เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 48
เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ตอนที่ 48 ดอกหมู่ตันฤดูร้อนบานสะพรั่ง
อวิ๋นเยี่ยพบว่าความจริงแล้วสิ่งประดิษฐ์ใหม่จำนวนมากล้วนเกิดขึ้นจากความคิดเพียงแวบเดียวในสมอง เช่นไม้ขีดไฟเป็นต้น นี่เป็นของที่ต้องใช้แรงงานคนมากมายจึงจะทำสำเร็จ ไม่ต้องการเทคนิคที่สูงส่ง ไม่ต้องการความฉลาดหลักแหลม ต้องการเพียงความขยันอดทนเท่านั้น คนขยันอดทนเป็นสิ่งที่ต้าถังไม่เคยขาดแคลนเลยอย่างมากที่สุด สำหรับราษฎรที่ต้องหน้าสู้ดินหลังสู้ฟ้าเหงื่อไหลโทรมกายก็ยังไม่สามารถอิ่มท้องได้แล้ว การผลิตไม้ขีดไฟยังไม่แน่ว่าจะนับว่าเป็นการใช้แรงงานหรือไม่ด้วยซ้ำไป การเพิ่มผลผลิตชนิดใหม่เพื่อสร้างทรัพย์สินใหม่จึงเป็นวิธีการแก้ปัญหาปากท้องของเหล่าผู้หญิงและเด็กได้อย่างดีที่สุด
ซ่านอิงรับไม้ขีดไฟแล้วตัวเองลองขีดอีกก้านหนึ่ง ยังคงมีเปลวไฟลุกติดขึ้นมาส่องจนนัยน์ตาของเขามีแสงแวววับ จากนั้นเขาควักมีดสั้นกะทัดรัดออกมาจากอกเสื้อใช้สองมือยื่นให้อวิ๋นเยี่ย “นี่เป็นมรดกที่มารดาข้าเหลือไว้ให้ยังไม่เคยห่างจากกายข้า ถือว่านี่เป็นของจำนำที่ข้าซ่านอิงกู้หนี้จากตระกูลเยี่ย หลังจากชำระหนี้ได้แล้วจึงจะมารับมีดสั้นนี้คืน” พูดจบก็หันหน้าออกไปแล้วใช้ความพยายามอย่างสูงจัดจึงคลายมีดที่กำไว้ออกมา
“ควรเป็นเช่นนั้น เจ้ายืมเงินข้าไปมากมาย ไม่มีของจำนำเลยจะได้อย่างไร”
อวิ๋นเยี่ยรับมีดแล้วกดที่สปริง มีดนี้ก็ยื่นออกมาหนึ่งนิ้วทันที ใบมีดถูกทาด้วยไขมันบางๆชั้นหนึ่ง ชักมีดแล้วอวิ๋นเยี่ยวาดมีดกลางอากาศสองครั้งตัดกิ่งไม้เล็กๆออกมากิ่งหนึ่งโดยมีดไม่มีร่องรอยเสียหาย แต่ซ่านอิงดูจนรู้สึกปวดร้าวในหัวใจ
อวิ๋นเยี่ยลองรำมีดด้วยท่าไร้ชื่ออยู่พักหนึ่งจึงใส่มีดคืนปลอกมีดแล้วโยนให้ซ่านอิงอย่างไม่ใส่ใจ “จำไว้ตอนนี้มีดนี้เป็นของข้า เพียงแต่มอบให้เจ้ารักษาไว้ห้ามไม่ให้ทำหาย”
พูดจบยังไม่ทันมองหน้าซ่านอิงที่ตื่นเต้นดีใจก็จะไปรับซินเย่ว์ที่เพิ่งประชุมแล้วเสร็จ แอบคิดในใจว่าแต่ละคนล้วนซื่อบื้อทั้งนั้น เห็นมีดโกโรโกโสนั้นสำคัญกว่าชีวิตเสียอีก ทำราวกับคนจะแย่งของวิเศษจากเจ้า ช่างเหมือนแผ่นแป้งปิ่งกันในมือขอทานหรือกระดูกในปากสุนัขดุ แต่พอเห็นซินเย่ว์ที่อรชรอ้อนแอ้นเดินออกมาจากในบ้านก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที นี่สิจึงเป็นกระดูกของข้า หากใครคิดแย่งต้องโดนปลิดชีพแน่นอน
