เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 38
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 38 ไม่เป็นตัวของตัวเอง
วันนี้เป็นวันดี ดวงอาทิตย์ภายนอกขึ้นสูง วันเวลาที่ไม่มีศัตรูตามฆ่าสำหรับโต้วเอี้ยนซันนับว่าเป็นวันดี คลานขึ้นมาจากเตียงที่ทำง่ายๆ เขารู้สึกถึงเสียงกร๊อบแกร๊บที่บั้นเอว ตัวเองยังนับถือตัวเองที่สามารถเดินทางได้ห้าพันลี้ในเวลาครึ่งเดือน
โต้วซันยกน้ำล้างหน้ามาให้เขา ผิวน้ำสะท้อนภาพใบหน้าที่อ่อนล้าทรุดโทรม หนวดเคราเต็มใบหน้า ดูแก่ชราลงสิบปีเต็มๆ ผมเผ้ากระจายคลุมหลัง กรอบเหลืองเป็นกระเซิง ตรงข้ามกับร่างกายที่กำยำล่ำสันขึ้นมามาก บีบกล้ามแขนตัวเองรู้สึกแข็งปั๋ง หนุ่มน้อยผิวเนียนขาวแต่ก่อนหายไปชนิดไร้ร่องรอยอีก ขาทั้งสองข้างก็เริ่มมีอาการพัฒนาไปแบบทหารม้า หากยืนชิดเท้าแล้วยังมีช่องขนาดฝ่ามือระหว่างน่อง เวลาเดินคล้ายเป็ด
ตั้งแต่โดนหน่วยข่าวกรองตามติดที่หลั่งโจว เขาจำไม่ได้ว่าวิ่งเป็นระยะทางเท่าไรแล้ว ตายไปแล้วกี่คน ลูกหลานตระกูลโต้วที่กล้าหาญพุ่งไปหาหน่วยข่าวกรองติดๆกันอย่างต่อเนื่อง แล้วก็หายไปหมด เขาเพียงแค่วิ่งไม่คิดชีวิต จะต้องวิ่งให้เร็วกว่าพวกส่งสารจึงจะได้ ไม่ได้มีอุบายอะไรเลย ทั้งไม่มีแผนการที่ดี ได้แค่แข่งความเร็ว เนื่องจากไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร พวกเขาไม่มีทางที่จะเชี่ยวชาญกว่าพวกนักสืบหน่วยข่าวกรอง
จนกระทั่งมุดเข้ามาในป่าลึก พวกติดตามที่แสนน่ารำคาญจึงค่อยๆหายไป ที่นี่เป็นพื้นที่หนานเซ่า คนถังไม่เข้ามา แผ่นดินของราชินีทั่นเกอเป็นพื้นที่ต้องห้ามของคนถังตลอดมา ตระกูลโต้วใช้ชีวิตคนสิบกว่าชีวิตจึงสามารถติดต่อให้ใช้เป็นทางรอดได้ ทั้งแพรต่วนและเสบียงอาหารมากมายแต่ละปีที่ให้ไปไม่ได้เสียเปล่า แผ่นดินของราชินีทั่นเกอกลายเป็นสถานที่ลี้ภัยสุดท้ายของตระกูลโต้ว
วันนี้จะไปพบราชินีอ้วนคนนี้ จะต้องรักษาบุคลิกภาพของคุณชายตระกูลเก่าแก่เอาไว้ โต้วซันคนดูแลบ้านเก่าแก่โกนหนวดเคราตัดขนจมูกเกล้าผมใส่ที่ครอบผมทอง เปลี่ยนรองเท้าบูทหนัง รองเท้าบูทหนังกวางใส่สบายมาก ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป คุณชายที่หล่อเหลากลับมาปรากฏในโลกมนุษย์อีกครั้ง
เสียงร้องของหมูใต้เรือนไม้ไผ่เตือนให้โต้วเอี้ยนซันรู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน ที่นี่ไม่ใช่ฉางอันที่หรูหรา ไม่ใช่บ้านสวนที่อบอุ่นสบาย แต่เป็นหนานเซ่าที่เลวร้ายหาใดปาน เมื่อคืนนี้ตัวเองนอนร่วมกับฝูงหมูในเรือนไม้ไผ่เดียวกัน แค่คิดก็คลื่นไส้ อากาศร้อนมาก กลิ่นเหม็นรุนแรงโชยขึ้นมาตามร่องไม้ไผ่ อบอวลอยู่ในบรรยากาศรอบๆ โต้วเอี้ยนซันพยายามระงับอาการคลื่นไส้ เตรียมไปงานเลี้ยงที่ราชินีจัดเตรียมให้เขา
