เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ ตอนที่ 53 เรียบร้อยแล้วก็สะบัดแขนเสื้อหนี
- Home
- เจาะเวลาสู่ต้าถัง
- ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ ตอนที่ 53 เรียบร้อยแล้วก็สะบัดแขนเสื้อหนี
ไฟลุกไหม้ทั้งคืน หินบางส่วนถูกเผาจนเป็นสีแดงและยังติดไฟอยู่ อวิ๋นเยี่ยกับซุนซือเหมี่ยวพากันนั่งดื่มเหล้า แม่ทัพไป๋เหยี่ยนก็ถูกอวิ๋นเยี่ยเรียกมาดื่มด้วย
“อวิ๋นโหว เรื่องของเราเสร็จสิ้นลงแล้ว?” แม่ทัพไป๋เหยี่ยนรู้สึกเบื่อกับความสงบในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่มีการฆ่าฟัน ไม่มีการวางกลยุทธ์ ทำไมฝ่าบาทต้องย้ายตัวเองมาจากชายแดน เรื่องราวต่างๆ ที่ชายแดนซับซ้อนกว่าที่นี่ตั้งเยอะ
“ชื่อนามสกุลของท่านแม่ทัพล่ะ”
“ข้านามสกุลหยวน ชื่อฉี่ ฉายาจงเต้า เหตุใดวันนี้ท่านโหวถึงได้ถามชื่อของข้า”
“เมื่อก่อนไม่ถามเพราะว่าหากต้องฆ่าฟันกันขึ้นมาจะได้ไม่รู้สึกผิด ฆ่าคนแปลกหน้าคนหนึ่ง กับฆ่าคนรู้จักคนหนึ่งมันเป็นสองแนวคิด ในเมื่อตอนนี้ไม่จำเป็นต้องฆ่าเจ้าแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องถามชื่อนามสกุลเจ้า”
“หากมีอะไรผิดพลาด ท่านจะฆ่าข้าจริงๆ หรือขอรับ”
“แน่นอนว่าต้องฆ่า หากมันล้มเหลวเพราะเจ้า เจ้าจะถูกฝ่าบาทฆ่าทั้งชั่วโคตร ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
สีหน้าของหยวนฉี่ซีดเซียว เขาฟังน้ำเสียงของอวิ๋นเยี่ยออกว่าไม่ได้ล้อเล่น เหงื่อเย็นที่หลังของเขาไหลลงมาทันที นึกถึงคำพูดที่หนักแน่ของฝ่าบาทก่อนออกเดินทาง การออกเดินทางครั้งนี้จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นต้องตัดหัวกลับออกมาเจอข้า
พวกเขากำลังทำอะไรกันแน่ ทำไมซุนซือเหมี่ยวต้องเปลือยกายออกมาจากถ้ำ ทำไมเขาต้องใช้ไฟเผาทำลายร่องรอยทั้งหมดในถ้ำ และทำไมถึงได้มีเสียงพิณที่ไพเราะออกมาจากหน้าต่างระบายอากาศ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าข้างในนั้นไม่มีพิณ ซุนซือเหมี่ยวกับพวกเขาก็ไม่ได้เอาเข้าไปด้วย แล้วตัวเขาเองกำลังเฝ้าดูอะไรอยู่ ทำไมอวิ๋นโหวถึงต้องวาดภาพเต่าให้กับฝ่าบาท
หลังจากนักโทษเข้าไปในถ้ำรอบหนึ่ง พวกเขาออกมาก็กลายเป็นราษฎรธรรมดา บนโลกใบนี้มีเรื่องแปลกๆ เช่นนี้ มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย? หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปใครยังจะกลัวโทษประหาร?
“อย่าคิดมาก เรื่องเช่นนี้เจ้ายิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี คิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน ลืมมันไปซะ!” เสียงที่แผ่วเบาของอวิ๋นเยี่ยลอยเข้ามา ทำให้หยวนฉี่ตกใจ เขาไม่ควรรู้เรื่องพวกนี้จริงๆ รู้แล้วมันอาจจะวุ่นวายได้
ทหารม้าเร็วที่ไปส่งจดหมายพึ่งจะโผล่ออกมาจากภูเขาฉินหลิ่งเมื่อตอนเที่ยงคืน ตีนเขาได้ทำการจัดที่พักเอาไว้สว่างไสว ทหารอยู่เวรเห็นทหารม้าเร็วโผล่ออกมาจากภูเขาอย่างน่าสังเวช เขาไม่พูดไม่จา จูงม้าออกมาห้าตัว ตอนที่ทหารขึ้นขี่ม้าเขายกเหล้าหมักออกมาไหใหญ่ เอาให้เหล่าทหารทั้งห้าคนละจอกแล้วก็ขี่ม้าจากไป ตอนเริ่มก่อตั้งที่พัก แม่ทัพออกคำสั่งแล้วว่าในฐานะที่เป็นวิญญาณ อย่าพูดจาจะดีกว่า
หลังจากดื่มเหล้าหมักหมดไปหนึ่งไห ทั้งห้าคนไม่รอช้า รีบเหยียบขึ้นหลังม้าปักธงสีแดงให้ตัวเอง ตะโกนแล้ววิ่งไปทางฉางอัน
มาถึงฉางอันตอนตีหนึ่ง ประตูเมืองจูเชวี่ยได้ยินเสียงกระดิ่งม้า เสียงกระดิ่งเช่นนี้เป็นเสียงของทูตม้าเร็ว ไม่กล้ารอช้า ตัวเองเดินออกมาจากประตูเล็ก ยืนอยู่ที่ประตูเตรียมตรวจดูหนังสือเดินทาง
ไม่มีหนังสือเดินทาง มีป้ายคาดเอวลอยเข้ามาในความมืด รับมันมาแล้วรีบเปิดประตูข้างอย่างรวดเร็ว ป้ายคาดเอวของหน่วยข่าวกรอง ไม่มีใครกล้าขัดขืน
วันนี้เป็นการประชุมราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างพากันมารออยู่ที่หน้าประตูตำหนัก ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาสองคนไม่ชอบไปนั่งรอที่ห้องข้างๆ พวกเขาจึงยืนพูดคุยกันอยู่ข้างนอก เมื่อกำลังพูดถึงเรื่องความแตกต่างของน้ำหมึกจะส่งผลต่อสุนทรียศาสตร์หรือไม่ ตู้หรูฮุ่ยที่หูไหวก็หันหน้ามองไปที่ปลายถนน
ม้าเร็วห้าตัววิ่งออกมาจากความมืด เหล่าขุนนางที่เดินอยู่บนถนนต่างพากันหลบทางให้ หลี่ไท่โผล่หัวออกมาจากรถม้า มองดูเหล่าขุนนางแล้วหัวเราะ เหล่าขุนนางที่งงงวยส่งสายตาสงสัยให้เขา เขารีบใช้มือปิดปาก เสแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร แต่รอยยิ้มในสายตาของเขากลับไม่สามารถปกปิดได้
ฝางเสวียนหลิงเดินไปเปิดม่านรถม้าของหลี่ไท่และเข้าไปนั่ง ต้าถังไม่เคยมีความลับกับขุนนางชั้นสูง ดังนั้นเมื่อฝางเสวียนหลิงออกจากรถม้าด้วยความตื่นเต้น ก้าวขาลงมา ตู้หรูฮุ่ยก็รีบเดินเข้ามาถาม “สหายเสวียนหลิง เรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าพอใจถึงเพียงนี้”
“เค่อหมิง เดี๋ยวเจ้าก็รู้ เมื่อครู่ข้าไปถามเว่ยอ๋อง ข้าก็เสียมารยาทมากพอแล้ว สรุปแล้วก็คือเรื่องดี เจ้ากับข้าทำการจัดเตรียมพิธี ระฆังของตำหนักฉีเทียวจะดังขึ้นในไม่ช้า ดังกว่าหนึ่งร้อยแปดครั้ง”