พักอยู่ในลั่วหยางสามวัน โหวฮูหยินเชิญซินเย่ว์ไปบ้านผู้ลากมากดีที่ปลูกต้นสมุนไพรเสาเย่าฤดูร้อนเป็นกรณีพิเศษ ต้นยุคต้าถังยังไม่ได้แยกแยะสมุนไพรมากนักจึงเรียกรวมๆกันว่าสมุนไพรเสาเย่า
เสาเย่าบ้านอื่นล้วนบานสะพรั่งเดือนสี่เดือนห้า มีแต่บ้านเขาที่บานสะพรั่งเดือนหก เล่ากันว่ามีไม้ดอกบางชนิดสามารถออกดอกได้ปีละสองครั้ง เป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก พอซินเย่ว์กลับมาก็รบเร้าอวิ่นเยี่ยไม่เลิกราว่าจะเอาดอกหมู่ตัน ทั้งยังว่าดอกหมู่ตันสีม่วงของบ้านนั้นเข้ากับนางได้มากที่สุดหากได้มาประดับกายแล้วคงจะงามมากเลย ปกติซินเย่ว์เป็นคนมีวินัยจัดไม่เคยเรียกร้องเอาโน่นเอานี่จากอวิ๋นเยี่ย ระยะนี้เกิดอะไรขึ้นจึงได้หย่อนยานลง
แต่นี่ก็เป็นนิสัยของคนตระกูลอวิ๋นแท้ๆเลย เรื่องหรูหราฟู่ฟ่าไม่ยอมตามติดคิดแต่เรื่องต้องใช้ให้คุ้มไม่เสียของ เพราะเห็นๆอยู่แล้วว่าอีกสองวันก็จะพ้นช่วงดอกไม้บาน ความสวยงามทั้งหมดจะกลายเป็นโคลนตมแล้วซินเย่ว์ก็สุดแสนจะเสียดาย สู้เอามาประดับประดาให้สวยงามจะดีกว่า ตระกูลอวิ๋นมีน้ำยารักษาดอกไม้ให้สดได้ถึงสี่ห้าวัน
เสี่ยวชิวที่ติดตามซินเย่ว์ไปได้โบ้ยใบ้กับเจ้าของบ้านหลายรอบแล้ว บ้านซ่งที่ปลูกดอกไม้ก็แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจทำให้ทั้งนายบ่าวต่างรู้สึกลำบากใจ ในเมื่อภรรยาที่ไม่เคยปริปากได้เอ่ยปากออกมา อวิ๋นเยี่ยก็เห็นว่าภรรยาพูดถูกต้องแม้ต้องแย่งชิงก็จะแย่งชิงมาให้ได้
ทั้งคนดูแลบ้านทั้งคนดูแลร้านได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยเล่าแล้ว เฉียนทงกับผู้ดูแลร้านไป๋ต่างอดรนทนไม่ได้ นายหญิงบอกแล้วว่าอยากได้ดอกสมุนไพรเสาเย่าอย่างมากเตรียมนำกลับไปแช่น้ำยาแล้วปักไว้บนศีรษะ เจ้าของบ้านนั้นไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ไม่รู้จักรีบตัดออกมาให้นายหญิงน้อยไว้ปักบนศีรษะ ดอกไม้บ้านเขาได้ปักบนศีรษะนายหญิงน้อยเท่ากับให้เกียรติบ้านเขาเต็มที่ ช่างเป็นเรื่องที่สุดแสนจะทนทานได้ ไม่เคยเห็นบ้านไหนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมากเท่านี้มาก่อน ไม่รู้ว่าทำไมจึงสร้างฐานะได้ดีมากมายเช่นนี้ได้
ผู้ดูแลบ้านยังไม่คุ้นเคยเรื่องลั่วหยางแต่ผู้ดูแลร้านก็ออกอารมณ์ก่อนแล้ว ก่นด่าบ้านซ่งโขมงโฉงเฉงว่าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีรู้จักแค่ปลูกต้นเสาเย่า ตั้งแต่บรรพบุรุษมาไม่รู้กี่ชั่วคนเห็นดอกไม้ไม่กี่ต้นสำคัญกว่าชีวิต เขาจะไปเด็ดดอกไม้ที่บ้านซ่งด้วยมือตัวเอง จะเก็บทุกดอกที่บานสะพรั่งเพื่อให้นายหญิงน้อยได้เปลี่ยนทุกวัน จะไม่ทำให้ดอกไม้เหล่านั้นต้องสูญเสียทิ้งเปล่า
