เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 17
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 17 โชคลาภวาสนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยได้รับข่าวการหายไปของรถยิงหน้าไม้ ก็ผละออกจากฮ่องเต้และวิ่งกลับบ้านไปลำพังเพื่อจัดการประชุมด้านความปลอดภัยของตระกูล ท่านย่า อาหญิง พี่สาว น้องสาว ภรรยาและวั่งไฉห้ามไม่ให้ออกจากบ้านในช่วงเวลานี้นี่คือคำสั่งจนกว่าทางการจะหาของสิ่งนั้นพบแล้วจึงค่อยว่ากันใหม่ นอกจากนี้ที่บ้านไม่อนุญาตให้กินอาหารที่ปรุงจากภายนอก จะต้องปรุงด้วยตัวเองเท่านั้น เลี้ยงสุนัขเพิ่มขึ้นอีกสองตัวเพื่อใช้ทดสอบพิษ
“เสี่ยวเยี่ย เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนก หากเจ้าตื่นตระหนกทุกคนในบ้านจะอยู่ในความสับสนวุ่นวาย นอกจากนี้ตอนนี้เจ้าควรอยู่กับฮ่องเต้มากกว่าแทนที่จะวิ่งกลับบ้าน การทำเช่นนี้จะทำให้ฮ่องเต้มีทัศนคติไม่ดีต่อเจ้า” ท่านย่ายืนอยู่ข้างๆ เช็ดเหงื่อให้อวิ๋นเยี่ยพลางเกลี้ยกล่อมเขา
“ข้าไม่สนใจหรอก ขอเพียงแค่ครอบครัวปลอดภัย ข้าไม่สนว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือไม่ ก็เพราะเขาเป็นคนต้องการที่จะกำจัดพวกเขาทิ้งทั้งตระกูล ตอนนี้จึงได้ถูกลอบสังหารแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย จำเอาไว้อย่าออกไปข้างนอกและห้ามปีนกำแพง เสี่ยวยากำลังว่าเจ้าอยู่ หากยังกล้าปีนเขาจำลองและกางร่มกระโดดลงมาอีก ข้าจะตีเจ้าให้ก้นลายเลย ไม่รู้จักเรียนรู้เรื่องดีๆ เสียบ้าง”
อวิ๋นเยี่ยจิตใจว้าวุ่นสับสน รถยิงหน้าไม้เชียวนะ อาณุภาพของของสิ่งนี้ในสมัยถังไม่ได้ด้อยไปกว่าขีปนาวุธในยุคปัจจุบันเลย ด้วยรูปร่างเล็กๆ เช่นตนเองเพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถยิงทะลุได้สามถึงสี่คนในคราวเดียว เหล่าทหารผ่านศึกต้องโยกย้ายกลับมาดูแลที่บ้าน ไม่ใช่ปล่อยให้ไปเดินเล่นอยู่ในป่าตลอดไป บ้านสิจึงจะเป็นแก่นแท้
หากโต้วเยี่ยนซันจับเสี่ยวยาเป็นตัวประกัน ไม่ต้องพูดอะไรอวิ๋นเยี่ยก็จะยอมแพ้อย่างแน่นอน จะให้เขาทำอะไรเขาก็จะทำโดยไม่ต้องต่อรองราคา โชคดีที่โต้วเยี่ยนซันไม่พบข้อบกพร่องอันร้ายแรงถึงชีวิตข้อนี้ของอวิ๋นเยี่ย หากรู้เข้าละก็คาดว่าคงทำเช่นนี้ไปนานแล้ว เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเรื่องพิธีรีตองเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้องผู้หญิงในบ้านก็จะไม่ออกไปตลาดเพื่อจ่ายตลาดตามใจชอบ
ซินเย่ว์พยุงอวิ๋นเยี่ยด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง เดิมนั้นเช้านี้ก็มีเรื่องชวนให้ท้อแท้เพราะรอบเดือนของนางมาแล้ว นางโมโหมากจนแทบอยากจะจุดไฟเผาบ้านทิ้งเสีย ตอนนี้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่บ้าน เรื่องการตั้งครรภ์นั้นลืมไปจากสมองตั้งนานแล้ว
“ในช่วงนี้ข้าจะดูแลพวกน้องๆ ให้ดีเอง ไม่อนุญาตให้พวกนางออกไปข้างนอก วั่งไฉเองก็ไม่อนุญาตให้ออกไปข้างนอกด้วย แล้วข้าจะแจ้งให้เหล่าชาวบ้านช่วยกันค้นหารถยิงหน้าไม้ อย่างไรเสียรถยิงหน้าไม้ก็คันใหญ่มากน่าจะพอมีร่องรอยอะไรบ้าง”
เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองสามารถอยู่ห่างเอาไว้ แต่เมื่อมันมาถึงตัวแล้ว ก็แต่ต้องฝืนก้มหน้าเผชิญหน้ากับมัน โต้วเยี่ยนซันรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายคนนี้ต้องรีบกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่กำจัดเขาคงหลับไม่เป็นสุข
จัดการเรื่องที่บ้านเรียบร้อยแล้วโดยสั่งโยกย้ายทหารผ่านศึกกลับมาที่นี่บ้านอวิ๋นเยี่ยจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ ผู้ก่อการร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะกำจัดทิ้งไป หากไม่เชื่อก็ลองดูสหรัฐอเมริกาในยุคปัจจุบันก็จะรู้ได้ว่าสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่ต่อเนื่องนานถึงแปดปีกว่าที่จะสามารถกำจัดหัวหน้าตัวการร้ายได้
อวิ๋นเยี่ยเฝ้าอยู่ใต้เรือนเล็กของหลี่ซื่อหมินตลอดทั้งคืน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะขี้เกียจ หากมีอะไรผิดพลาด ผลที่ตามมามันจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก ภายในระยะสามร้อยเมตรได้ถูกอวิ๋นเยี่ยและเหล่าองครักษ์ตรวจสอบอย่างละเอียดประหนึ่งซี่ฟันของหวี แม้แต่บนพื้นดินอวิ๋นเยี่ยก็สั่งว่าต้องใช้หอกแทงดูหนึ่งรอบด้วย เพราะเกรงว่าจะมีกรณีการขุดอุโมงค์เกิดขึ้น
หลี่ซื่อหมินไม่สนใจ ทั้งยังมีอารมณ์เชยชมพระสนมอีก เสียงร้องที่ชวนให้หงุดหงิดอวิ๋นเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ยังได้ยินรางๆ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความตึงเครียดของเหล่าองครักษ์ก็ลดลงอย่างมาก ทุกอย่างจึงกลายเป็นระเบียบมากขึ้น ดวงตาของอู๋เสอนั้นมีประกายในยามค่ำคืน สีเขียวเงาวับที่เหมือนกับหมาป่า ตอนนี้ถ้ามีใครวิ่งเข้ามาในเรือนเล็กอย่างบุ่มบ่ามเกรงว่าจะถูกเขาฉีกเป็นชิ้นๆ
หงเฉิงสีหน้าอมทุกข์ ตลอดทั้งวันเสื้อผ้าของเขายังไม่แห้งเลย เมื่อนกฮูกร้องเสียงดังขึ้นครั้งหนึ่งเขาก็จะคว้าดาบลุกขึ้นมา ช่างเป็นคืนที่ยาวนานอะไรเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยหวังเพียงว่าฮ่องเต่จะเสด็จกลับวังในวันพรุ่งนี้ เพียงแค่ส่งท่านกลับวังอย่างปลอดภัยก็คือเรื่องมหามงคลแล้ว
“อวิ๋นโหว พี่ชายผิดต่อเจ้า สถานการณ์ที่เจ้าสร้างไว้อย่างเรียบร้อยดีงามกลับถูกข้าทำจนเละเทะไม่เป็นท่า ทั้งยังหลงเหลือเนื้อร้ายเอาไว้ด้วย หลังจากเรื่องนี้จบลงข้าคงไม่มีหน้าที่จะอยู่ที่หน่วยข่าวกรองต่อแล้ว เจ้าพอจะสามารถจัดการหาที่ดีๆ ให้พี่ชายสักแห่งไหม”
