาจเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะยังกินไม่อิ่มท้อง
ขุนนางของต้าถังในตอนนี้นั้นถือได้ว่าเป็นพวกใจซื่อมือสะอาดที่สุดแล้ว เมื่อเกิดภัยพิบัติจากตั๊กแตนขึ้น ก็มีคนกระโดดเข้ากองเพลิงเพื่อรับผิดชอบ เมืองฉางอันถูกเผาไหม้ หลายๆ คนก็ขังตัวเองในบ้านให้ไฟคลอกตายทั้งเป็น ยังต้องการให้พวกเขาทำอะไรอีก แม้ว่าตอนนี้จะมีโรงเรียนที่ดี แต่ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนเองไม่สามารถมีความสุขกับมันได้ ซึ่งก็มีเหล่าขุนนางมาเยือนถึงที่เพื่อขอความเป็นธรรมแล้วไม่ใช่หรือ โดยไม่สนใจทั้งสองท่านที่ยืนอยู่ข้างหน้าเลยแม้แต่น้อยซึ่งท่านหนึ่งคือไท่ฟู่และอีกท่านหนึ่งคือกั๋วโหว ทั้งยังกล้าที่จะชี้นิ้วตะโกนโหวกเหวกใส่หน้าได้ จนกระทั่งสำนักศึกษารับปากว่าจะสร้างโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งขึ้นจึงยอมขอโทษด้วยความนอบน้อม แม้ขณะกำลังจะจากไปยังแอบพูดเบาๆ ว่าหวังว่าลูกชายคนโตของเขาสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ ทั้งยังมอบใบชาที่สดใหม่หลายคันรถให้กับอวิ๋นเยี่ย ซึ่งเขาเป็นนายอำเภอท้องที่ที่เหมาะสมมากที่สุดที่อวิ๋นเยี่ยได้เคยพบเห็นในชีวิตทั้งสองยุคของเขา
เมื่อรอให้เฉิงเฉียนขึ้นครองราชย์แล้วบอกเขาถึงความอันตรายของเอกอัครราชทูตก็พอแล้ว จากนั้นปล่อยให้เขาแก้ไขปัญหาเอง ตนเองก็เพียงแค่ถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอันล้ำค่าที่ตนเองพอจะมีความรู้อยู่เขาก็ได้เป็นปราชญ์แห่งยุคแล้ว ทั้งยังถือเป็นปราชญ์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ไม่ใช่ปราชญ์จอมปลอมคนนั้นที่เอาแต่ขลุกอยู่กับอาหญิงอยู่ในลานบ้านเล็กๆ ตลอดทั้งวัน
“ท่านอาจารย์หลี่ ทุกคนที่ตอบคำถามแรกจะต้องถูกปรับตก” อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างสดใสขณะพูดกับหลี่กัง ทั้งยังจงใจเสริมน้ำเสียงเป็นพิเศษด้วย “ต้องถูกปรับตก!”
คิ้วของเหลาหลี่ดูเหมือนจะกำลังเต้นรำอยู่ ลูบเคราของเขาอย่างโล่งอกเป็นที่สุดและพูดคำพูดของอวิ๋นเยี่ยซ้ำว่า “ต้องปรับตก” เมื่อพูดจบทั้งสองก็พากันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา ทำให้ผู้เข้าสอบต่างมองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
ในสมองของหม่าโจวมีความคิดนับหมื่นนับพันผุดขึ้นมา แม้ว่าการดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากสภาพชีวิตที่ลำบากจะเป็นเรื่องที่ยากมากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่อยู่ที่เลือกจะกระทำเช่นไร แต่ก็คงหลีกเลี่ยงคำอนุมานที่ว่าบิดเบือนความยุติธรรมไม่ได้
เขารู้สึกดีกับสำนักศึกษาแห่งนี้มาก การให้กำลังใจของอวิ๋นเยี่ยเมื่อวานนี้ทำให้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาก บัตรทานอาหารของสวี่จิ้งจงได้แก้ไขปัญหาที่อัตคัดและขัดสนที่สุดของเขา การค้างแรมหนึ่งคืนในหอเก็บตำราทำให้เขาอาลัยอาวรณ์กับหนังสือที่มีมากมายนับไม่ถ้วนในสำนักศึกษาแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นซาลาเปาที่แสนอร่อยที่สุดของสำนักศึกษาก็ไม่สามารถทำให้เขาวางหนังสือในมือลงได้ ตลอดคืนที่ไม่ได้นอนเขาได้อ่านตำราที่เก็บไว้เหล่านั้นเพียงแค่สองเล่มเท่านั้น ต่อให้เขามีความสามารถเช่นความจำชั่วพริบตาก็ไม่สามารถอ่านตำราทั้งหมดนี้ได้ในคืนเดียว
การสอบดำเนินการด้วยการไม่เปิดเผยชื่อจึงทำให้ความว้าวุ่นใจของเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง มองเพียงภูเขาที่เขียวขจีและน้ำสีฟ้าใสที่อยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางลมเย็นที่พัดผ่าน นี่คือดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ เป็นหอคอยงาช้าง[1]ในฝันของนักเรียนทุกคน แต่น่าเสียดายที่เราไร้วาสนาต่อกัน ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจน้ำตาก็ไหลรินไม่หยุด