ซินเย่ว์ก็พยักหน้าผสมโรงด้วยทั้งกำชับให้ผู้ดูแลร้านไป๋เด็ดกลับมามากๆ สีเหลืองก็ดี สีชมพูก็งาม ได้มาแล้วจะแบ่งให้ภรรยาเสี่ยวหนิวกับภรรยาน้อยเฉินฉู่มั่วไปบ้าง
เห็นผู้ดูแลร้านไป๋นำทหารออกจากบ้านด้วยอารมณ์คุกรุ่นแล้วอวิ๋นเยี่ยพูดว่า “เราสองคนสามีภรรยาช่างเหมาะสมกันมาก สามีเจ้าฟันต้นชาชาวบ้าน ภรรยาข้าเด็ดดอกไม้ของหวงชาวบ้าน ทั้งคู่ต่างพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ฮ่าๆ ยอดเยี่ยมจริงๆ จริงสิที่รัก เจ้าไม่กลัวชาวบ้านจะเรียกพวกเราว่าโจรปล้นดอกไม้หรือ”
ซินเย่ว์ปิดปากหัวเราะพูดว่า “สามีข้าเป็นภัยร้ายสามประการแห่งฉางอันที่ชื่อเสียงโด่งดัง ข้าเป็นภรรยาถ้ามีชื่อเสียงดีเกินไปก็ใช้ไม่ได้แล้ว หลักการสังคมสามีภรรยาย่อมต้องไปในแนวทางเดียวกันเสมอ”
อวิ๋นเยี่ยบิดจมูกซินเย่ว์หนึ่งทีแล้วมองดูผลทับทิมสักพัก เห็นไม่มีผลที่จะสุกในวันสองวันนี้จึงหันมาพูดช้าๆว่า “เจ้านี่ ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงใจร้อนอะไรนักหนา เรื่องในบ้านไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องอยู่ในมือของเจ้า ท่านย่าอายุมากแล้ว ตั้งแต่พวกเราแต่งงานท่านก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้านแล้ว ทุกอย่างแล้วแต่เจ้าจัดการ ที่บีบคั้นผู้ดูแลร้านไป๋ขนาดนี้เป็นเพราะอะไรหรือ”
ซินเย่ว์บิดผ้าเช็ดหน้าอย่างขวยเขินเบียดเข้าใกล้อวิ๋นเยี่ยพูดว่า “ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องท่านย่า ท่านรักเอ็นดูข้าขนาดนี้ ของทุกอย่างในบ้านช้าเร็วก็ต้องมอบให้ข้าหมด ข้าห่วงเพียงถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของท่านต่างหาก”
อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างงงงวย “ถูกทิ้งอยู่ข้างหลังใคร ใครจะแย่งไปอยู่ข้างหน้าเจ้า”
“ท่านไม่รู้หรือว่าผลประโยชน์ในทุ่งหญ้ามีมากมาย วัวที่ส่งมาเข้าด่านมีถึงห้าร้อยตัวส่วนขนแกะที่ท่านว่าพวกเขาก็เริ่มส่งมาแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็จะมีขนแกะชุดแรกส่งเข้ามา อาจารย์กงซูของสถานศึกษากำลังคิดหาวิธีปั่นขนแกะให้เป็นเส้นด้ายเพื่อใช้ทอให้เป็นผ้าผืน ก่อนพวกเราออกเดินทางอาจารย์กงซูให้คนส่งผ้าขนสัตว์พับเล็กๆมา เวลานี้เนื้อผ้ายังหยาบมาก อาจารย์บอกว่าขอให้ค่อยๆคิดค้นหาวิธีต่อไปก็จะสามารถทอเป็นผ้าละเอียดอ่อนนุ่มได้
ตระกูลบิดาข้าทำการค้าผ้าแพรไหมทำไมข้าจะไม่รู้ว่ามีผลกำไรแค่ไหน อีกทั้งขนแกะนอกจากเสียค่าขนส่งกับค่าแรงงานแล้วก็ไม่ต้องเสียต้นทุนอื่นอีก ข้าลองคำนวณดูแล้วได้กำไรมากมาย อนาคตจะเป็นสินค้ารายได้สูงกว่าสินค้าชนิดอื่นทั้งหมด