เข้าไปในเรือนไม้ไผ่ใหญ่ของราชินี ความเจ็บปวดของโต้วเอี้ยนซันก็ยิ่งทวีคูณ เขายอมที่จะอยู่ด้วยกับฝูงหมู ยังดีกว่าอยู่เรือนไม้ไผ่เดียวกับราชินี ไม่ต้องอื่นไกล เนื่องจากใต้เรือนไม้ไผ่ของราชินียังเลี้ยงหมูมากกว่าอีก ทั้งอ้วนใหญ่แข็งแรงกว่า ดังนั้นกลิ่นเหม็นเขียวก็ยิ่งมีมากกว่า
หากเพียงแค่กลิ่นเหม็น สำหรับโต้วเอี้ยนซันที่ผ่านภยันตรายมาแล้วหลายวันยังพอทนได้ แต่สิ่งแวดล้อมในเรือนไม้ไผ่นี้ทำให้เขานึกอยากฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีประสบการณ์ผ่านฉากวาบหวิวมาก่อน ไม่ว่าหอเอี้ยนไหลโหลวหรือหอชุนเฟิงเก๋อ เหล่าสาวน้อยเริงระบำเบาพลิ้วท่ามกลางเพลงหวานละมุน ภาพงามหยดย้อยภายใต้แพรบางทำให้คนหลงใหล เสียงรินสุราใส่จอกไม้ที่ฟังชัดเจน เสียงดนตรีแปรเปลี่ยนจังหวะแผ่วเบาประสานกับกลิ่นหอมของเครื่องสำอาง ทำให้ประสาทรับความรู้สึกไปถึงจุดสุดยอด
เขาหลับตา ผ่านไปเป็นเวลานานแล้วจึงลืมตาขึ้น สิ่งที่เพิ่งเห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นฝันร้าย น่าเสียดายสิ่งที่เป็นความจริงนั้น คนหนุ่มร่างใหญ่ดำเมื่อมสี่ห้าคนกำลังแย่งกันประจบก้อนเนื้อยักษ์ที่นอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ หนุ่มที่ขาวกว่าแกว่งไกวพวงใหญ่ใต้เป้ากำลังปอกกล้วยให้ราชินี ตัวเองกัดส่วนที่ไม่ดีด้านปลายออก แล้วยัดส่วนที่เหลืออยู่เข้าไปในปากที่ใหญ่โต
โต้วเอี้ยนซันสาบานว่าตัวเองไม่ได้เห็นอาการขบเคี้ยวเลย กล้วยลูกนั้นก็ไหลเข้าไปเอง ออกเสียงครางทีเดียวแล้วใช้สองมืออ้วนใหญ่ผลักสองหัวยุ่งที่กำลังนัวเนียบนตัวนางออก แล้วลุกขึ้นมานั่ง เนื้อที่อ้วนฉุสั่นกระเพื่อมดังลูกคลื่น
นี่มันผู้หญิงยักษ์แท้ๆ นั่งอยู่บนเตียงยังดูสูงกว่าโต้วเอี้ยนซันที่ยืนอยู่ สองตาเล็กที่จมอยู่ในกองเนื้อพอเห็นโต้วเอี้ยนก็สว่างขึ้นมาทันที แววตาเช่นนี้โต้วเอี้ยนซันเห็นมาบ่อย ตัวเองก็เคยเป็นครั้งหนึ่งคราวที่เห็นหูจีที่แสนงาม จึงได้ออกอาการที่ชื่นชมมากเช่นนี้ แววตาที่ละโมบจนอยากกลืนกินเข้าไปในท้อง ไม่เคยมีมานานเท่าไหนแล้ว
มีผู้ชายที่มองตัวเองอย่างแค้นเคือง โต้วเอี้ยนซันเป็นคนประสาทไว เขาสามารถรับรู้ถึงความแค้นนิดๆที่อวิ๋นเยี่ยมีต่อเขา ย่อมรับรู้ถึงความริษยาชนิดไม่ได้ปิดบังของพวกผู้ชายที่กำลังชูน้องชายตัวเองอยู่