ตู้หรูฮุ่ยตกใจจนอ้าปากค้าง กองทัพทหารทำลายประเทศที่มีอำนาจ เอาชนะศัตรู หรือจับหัวหน้าชนเผ่าได้ ตีระฆังดังแค่เก้าสิบเก้าหรือแปดสิบเอ็ดครั้ง เอาชนะชนเผ่าเกาชังยังไม่ถึงกับต้องตีระฆัง มันคือใครกันแน่ที่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น ความดีความชอบเช่นนี้ แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องโค้งคำนับขอบคุณ ฮองเฮายังต้องยกจอกเหล้าไปให้เอง รัชทยาทต้องคุกเข่าโค้งคำนับ เหล่าขุนนางต้องพากันเคารพนับถือ บอกได้ว่าเป็นความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทุกคนต้องก้มหน้าให้คนคนเดียว ต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์และวาดภาพเหมือนเก็บไว้ในตำหนักฉีเทียน
ไม่รอให้เขาได้หายตกใจ ระฆังของตำหนักฉีเทียนที่อยู่ตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังก็ดังขึ้น หลี่ไท่ ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยได้เตรียมหมวก สะบัดแขนเสื้อ ยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เหล่าขุนนางคนอื่นๆ ที่กำลังยุ่งพากันรีบกระโดดลงจากหลังม้า คนที่นั่งอยู่บนรถม้าก็ลงมาจากรถม้า คนที่ชอบนั่งบนเก้าอี้ก็ไสหัวลงมาจากเก้าอี้ พากันยืนตรงหันหน้าไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คิดว่ากองทัพทหารรบชนะอีกแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ช่วงนี้มักจะมีรายงานการสู้รบอยู่เสมอ คิดว่าจะมีเสียงระฆังสักเก้าครั้ง สิบครั้ง หรือมากสุดก็เพียงแค่ยี่สิบเจ็ดครั้ง ใครจะรู้ว่ามีเสียงระฆังดังขึ้นมาตั้งหนึ่งร้อยแปดครั้ง นี่มันช่างน่าตกใจ ไอ้สารเลวคนไหนโชคดีขนาดนี้ เหล่าขุนนางพากันมาสืบความ
ชาวตลาดในฉางอันคิดว่าเปิดตลาดแล้ว ทว่าทันทีที่เปิดประตูก็ถูกชายเฒ่าผู้มากประสบการณ์ตบเข้าให้ ชายที่แม้แต่เสียงระฆังก็ฟังไม่ออก ยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองเป็นคนฉางอันได้อีกหรือ
ไม่มีการประชุมราชสำนักแต่อย่างใด ขุนนางกรมพิธีกรรมทุกคนเข้ามาพระราชวัง ผู้อาวุโสทั้งหมดเข้ามาในพระราชวัง ราชวงค์เข้ามาในพระราชวัง แล้วยังมีคนที่ฮองเฮาเรียกให้เข้าเฝ้า เหล่าภรรยาขุนนางระดับสี่ขึ้นไปเข้ามาในพระราชวัง ฮูหยินของกั๋วกงทั้งหลายเข้ามาในพระราชวัง พระชายาเข้ามาในพระราชวัง สรุปก็คือพระราชวังกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่อย่างครึกครื้น โคมไฟประดับประดาอยู่ทุกหนทุกแห่ง เรียกใช้สาวใช้และขันทีราวกับเรียกใช้งานลา เดินไปมาระหว่างตลาดกับพระราชวังกันอย่างครึกครื้น