อีกทั้งหลี่อันหลานที่สมควรตายนัก ท่านก็เตรียมปูลู่ทางเก็บทองคำให้นางไว้ทำธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินทุน มีแต่ข้าที่ช่างน่าสงสาร ธุรกิจตระกูลอวิ๋นต้องการชื่อเสียงทั้งเมืองฉางอันก็ต้องการชื่อเสียง หากข้าบกพร่องต่อคนงานเพียงเล็กน้อยท่านก็จะโกรธท่านย่าก็จะโกรธด้วย ท่านดูสิว่าทั้งเมืองฉางอันมีคนงานตระกูลไหนได้มากเท่าของเรา ทั้งหมดนี้ต้องนับรวมเป็นต้นทุนทั้งนั้น
พวกนางทั้งคู่สบายเลย คนหนึ่งได้แรงงานเปล่าๆแค่ให้ข้าวกินก็ถือเป็นบุญเป็นคุณ อีกคนเล่นเอากองทหารเป็นโจรทำธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินทุน ข้าสิต้องทำธุรกิจตามแบบตามแผนแล้วจะไปแข่งชนะพวกนางได้อย่างไรกัน”
อวิ๋นเยี่ยโดนซินเย่ว์กล่าวหาจนหน้าแดงเป็นกวนอู แต่ละคำล้วนแต่ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนทรยศไร้น้ำใจ มีแต่ส่วนดีให้ผู้หญิงนอกบ้านที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย ในบ้านมีแต่ภรรยาที่ถูกต้องทนทุกข์ลำบากอยู่คนเดียว
“พูดอะไรเลอะเทอะไปหมด ข้าแต่งงานมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น เรื่องไร้สาระอย่ามาพูดมั่ว สองคนนั้นเป็นผู้หญิงโชคร้ายต่างหาก”
“โชคร้าย? โชคร้ายจนมีลูกกับท่านแล้ว ข้าเป็นเมียใหญ่กลับยังท้องแบนแห้งอยู่ คนที่อยู่ทุ่งหญ้าฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็จะมาฉางอันมาให้ท่านทำเด็กให้ สามีเอ๋ยช่างมีฝีมือแน่จริงๆ” พูดจบยังถือจดหมายแกว่งไปมา
อวิ๋นเยี่ยยื่นมือแย่งมาได้ถือโอกาสตีก้นซินเย่ว์ได้หนึ่งที ถลึงตาว่า “ดูเจ้าถูกตามใจจนเสียนิสัยเริ่มขโมยอ่านจดหมายข้าแล้ว ไม่มีมารยาท”
หากเป็นเรื่องอื่นซินเย่ว์อาจเกรงกลัว แต่พอเป็นเรื่องครอบครัวนางกล้าที่จะบุกเดี่ยวร้องทุกข์ถึงสวรรค์ได้ ตัวเองถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณี แค่พูดเท่านั้นก็ยังโดนตี เดิมนึกจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้อง แหงนหน้าสี่สิบห้าองศามองฟ้าไม่พูดไม่จา
ไม่สนใจยายบ้านี้อีกแล้ว สองวันนี้ไม่รู้เป็นอะไรอารมณ์เสียตลอดเวลา รีบดึงจดหมายออก ทุ่งหญ้านั้นเกี่ยวพันกับความหวังของอวิ๋นเยี่ย การที่จะทำให้ทุ่งหญ้าผูกติดกันอย่างเหนียวแน่นกับพื้นที่ส่วนกลางให้มีผลประโยชน์ร่วมกันนั้น ก็ต้องดูว่าเร่อมู่แต่ละปีจะสามารถส่งขนแกะในปริมาณมากเพียงพอหรือไม่ หากสามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ จะต้องกลายเป็นฝันร้ายที่ยิ่งใหญ่ของชนเผ่าทุ่งหญ้า