การไปเป็นแขกรับเลี้ยงบ้านอื่น ย่อมจะต้องเตรียมของขวัญ รับกล่องของขวัญไม้จันทน์หอมจากคนดูแลบ้านเก่าแก่ที่อยู่ด้านหลังแล้ว พยายามไม่มองหน้าอกใหญ่โตที่แกว่งไกวอยู่เบื้องหน้าค้อมตัวลงพูดว่า “ข้าน้อยมาจากฉางอันที่ห่างไกลมาขอบารมีคุ้มครองจากฝ่าบาท ได้รับพระคุณจากฝ่าบาทไม่สามารถตอบแทนฝ่าบาทได้ ได้เพียงถวายของขวัญเล็กน้อย เพื่อความสุขของฝ่าบาท”
ไม่รู้ว่าจะฟังเข้าใจหรือไม่ แต่ราชินีที่แข็งแกร่งดำเมื่อมคว้ามือโต้วเอี้ยนซันหัวเราะร่า ขยำอยู่นานจึงรับกล่องไม้ไป เปิดออกต่อหน้า พอเห็นไม่ใช่พวกหินที่มีแสงสีแวววาวก็ไม่สู้ชอบใจนัก
โดนมือคู่ที่เหนียวชื้นไม่รู้ไปจับอะไรมาลูบคลำอยู่นาน โต้วเอี้ยนซันขนลุกตั้งชันหนาวไปทั้งตัว ตั้งใจว่ากลับไปแล้วต้องใช้ทรายแห้งขัดมือให้ละเอียดถี่ถ้วน หากโดนคว้าอีกครั้ง มือคู่นี้โต้วเอี้ยนซันคงต้องยอมทิ้งไป
พยายามกดความรู้สึกคลื่นไส้ รีบอธิบายว่า “ฝ่าบาทอย่าดูถูกยากอเอี๊ยะสีดำเหล่านี้เป็นอันขาด หากท่านนำไปปิ้งไฟ ดมกลิ่นควันสีเขียวจากกอเอี๊ยะเหล่านี้ทุกวัน ท่านก็จะอายุยืนยาว เป็นสาวพันปี ทำให้ท่านมีความสุขไม่รู้จบ กอเอี๊ยะนี้มีชื่อที่สวยงาม พวกเราต่างเรียกมันว่าหญ้าไร้กังวล…”
ที่ว่าทำมากได้มาก นั้นคือสัจธรรม ไม่ว่าหนทางจะไกลเพียงไร ซีถงก็ค่อยๆไปได้ ต่อให้ลำบากอีกเท่าไร ไฟแค้นที่รอการชำระของโต้วเอี้ยนซันก็ไม่เคยดับ เป็นความแน่นอนของสิ่งเป็นไปเช่นฮองเฮาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝนอวิ๋นเยี่ย
หลี่ไท่เป็นเด็กดี ได้รับหนังสือคณิตศาสตร์ที่แต่งใหม่จากอวิ๋นเยี่ย เห็นด้วยที่จะทำหน้าที่สอนแทนเขา เขาก้าวหน้าได้รวดเร็วมาก ทำหน้าที่นี้ได้อย่างสบาย แน่นอนว่า สิทธิ์ของอาจารย์ทุกเรื่องก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดไป ศัตรูเขามีอยู่มากมาย หมัดที่เขาโดนในการเรียนวิทยายุทธทำให้เขาไม่ลืมตลอดชีวิต ระยะเวลาตั้งแต่เกิดจนก่อนเข้าสถานศึกษาเขายังไม่เคยโดนเตะต่อยมาก่อน ใครจะรู้ได้ว่า สองปีที่ผ่านมาเขาได้รับการเตะต่อยชดเชยทั้งหมดอีกสองเท่า บางครั้งพอกลับวัง แม่นมเห็นรอยฟกช้ำทั้งตัวของเขาแล้วต้องกอดคอร้องไห้ ทั้งเตรียมที่จะฟ้องฮองเฮา แต่การฟ้องไม่ได้ผล หลี่ไท่เคยลองแล้ว ได้แต่ปลอบโยนแม่นมไม่ต้องเสียใจ รับรองว่าตัวเองจะต้องใช้คืนกลับไป จะไม่ให้โดนเปล่าแม้แต่หมัดเดียว
การอิจฉานักเรียนดี เป็นโรคสามัญประจำโรงเรียน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใส่ใจ หลี่ไท่เป็นคนรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักหนักเอาเบาสู้ อย่างมากก็แค่โดนหมัดเท่านั้น จะมีอะไรมากมายนัก