เจ้างี่เง่านี่ คำพูดครึ่งแรกยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่แต่ครึ่งหลังกลายเป็นพวกหน้าหนาที่แสวงหาผลประโยชน์ ไม่เสียทีที่อยู่ในหน่วยข่าวกรองมาหนังหน้าจึงได้หนานัก อยากจะตอบปฏิเสธในคราวเดียว แต่จู่ๆ ก็นึกถึงผู้หญิงที่โชคร้ายคนนั้น ยังไงก็ต้องหาคนที่เป็นที่พึ่งพิงได้ให้นางสักคน การไปที่แดนหลิ่งหนานอันแสนไกล ตนเองก็ไม่มีคนในเลยสักคนอาศัยเพียงเฝิงอั้งใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากเฝิงอั้นก็รำคาญนางล่ะ หาที่ที่ไม่มีใครรู้แล้วจัดการนางเสียแล้วก็บอกว่าไม่คุ้นชินกับสถานที่จากนั้นก็รายงานว่าล้มป่วยเสียชีวิต ไม่มีใครสามารถจับเขาได้ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่อยากที่จะเชื่อพวกที่เรียกว่าวีรบุรุษอีกแล้ว หากนางตั้งครรภ์จริงๆ ลูกชายข้าไม่เป็นอันว่าต้องประสบเคราะห์กรรมไปด้วยหรือ
“เรื่องในคราวนี้หากพูดให้ชัดเจนก็คือเจ้าทำงานผิดพลาด ฝ่าบาทไม่สั่งประหารเจ้าก็ถือว่าเห็นแก่มิตรภาพในวันวานมากแล้ว รถยิงหน้าไม้เชียวนะ ในเมืองหลวงเก็บซ่อนของที่เป็นเภทภัยเช่นนี้แต่เจ้ากลับไม่รู้อะไรเลย ทั้งยังสุขกายสบายใจ เจ้าได้แต่ต้องรีบทูลขอให้ฝ่าบาททรงส่งเจ้าไปยังแดนไกลจึงจะมีทางรอด มิฉะนั้นเหล่าขุนนางในราชสำนักจะต้องจับเจ้ากินทั้งเป็นเป็นแน่”
หงเฉิงพูดอย่างขมขื่นว่า “ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่มานานแล้ว มักจะมีข้อผิดพลาดเสมอ งานหน่วยข่าวกรองไม่ใช่งานที่มนุษย์ทำ แม้ว่าคราวนี้จะหลบหนีได้ แล้วครั้งต่อไปล่ะ สวรรค์ไม่ให้ชีวิตสุนัขๆ ของข้าอยู่อย่างเป็นสุข เช่นนั้นไม่สู้ให้กองทัพมาตัดศีรษะข้าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยยังจะดีเสียกว่า”
“เหล่าหง เจ้าอยากจะลองสร้างผลงานอีกสักครั้งไหม เพื่อให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนมุมมองต่อเจ้าใหม่ อวิ๋นเยี่ยเหล่มองหงเฉิงแวบหนึ่งก่อนที่จะพูด
หงเฉิงรีบคว้ามืออวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ช่างเป็นพี่น้องที่ดีของข้าจริงๆ เจ้าเป็นคนฉลาด ต่อให้พี่ชายอย่างข้ามีแปดศีรษะก็ไม่สามารถไล่ตามแม้แต่นิ้วเท้าของเจ้าไม่ทัน เจ้าบอกพี่ชายทีว่าต้องไปที่ไหนจึงจะมีโอกาส บนทุ่งหญ้าไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเรา หากข้าไปก็จะถูกมองเป็นตัวประหลาด ทำอะไรไม่ได้เลย”
“ทางเหนือไม่ได้ หรือทางใต้ก็ไม่ได้ล่ะ สมองขี้เลื่อย”
“ไม่ได้หรอก ฝ่าบาทจะไม่ทรงอนุญาตให้ข้าไปล่วงเกินตระกูลเฝิงแน่ นอกจากนี้ที่นั่นเป็นดินแดนของพวกเขา ไม่แน่ว่าหากพี่ชายไปแล้วอาจจะไม่สามารถกลับมาได้”
“ไปอย่างถูกต้องเปิดเผย องค์หญิงโซ่วหยางไปที่ดินแดนนั้นเพื่อที่จะเข้ายึดอำนาจราชการไม่ใช่หรือ เจ้าเองก็เป็นคนของราชวงศ์เช่นกัน ติดตามไปมีอะไรไม่ถูกต้อง หากจัดการเรื่องราวได้ด้วยดี ไม่เพียงแต่จะได้เลื่อนตำแหน่ง ยังจะได้ร่ำรวยอีกด้วยและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างกิจการไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเจ้า หากเจ้าไม่ใช่เหล่าหงมีหรือข้าจะบอกเรื่องนี้ โอกาสที่ดีเช่นนี้ถ้าหากข้าไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของตระกูลละก็ ข้าจะเป็นคนแรกเลยที่ไป”
หงเฉิงเบิกตากว้างจ้องมองอวิ๋นเยี่ยตาไม่กะพริบราวกับว่าไม่รู้จักเขา ในที่สุดก็พูดอย่างอึดอัดว่า “น้องชายเจ้าอย่าล้อเล่นกับพี่ชายเลย ดินแดนเหลียวยากจนข้นแค้นจนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ยังจะมีโอกาสได้ร่ำรวยและเลื่อนตำแหน่งที่ไหนกัน”