ในเมื่อยุโรปสามารถเกิดโศกนาฏกรรม‘แกะกินคน’ได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่นั้นได้ เผ่าฮั่นไม่ใช่ไม่มีกำลังในการรุกรานทุ่งหญ้า แต่เพราะขาดผลประโยชน์ที่เพียงพอ หากมีผลประโยชน์เพียงพอต่อให้คนในทุ่งหญ้าต่างหลบอยู่ในรูตุ่น ทหารต้าถังที่นัยน์ตาแดงก่ำก็ยังจะขุดพวกเขาออกมาทีละคนส่งเข้าไปในฟาร์มปศุสัตว์เพื่อเอามาเลี้ยงแกะให้ตัวเอง
พื้นที่รกร้างจะไม่ใช่พื้นที่รกร้างอีกต่อไป พื้นที่ว่างเปล่าจะกลายเป็นสวนดอกไม้ที่มีทั้งน้ำนมและน้ำผึ้ง คนขี้ขลาดจะกลายเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ใคร ตั้งแต่ทุ่งหญ้ามงโกลจนถึงขั้วโลกเหนือล้วนเป็นฟาร์มปศุสัตว์ของต้าถัง
เจ้าเร่อมู่จัดการได้ดีทำให้วัวแกะเพิ่มจำนวนขึ้นมามาก ทั้งยังรู้จักจัดสรรผลประโยชน์ มักจะส่งวัวแกะที่เก็บมาได้ให้ค่ายทหาร ข้าวของที่อวิ๋นเยี่ยให้กองคาราวานส่งไปทุ่งหญ้าก็แบ่งบางส่วนให้เหล่าทหารชายแดน ทำให้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมาก
ส่วนการที่เหล่าขุนพลพบว่าครอบครัวตัวเองอยู่ดีๆมีฟาร์มปศุสัตว์เล็กๆเพิ่มขึ้น ในนั้นมีแกะหลายสิบตัวเดินว่อนไปมา บอกว่าเป็นของครอบครัวตัวเองเพียงแต่เร่อมู่ดูแลวัวแกะของพวกเขาแทนให้เท่านั้นเอง ส่วนที่ดินฟาร์มปศุสัตว์ผืนนี้ เหล่าขุนพลในค่ายทหารใช้นิ้วมืออ้วนใหญ่ขีดผ่านแผนที่ขนาดเล็กที่สุด พบว่าขนาดเท่ากับที่แม่ทัพใหญ่หลี่จิ้งแบ่งให้เร่อมู่แต่แรกนั้นไม่มีผิดเพี้ยน ไม่เชื่อก็ลองดูนิ้วพวกข้าที่วาดผ่านแผนที่เป็นเส้นทางเดียวกับของท่านแม่ทัพใหญ่เลยทีเดียว
คนเก็บวัวแกะเพิ่มขึ้นมากะทันหันโดยเฉพาะพวกทหารชายแดน พวกเขาเริ่มเก็บวัวแกะในทุ่งหญ้า มีหลายครั้งที่ในพื้นที่ของเซวียเหยียนถัวเก็บได้หลายร้อยตัว
นี่คงเป็นความคิดของภรรยาขุนพล เด็กสาวที่ขับเคี่ยวอยู่ในวงการอำนาจบารมีมานานจนกลายเป็นหญิงสูงวัย ได้ปลดปล่อยสติปัญญาอันเลิศล้ำของนางออกมาทั้งหมด มิน่าที่นางไม่ยอมกลับไปพื้นที่ส่วนกลาง ที่แท้เพราะอยากทดสอบความสามารถของตัวเองนั่นเอง
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะออกมา ล้วนเป็นเจ้านายที่ถูกแสงแม้เพียงเล็กน้อยก็ระยิบระยับได้ คนชนิดนี้ช่างมีมากเกินไปแล้วในโลกนี้
“เจ้าหัวเราะอะไร คำพูดของหญิงคนรักน่าประทับใจนักหรือ”
อวิ๋นเยี่ยหันศีรษะไปเห็นซินเย่ว์ที่เพิ่งกำลังแหงนหน้ามองฟ้า เวลานี้กำลังฟุบอยู่บนบ่าตัวเอง ถลึงตากลมโตจ้องหน้าตัวเองอยู่