หลี่กังเขียนจดหมายยาวมากฉบับหนึ่งให้อาจารย์เต้าซิ่น อวิ๋นเยี่ยใส่ในอกเสื้อยังรู้สึกได้ว่าหนามาก ลู่หยางวัดม้าขาวอวิ๋นเยี่ยพอรู้จัก รู้ถึงคำวิพากษ์วิจารณ์พิสดารเกี่ยวกับม้าขาวไม่ใช่ม้า เต้าซิ่นอาศัยอยู่ที่นั่น เซ็นนิ้วมือเดียวก็ไม่รู้ว่าเริ่มจากอาจารย์เทียนหลงหรือเต้าซิ่น จำไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยกังวลมากว่าพบเต้าซิ่นแล้ว ไม่ว่าตัวเองพูดอะไร เขาก็จะตอบโดยยื่นให้แค่นิ้วมือเดียว เช่นนั้นคงแย่แน่ เรื่องทุกเรื่องอาศัยการเดาใจ เรื่องกลยุทธ์ที่ทำให้คนงุนงงนับว่าสุดยอด หากเต้าซิ่นไม่รู้จักเซ็นนิ้วมือเดียว ตัวเองน่าจะเอามาลองใช้ดู
ไปลาที่กรมการปกครอง เจ้านายไม่อยู่ ทิ้งหนังสือไว้แล้วก็เตรียมกลับบ้าน รีบออกจากฉางอันดีที่สุด เดินตามถนนรู้สึกว่าขาดอะไรไป คิดใคร่ครวญแล้ว อวิ๋นเยี่ยเพิ่งนึกออก พวกลูกท่านหลานเธอที่มีเหยี่ยวมีสุนัขติดตัวเที่ยวก่อความวุ่นวาย เวลานี้พวกนี้กำลังเข้ารับการศึกษาจากหลิวเซี่ยนที่สถานศึกษาอวี้ซัน ถือว่าเป็นบุญของฉางอันอย่างหนึ่ง ท้องถนนปรากฏสาวๆลูกเศรษฐีนำสาวใช้บ่าวไพร่เดินเล่นมากขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งม่วงแดงเขียวเหลืองดึงดูดสายตาผู้คน น่าเสียดายที่ขาดพวกลูกท่านหลานเธอมาคอยตอแยด้วย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างชื่นชม เช่นพวกสถานเริงรมย์บ่อนพนันขาดผู้อุดหนุนที่มีคุณภาพ กิจการย่ำแย่ลงไปมาก จนแม่เล้าทั้งหลายลำบากกัน เริ่มไล่ล่าแขกเหรื่อตามถนนตั้งแต่เที่ยงแล้ว
หากการไล่ล่าคนอื่นเป็นเรื่องสนุก การไล่ล่าตัวเองจะกลายเป็นเรื่องเศร้า สาวงามตามถนนต่างส่งสายตาดูถูกดูแคลน ทำให้อวิ๋นเยี่ยเสียหน้ามาก แม้แต่เหล่าจวงยังรู้สึกอาย หรือว่าโหวเหยียบ้านเราเป็นคนบ้ากามคนเดียวในถนนจูเชวี่ยหรือ
มีผ้าเช็ดหน้าหอมฉุนตกอยู่ที่อกเสื้ออวิ๋นเยี่ย แล้วส่งสายตาเย้ายวน บิดสะโพกเดินไป ทำให้พวกหนุ่มเสเพลแถวนั้นต่างเฮฮากัน อวิ๋นเยี่ยนึกอยากทิ้งผ้าเช็ดหน้าไป แต่พบว่าบนนั้นมีเขียนตัวหนังสือจนเต็ม
ไม่เคยคาดหวังเลยว่าหลี่อันหลานจะเป็นคนลุยเดี่ยว การช่วยหลี่อันหลานนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การร่วมมือกับอิทธิพลเบื้องหลังนางนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกหญิงชั้นต่ำชั้นเลวเหล่านี้ ก็สามารถต่อรองกับตระกูลเยี่ยได้เชียวหรือ
อวิ๋นเยี่ยเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ มองดูหอเล็กข้างๆ แล้วก็จากไปโดยไม่หันกลับ