ในที่สุดเหล่าขุนนางก็หมดกังวล สรุปแล้วไอ้สาร…ผู้สูงส่งคนนั้นคือซุนเทพเซียน ทุกคนสงบสติอารณ์ลงทันที ความสำเร็จของเทพเซียนเรียกว่าผู้สูงส่งได้หรือ ซุนเทพเซียนเอาตัวเองไปเป็นคนทดลองยา ในที่สุดก็หายาเอาชนะไข้ทรพิษได้ มันง่ายหนักหรือที่ใช้ยามาทดลองกับตัวเอง แล้วใส่เสื้อผ้าของคนที่ป่วยเป็นไข้ทรพิษ ใช้ชีวิตในถ้ำตามลำพังเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่สุดท้ายก็มีชีวิตรอดออกมา ไม่ติดเชื้อ! คนต้าถังที่ไม่กลัวมีตั้งมากมาย แต่คนที่กล้าใส่เสื้อผ้าของคนป่วยไข้ทรพิษมีแค่ซุนซือเหมี่ยวคนเดียวเท่านั้น คนอื่นแค่คิดก็เหงื่อตกแล้ว
ต้องได้รับการขอบคุณที่ดี มันไม่มีอะไรมากเกินไป ทุกคนล้วนแต่มีชีวิตสุขสบายไปวันๆ หากจู่ๆ มีคนในครอบครัวเป็นไข้ทรพิษหนึ่งคน คนทั้งบ้านก็จะซวยไปด้วย โรคระบาดนั้นไม่แบ่งแยกชายหญิง ไม่แบ่งแยกเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าเจ้าจะร่ำรวยหรือยากจน ไม่มีทางที่จะไม่ติดโรคเพราะที่บ้านกินเนื้อเยอะเกินไป ป้องกันไม่อยู่ บางทีวันหนึ่งมันอาจจะมาตกที่เจ้า โรคระบาดที่โซ่วโจว ซวยกันทั้งเมือง ตายกันไปเป็นกอง ส่วนคนที่ไม่ตายก็มีชีวิตอยู่พอๆ กับผี ครอบครัวของผู้ว่าการเมืองโซ่วโจวก็ตายกันไปหมดเหลือเพียงลูกสาวแค่คนเดียว แล้วยังกลายเป็นคนบ้า ว่ากันว่ากระโดดลงไปในบ่อน้ำถึงสามครั้งแต่ก็ไม่ตาย
ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เพียงแค่ไปเอายามาจากซุนซือเหมี่ยว มีบาดแผลเล็กๆ ที่แขนซึ่งฝังยาเข้าไป มากสุดก็แค่มีอาการไข้ต่ำๆ สองวัน จากนั้นทั้งชีวิตก็ไม่ต้องกลัวไข้ทรพิษอีกแล้ว ได้ยินมาว่าถึงแม้ว่าจะนอนเตียงเดียวกันกับคนเป็นไข้ทรพิษก็ไม่มีปัญหา มีแค่ไข้ต่ำๆ คุ้มค่าที่สุด
ขุนนางกรมพิธีกรรมกำลังเตรียมพิธี เชิญนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเหยียนจือทุยมาเขียนให้เป็นพิเศษ ชายเฒ่าไม่ได้จับพู่กันมาหลายปีแล้ว ได้ยินเช่นนี้ เขาก็พอใจเป็นอย่างมาก บอกว่าจะต้องไปเขียนเองกับมือ แล้วยังบอกว่าเขาจะไปขอบคุณซุนซือเหมี่ยวด้วยตัวเอง ไปถามเขาว่าตัวเองยังต้องเป็นไข้ต่ำสักสองวันหรือไม่
ขุนนางกรมพิธีกรรมได้ยินเช่นนี้ รถม้าที่หรูหรา พัดที่หรูหราจะขาดตกไปไม่ได้ ตอนที่หลี่ไท่ออกเดินทางได้แค่พัดเล็กๆ สองอัน ครั้งนี้เอาให้เหล่าซุนตั้งหกอัน แม่ทัพนำทาง อัครมหาเสนาบดีคอยช่วยเหลือ ขุนนางกรมพิธีกรรมขับร้องเพลง ฝ่าบาทและฮองเฮามาต้อนรับที่ถนนจูเชวี่ย บอกว่าเขาลำบากแล้ว
คนที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่ซุนซือเหมี่ยว เพราะเหล่าซุนซ่อนตัวอยู่ในภูเขาฉินหลิ่งและใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัวทำลายเชื้อโรคทุกวัน ส่วนคนที่มีความสุขที่สุดที่ว่านั้นคือกลุ่มนักบวชลัทธิเต๋าของสำนักเสวียนตู มีความสุขจนจะเป็นบ้า หยวนเทียนกังสั่นลิ้นเล็กๆ ทั้งวัน เล่าให้ซานชิงฟังว่าท่ามกลางโลกมนุษย์ ตัวเองรักษาลัทธิเต๋าไว้ได้เช่นไร