“รู้ไหมว่าเพราะอะไรแต่ไหนแต่ไรมาข้าจึงรวยกว่าผู้คนรอบข้างค่อนข้างง่าย เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่”
หงเฉิงกลืนน้ำลายด้วยความอึกอัก ส่ายศีรษะ พูดตามตรงว่าเขาศิโรราบอย่างหมอบราบคาบแก้วในความสามารถในการทำเงินของอวิ๋นเยี่ย เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ตระกูลอวิ๋นก็กลายเป็นมหาเศรษฐีที่นับหัวได้ในมหานครฉางอัน แม้ว่าเขาเองจะมีส่วนร่วมอยู่บ้างแต่กลับเป็นความเต็มใจ เมื่อพูดถึงการทำสงครามเขาอาจจะไม่ยอมรับ แต่หากพูดถึงเรื่องการทำเงินหากอวิ๋นเยี่ยบอกว่าก้อนหินที่เขานั่งอยู่นั้นเป็นทองคำเขาก็เชื่อ
อวิ๋นเยี่ยกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้ฉลาดอย่างที่พวกเจ้าคิด แต่เป็นเพราะหลายปีมานี้ได้เดินทางติดตามอาจารย์ไปหลายๆ แห่ง เรียนรู้มามาก คนดินแดนเหลียวโง่เหมือนหมู ทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนกองเงินกองทองแท้ๆ แต่กลับยังหิวโหย เจ้ารู้หรือไม่ว่าในอ่าวฝั่งตรงข้ามที่ไม่ใหญ่มากนักอ่าวนั้นมีพืชชนิดหนึ่งที่จะสุกปีละสามครั้ง เจ้ารู้ไหมว่ามีพืชจำพวกเครื่องเทศอยู่ทั่วทั้งภูเขาแถบนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นั่นมีเกาะหนึ่งที่เต็มไปด้วยแร่มรกต เจ้ารู้หรือไม่ว่างาช้างที่นั่นมีค่าเท่ากับดาบเหล็กหนึ่งด้าม เงินเพียงแค่อู่เหวินก็แลกเครื่องเทศห้าสิบกิโลกรัมได้”
“ห้าสิบกิโลกรัม “ลูกตาของหงเฉิงแทบจะหลุดออกจากเบ้า เรื่องราคาเครื่องเทศในฉางอันนั้นเขาก็พอรู้อยู่บ้าง เมื่อนึกถึงว่าภาพที่ตัวเองนำถ้วยกระเบื้องเคลือบหนึ่งใบแลกกับเครื่องเทศห้าสิบกิโลกรัมจากชาวพื้นเมืองที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ แล้ว จากนั้นนึกถึงตนเองนำดาบหนึ่งเล่มไปแลกกับงาช้างที่ยาวเกือบหนึ่งเมตร ก็นั่งตาโตน้ำลายไหล
อวิ๋นเยี่ยแอบหลบไปอย่างเงียบๆ ความโลภของมนุษย์เราจะเอาชนะความยากลำบากทุกอย่างได้ หลังจากรู้ความลับนี้แล้ว แม้จะเป็นภูเขาสูงหงเฉิงก็จะเหยียบมันให้ป่นเป็นผงแป้งเลย
“การค้านี้นับรวมส่วนของข้าด้วย!” เสียงที่สดใสดังขึ้นมา เมื่ออวิ๋นเยี่ยเหลียวหลังมองกลับเป็นหลี่เฉิงเฉียน หลายวันนี้เขาไม่ใช่ว่าต้องไปยงโจวหรือ ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ
เมื่อเห็นหลี่เฉิงเฉียนเข้ามา ถึงแม้ว่าหงเฉิงจะร้อนรนกระวนกระวายเป็นอย่างมาก แต่ก็จำต้องจากไป ยังไม่มีพื้นที่พอสำหรับเขาในการร่วมฟังอวิ๋นเยี่ยสนทนากับรัชทายาท
“ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ จัดการเรื่องปัญหาผู้ประสบภัยที่นั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยเห็นคราบฝุ่นดินเต็มตัวหลี่เฉิงเฉียนก็รู้ว่าเขารีบเดินทางตลอดคืนจึงได้กลับมาในตอนนี้ หลายวันก่อนยงโจวเกือบจะเกิดการจลาจล สาเหตุนั้นเกิดจากเมื่อเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิที่นั่นก็ไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียว ผืนนาแห้งจนแตกระแหง ไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอดได้เลย ชายคนหนึ่งเรียกตนเองว่าผู้เบิกเนตรสวรรค์รวบรวมผู้ลี้ภัยบุกโจมตีทางการแล้วเปิดยุ้งฉางแบ่งข้าวกันเอง นายอำเภอถึงสองท้องที่ถูกเขาฆ่าตาย ยังจะปล่อยไปได้อย่างไร ฮ่องเต้สั่งให้ผู้ว่าการยงโจวปราบกบฏ ให้รัชทายาทนำเสบียงอาหารไปแจกจ่ายชาวบ้านเพื่อเป็นการปลอบขวัญ เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเจ้าหมอนี่ก็ทำภารกิจเสร็จและกลับมาแล้วหรือ เร็วเกินไปหน่อยไหม
“มีอะไรยากกัน เมื่อข้าไปถึงที่นั่น ผู้ว่าการได้จับตัวผู้เบิกเนตรสวรรค์ได้แล้ว ชาวบ้านที่ก่อความวุ่นวายก็ยอมอยู่ในค่ายใหญ่รอการลงโทษอย่างเชื่อฟัง เจ้าคงคิดไม่ถึงกระมังว่าผู้เบิกเนตรสวรรค์นั้นเป็นผู้หญิง อายุสามสิบกว่า รูปร่างอัปลักษณ์ ไม่รู้จักหนังสือสักตัว ไม่มีวรยุทธ แต่มีพละกำลังมากมาย ผู้ชายหนึ่งถึงสองคนไม่สามารถเข้าใกล้นางได้ ถูกทหารล้อมกรอบไว้สิบกว่าคน ใช้หอกแทงขัดถึงเจ็ดแปดเล่มจึงจับนางไว้ได้และนายอำเภอก็ไม่ตาย เพียงแค่ถูกนางจับไปใช้แรงงาน ตอนที่ผู้ว่าการพบพวกเขาก็ไม่หลงเหลือความเป็นคนแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หิวโหยจึงไปแย่งเสบียงอาหาร ข้ากราบทูลต่อเสด็จพ่อไปแล้วเสด็จพ่อตรัสว่าแล้วแต่ข้าจะจัดการ ข้าไม่ชอบฆ่าคนจึงปล่อยตัวคนอื่นไปหมด ทั้งยังให้เสบียงอาหารอีกด้วย ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยซ่อมเขื่อนและปลดเจ้าหน้าที่ไปหลายคน เพียงแค่นี้เรื่องก็สงบลงแล้ว ตอนที่ข้ากลับมาชาวบ้านนับหมื่นต่างมารอส่งข้า คิดดูแล้วไม่น่าจะก่อกบฏกันอีก ส่วนเบิกเนตรสวรรค์ถูกข้านำตัวกลับเมืองหลวงและรอให้เสด็จพ่อทรงมีคำสั่ง”
“เป็นเช่นนี้ก็ดี ก็ดีแล้ว ประชากรของต้าถังนั้นเดิมทีก็น้อยอยู่แล้ว หากไม่ฆ่าได้ก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนทัพ การปลอบขวัญเป็นนโยบายที่ดีที่สุด ประชาชนชาวต้าถังนั้นเป็นคนที่ดีที่สุดในใต้หล้า ทำงานหนัก สู้งานจริง ขอเพียงแค่มีกิน ใครเขาอยากจะทำเรื่องที่ต้องโทษถึงประหารกัน เจ้าลองกระตุ้นให้ชาวบ้านก่อกบฏในพื้นที่ใกล้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นดูสิ ไม่ต้องให้ทางการลงมือ ประชาชนจะจับเขาเองและส่งไปยังที่ว่าการเพื่อรับรางวัลอย่างมีความสุข ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ของต้าถังก็คือการทำให้ผู้คนร่ำรวยขึ้น เมื่อทุกคนร่ำรวยแล้วฝ่าบาทอยากจะจัดการใครก็ค่อยจัดการคนนั้น โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะตามมาภายหลัง”
“นั่นน่ะสิ ดังนั้นข้าจึงพบว่าข้ายากจนมาก เสด็จพ่อเองก็ยากจนมาก หากเจ้ามีโอกาสร่ำรวยเจ้าต้องห้ามลืมข้าเป็นอันขาด เมื่อข้าร่ำรวยแล้วก็สามารถช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบาได้บ้าง ชาวบ้านก็จะได้ทนทุกข์น้อยลงเช่นกัน จะว่าไปแล้วเจ้าก็ยังเป็นห่วงพี่สาวข้านี่นะ”