คนกลุ่มหนึ่ง หรือน่าจะพูดว่าผู้หญิงทั้งฝูง ยืนอยู่ในห้องมืดครึ้มชั้นสองมองอวิ๋นเยี่ยจากไป คนมีอายุพูดขึ้นว่า “อวิ๋นโหวเป็นคนหยิ่ง ดูถูกผู้หญิงชั้นต่ำอย่างพวกเรา การร่วมมือกับเขานั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
“ข้าบอกแล้วว่า เขาเป็นคนหยิ่งยโส พวกเจ้าทำไม่สำเร็จหรอก เขาไม่ได้สนใจเรื่องสอดส่องในวังแม้แต่นิดเดียว พวกเจ้าก็ไม่ฟัง ทีนี้ เขาก็จะมาโกรธที่ตัวข้าอีก เดิมที เขาไม่พอใจกับการกระทำของข้ามาก คราวนี้คงยิ่งรังเกียจมากขึ้นอีก เขาทำอย่างไรต่อข้าไม่ได้มีปัญหา ขออย่าได้โกรธมาถึงลูกในท้องของข้า หากไม่ได้รับการดูแลจากเขาแล้ว อนาคตของลูกข้าน่าเป็นห่วงแน่นอน”
หลี่อันหลานนั่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับได้คาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนแล้ว ใบหน้าภายใต้หมวกคลุมศีรษะไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
“เรื่องที่พวกเราคิดกันมาหลายปี สำหรับเขาแล้วง่ายดังพลิกฝ่ามือ หากเป็นไปได้ การขอข้าวกินภายใต้ปีกของเขาสำหรับคนต่ำต้อยอย่างพวกเรา เวลานี้กลับกลายเป็นร้ายไปแล้ว โซ่วหยางพูดถูก เด็กในท้องของเจ้าจึงเป็นจุดสำคัญ เขาเป็นเลือดเนื้อของโหวเหยีย โหวเหยียทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ หากคิดหาเจ้านาย เขาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
ขันทีที่ยืนตัวโค้งงออยู่ในเงามืดใช้เสียงแหบแห้งค่อยๆพูด หยุดไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “อวิ๋นโหวคงจะพอรู้อะไรแล้ว เพียงแต่เห็นแก่หน้าอันหลานจึงไม่ได้เปิดโปงเรื่องนี้ หากเขาคิดเล่นงานพวกเรา จะเป็นภัยร้ายยิ่งนัก ต่อไปให้หยุดการลองใจเขาทั้งหมด รอเวลาค่อยๆให้ความสัมพันธ์ทางสายเลือดซึมซับเข้าไปในจิตใจที่ฉลาดเฉลียวของเขา ให้เขามีความเมตตาสงสารพวกเราบ้าง จึงจะเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบ การหลบลี้ไปวัดเส้าหลินครั้งนี้น่าจะอยากให้ความคิดหลุดออกจากวังวนทั้งปวง เรื่องหลิ่งหนาน ยังต้องอาศัยความพยายามของพวกเราเอง”
หลี่อันหลานเชิดศีรษะขึ้นด้วยความทะนง มองดูคนที่ก่อนหน้านี้ทำให้ตัวเองหวาดกลัวแสนสาหัส เมื่ออยู่ภายใต้อิทธิบารมีผู้ชายของตัวเอง กลับดังเช่นสุนัขเร่ร่อนได้เจอราชสีห์ นอกจากยอมแล้ว ไม่มีทางอื่นให้เลือกได้อีก
ลูบคลำท้องที่เริ่มนูนขึ้นเล็กน้อยแล้ว จิตใจมีแต่ความเบิกบาน ป้ายไม้บนคอตัวเอง จึงเป็นยันต์คุ้มกันภัยให้ตัวเองกับเด็กอย่างดีที่สุด เมื่อมีมันแล้ว ผีสางเทวดาล้วนขยาด เกิดความอบอุ่นจากการที่ถูกคุ้มครองครั้งแรกในชีวิต