เฉิงเสวียนอิงอ้าปากถอนหายใจยาว แบกดาบกู่ติ้งของตัวเองและสวมรองเท้าแตะไปยังทะเลตงไห่ มีซุนซือเหมี่ยวคอยรับหน้าให้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เสียหน้า
“เหล่าเต้า ได้ยินมาว่าเมืองฉางอันครึกครื้นมาก ทุกคนล้วนแต่ยื่นหัวออกมาดูเทพเซียน เจ้าจะเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำไม่ได้ ใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัวทุกวัน หนาวจะตาย คนดีๆ ที่ไหนเขาทำเช่นนั้น”
อวิ๋นเยี่ยจับเต่าออกมาจากกะละมัง เอามาวางบนจานของเขา จากนั้นก็หยิบช้อนขึ้นมาสองอัน กินซุปเต่าอย่างมีความสุขพร้อมกับบ่นซุนซือเหมี่ยวที่อยู่ข้างหน้า
“ไอ้หนุ่ม เดินทีเรื่องนี้ควรเป็นความดีความชอบของเจ้า ข้าช่างรู้สึกผิด”
“ช่างมันเถอะ พิธีนี้เจ้าก็รับเอาไปเถิด หากข้ารับพิธีนี้มา เดี๋ยวก็จะถูกคนพวกนั้นฉีกเป็นชิ้นๆ เห็นแก่ชีวิตอันน้อยนิดของข้า ท่านรับมันไว้เถิด ข้าอยู่ข้างๆ ก็พอ ลัทธิเต๋าของเจ้ายังมีปัญหาอีกมากมาย ต้องการความดีความชอบเรื่องนี้ไปทำให้มันกลับมาสงบ แล้วอีกอย่าง ท่านรับไว้หรือข้ารับมันก็เหมือนกัน ผลประโยชน์ที่ข้าขาดไม่ได้ ข้าจะไปรนหาที่เองทำไม ต่อไปยังต้องการชื่อเสียงของท่านในการแพร่กระจายวัคซีน”
ซุนซือเหมี่ยวยิ้ม เขาไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับอวิ๋นเยี่ยอยู่แล้ว สำหรับเขา ชื่อเสียงคือภาระของเขา หากไม่ใช่เพราะความต้องการของลัทธิเต๋า ไม่ว่าเช่นไรเขาก็ไม่มีทางรับเอาความดีความชอบนี้เอง สำหรับเขาแล้ว รีบแพร่กระจายวัคซีนคือเรื่องใหญ่
ดวงอาทิตย์ขึ้นมาอยู่บนหัว อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะตื่นขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้หลับไปนานขนาดนี้ เสียงรบกวนจากการที่หยวนฉี่และคนอื่นๆ กำลังจัดเตรียมการเดินทางไม่ได้ปลุกเขาตื่นแต่อย่างใด ส่วนซุนซือเหมี่ยวที่ควรอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามหายตัวไปแล้ว บนโต๊ะมีจดหมายสองฉบับ หลังจากอ่านจดหมายที่เขียนให้ตัวเอง อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะร้องไห้ เหล่าเต้าพาคนลองยาทุกคนไปหายาสมุนไพรที่ภูเขาฉินหลิ่ง บอกว่าอีกครึ่งปีจะออกมา กังวลว่ายังมีเชื้ออยู่จะเป็นอันตรายต่อคนบนโลก
กุมหัวแล้วนั่งลงที่พื้นไปตามความเคยชิน กังวลเป็นอย่างมาก หลี่ซื่อหมินกับเหล่าขุนนางกำลังรออยู่ที่ถนนจูเชวี่ย แต่ตัวเองไม่ดูแลเขาให้ดี จะทำอย่างไรดี