แต่ทว่าพู่กันในมือของเขาก็ยังคงมั่นคงและแล้วตัวอักษรมากมายก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ “ปลา คือสิ่งที่ข้าปรารถนา อุ้งตีนหมีก็เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนา เมื่อไม่สามารถครอบครองทั้งสองสิ่งได้ จึงต้องทิ้งปลาแล้วเลือกอุ้งตีนหมี การมีชีวิตอยู่ก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา คุณธรรมก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา เมื่อไม่สามารถครอบครองทั้งสองสิ่งได้ จึงต้องสละชีวิตและเลือกความถูกต้อง”
หลังจากเขียนเสร็จ เขาก็ดูเหมือนว่าจะถูกดึงวิญญาณออกไป นอนหมอบอยู่บนโต๊ะ มือกำหมัดแน่น พู่กันชั้นดีของสำนักศึกษาถูกเขากำจนหักโดยไม่รู้ตัว น้ำหมึกเปรอะข้อมือเลอะเป็นปื้น เขารู้สึกราวกับว่าตนเองได้ละทิ้งสิ่งที่สวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์ไป ทรวงอกตายด้านรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวดั่งจะสิ้นใจ
นักเรียนคนอื่นๆ บางคนก็ไม่ลังเลอีกต่อไปเริ่มเขียนคำตอบอย่างขมักเขม่น ปากก็เผลออ่านออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกทั้งเสียงยังดังขึ้นเรื่อยๆ “ปลา คือสิ่งที่ข้าปรารถนา อุ้งตีนหมีก็เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนา จึงต้องทิ้งปลาแล้วเลือกอุ้งตีนหมี การมีชีวิตอยู่ก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา คุณธรรมก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา เมื่อไม่สามารถครอบครองทั้งสองสิ่งได้ จึงต้องสละชีวิตและเลือกความถูกต้อง”
หลี่กังลุกขึ้นจากเก้าอี้มองดูนักเรียนที่อยู่ด้านล่างแล้วถามว่า “มีใครตอบคำถามข้อแรกแล้วบ้างไหม”
ในสนามสอบเงียบกริบ หลี่กังจึงเปล่งเสียงดังขึ้นแล้วถามอีกครั้งว่า “มีใครตอบคำถามข้อแรกแล้วบ้างไหม” ก็ยังคงไม่มีใครตอบ หลี่กังจึงไม่พูดอะไรอีกเพียงแค่จ้องไปที่ธูปจับเวลา เมื่อควันสุดท้ายลอยสลายสิ้นไปจากปลายธูป หลี่กังก็หยิบกระดาษทดสอบขึ้นและค่อยๆ ฉีกออกเป็นสองส่วนแล้วโยนขึ้นไปในอากาศยิ้มพลางพูดว่า “คำถามสองข้อสุดท้ายนั้นง่ายมาก ซึ่งมีคะแนนเพียงสามสิบคะแนน คำถามข้อแรกนั้นยากที่สุดจึงมีคะแนนถึงเจ็บสิบคะแนน เหล่านักเรียนทั้งหลายพวกเจ้าต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตนเองและเลือกสิ่งที่ถูกต้องที่สุด การที่ไม่มีคำตอบคือคำตอบที่ดีที่สุด สำนักศึกษาอวี้ซันเชื่อว่าผู้ที่มีนิสัยอันมีคุณธรรมอันสูงส่งจึงจะเป็นผู้สูงส่งที่แท้จริง เหล่านักเรียนการมีความรู้ไม่มากพอไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่ศึกษาเพิ่มเติมก็ได้แล้ว แต่ถ้าหากขาดคุณสมบัติที่ดี จึงจะเป็นความขาดแคลนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้ ยินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาเป็นนักเรียนใหม่ของสำนักศึกษา พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ สำนักศึกษายินดีต้อนรับ”
ไม่มีเสียงโห่ร้องดีใจสักเท่าไร โดยมากแล้วกลับมีแต่เสียงร้องไห้ฟูมฟาย นี่คือบททดสอบสภาพจิตใจคนครั้งหนึ่งสำหรับอวิ๋นเยี่ยและหม่าโจว และยิ่งเป็นการทดสอบของทุกๆ คนอีกด้วย
——
[1] หอคอยงาช้าง เป็นคำที่ใช้บรรยายกลุ่มนักวิชาการ คนพวกนี้มักจะได้ชื่อว่าอยู่ในหอคอยงาช้าง กล่าวคือ อยู่โดยสันโดษห่างไกลฝูงชน อยู่ในโลกส่วนตัว คิดอะไรเพ้อฝันอยู่ตามลำพัง