เจ้าชายที่มีเสน่ห์ของฉัน - ตอนที่ 16
16.ม้าอาจร้อง…
กู้หรูเฟิงหายใจหอบเหนื่อย พลางถามขึ้น “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะ ปล่อยเจ้าหล่นลงไปหรือไร?
หลิ่วเจินส่งยิ้มให้ “ข้าไม่ชอบใช้ใจของคนต่ำศักดิ์ไปวัด ใจของผู้สูงศักดิ์หรอกนะ” ณ ตอนนั้น นางย่อมไม่คิดถึงเรื่องที่ ว่า เขาจะปล่อยมือนางหรือไม่ เพียงแต่คิดว่าเขาจะดึงตัวนาง
ไว้ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
แม้แต่ความกังวลก็ไม่มีเลย
“ความกล้าหาญของเจ้า ช่างมากมายแท้” เขาล้วง ผ้าเช็ดหน้าปักลาย ซึ่งถูกซักจนสีซีดจางแล้วจากในอก ส่งให้ หญิงสาว
หลิ่วเจินเอามาเช็ดหน้าผากแรง ๆ พลางส่งยิ้มให้อย่างไม่ คิดอะไร “ถึงมากมายก็ไร้ประโยชน์ ซ้ำยังกินไม่ได้ด้วย”
เช่นนั้น…พวกเราไปเก็บสิ่งที่กินได้กลับไปเถอะ ข้าจะ ลงมือทำอาหารให้เจ้ากินเอง”
“ไม่ต้องแล้วล่ะ” หลังจากเก็บเจ้าสิ่งนี้ได้ นางโบกมือขึ้น คราหนึ่ง เป็นเชิงบอกว่านางจะไม่ไปหาอาหารพวกนั้นอีกแล้ว เรื่องของเรื่องก็คือ แค่ขายเจ้าสิ่งนี้ไปได้ ก็เพียงพอให้คนทั้ง สองมีชีวิตผ่านช่วงเหมันต์นี้ไปได้แล้ว และเท่าที่นางลอง
ค่านวณดู แต่ละคนมีแววจะมีปีที่ดีอีกต่างหาก
คนทั้งสองพากันเดินทางกลับบ้าน และพักผ่อนนอนหลับอีกหนึ่งราตรี หญิงสาวแทบจะทนรอออกไปขายของในวันรุ่ง
ขึ้นไม่ได้
หญิงสาวล้างดินโคลนบนรากของต้นยวจีน รวมทั้งริดราก ฝอยเส้นบาง ๆออกไปด้วย จากนั้นก็นำไปอบจนกระทั่งสูใน ของรากนั้นแห้งเกือบสนิท เมื่ออบเกือบได้ที่แล้ว จึงนำออกมา แล้วรีบรุดเอาไปขายที่ร้านขายยาในเมือง
นี่เป็นครั้งแรกที่ขายสมุนไพรได้ราคางาม และด้วยขนาด อันใหญ่ยักษ์ของมันเป็นเหตุ นางจึงขายรากยวี่จินได้เงินมาก ถึงสิบตำลึง
ไม่เพียงมีเงินมากพอจะซื้อแป้งและเนื้อได้แล้ว ซ้ำยังพอ เอาไปซื้อเสื้อนวมบุใยฝ้ายให้แต่ละคนสวมใส่อีกด้วย
วันนี้เป็นวันที่หนาวเหน็บสุดขั้วจริง ๆ หลิ่วเจินเดินตัวสั้น
ไปบนถนนตลอดทาง
เสื้อนวมบุใยฝ้ายนี้แพงหูฉีจริง ๆ หลังจากเดินวนดูอยู่ รอบหนึ่ง ก็พบว่าตัวถูกสุด มีราคาถึงสองตำลึง หลิ่วเจินกัดฟัน ซื้อมาสองตัว ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะ ฤดูหนาวนี้จะคงอยู่ต่อไป อีกระยะหนึ่งนั่นเอง
ไม่เพียงซื้อเสื้อนวมสองตัวนี้ แต่หญิงสาวยังซื้อข้าวสาร
แป้ง และฟื้นเป็นอันมากด้วย และเพราะรู้ตัวว่ามีข้าวของ มากมายที่ต้องซื้อในวันนี้ ดังนั้น เมื่อตอนขามา หญิงสาวจึง ตั้งใจเช่ารถเกวียนเทียมลามาโดยเฉพาะ
น่าแปลกใจ ที่กู้หรูเฟิงยังสามารถขับรถเกวียนเทียมลาเป็นด้วย เขานั่งขับด้วยความกระฉับกระเฉง แถมอารมณ์ดีอีก ต่างหาก ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงหน่อย ๆ “ข้าเคยขี่ม้า มาก่อน ที่แท้ม้ากับลาก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด”
หลิ่วเจินคิดในใจเงียบ ๆ หากม้ามาได้ยินที่ท่านพูด มัน คงได้ร้องไห้ออกมาแน่
เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัว ในตลาดมีคนมากทีเดียว ชาวบ้าน ทุกคนในหมู่บ้านจะเข้าเมืองเพื่อหาซื้อของในวันที่นัดกันไว้ ซ้ำ ยังสรรหาสินค้าบางอย่างไปขายด้วย ทุกคนล้วนมารวมตัวกัน ในตลาดในวันเดียวกัน กล่าวได้ว่ามีทั้งคนเข้า มีทั้งคนออก ทำให้ตลาดดูคึกคักวุ่นวายเป็นพิเศษ
อันที่จริง หญิงสาวซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทว่ายังมี เรื่องอื่นอยู่ในใจ หลังจากลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้น “ท่าน รอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
กู้หรูเฟิงไม่ขัดข้อง ขายหนุ่มพยักน้อย ๆ
หลิ่วเจินรีบเดินตรงไปยังร้านหนังสือที่นางเพิ่งผ่านมา ก่อนหน้านั้น เจ้าของร่างเดิมได้เผาม้วนตำราของกู้หรูเฟิงไป เกือบหมด เหลือทิ้งไว้เพียงม้วนเดียว เมื่อเฝ้ามองเขาลูบม้วน ตำราหนึ่งเดียวนั้นทุก ๆ วัน ในใจนางจึงค่อนข้างทนไม่ได้ เลย คิดซื้อตำราเพิ่มให้อีกฝ่าย
ตำราที่โดนเผาไปทั้งหมดล้วนเป็นของดูต่างหน้าของ ครอบครัวที่จากไป แน่นอนตำราที่หลิ่วเจินซื้อ ย่อมมีความ สำคัญและความหมาย เทียบกับของเดิมไม่ได้ เพียงแต่มีเก็บไว้ก็ยังดีกว่าไม่มี
ม้วนตำราซึ่งวางอยู่บนชั้น ซึ่งถูกแกะเป็นตัวอักษร มากมายเรียงติดกันเป็นพรีต หลวเจินยอมรับว่าตนเองไม่รู้ หนังสือของยุคนี้ ตัวอักษรสมัยโบราณแตกต่างจากตัวอักษร เดิมที่ตนเองรู้มาอยู่มากโข นางอ่านไม่ออกเลยสักนิด จึงถาม เจ้าของร้านอย่างจนใจ “พวกบัณฑิตชอบอ่านตำราอะไร?”
“ขึ้นอยู่กับว่าเรียนมาจากสำนักไหน และไม่ว่าจะเป็น สำนักไหน ตำราม้วนหนึ่งราคาต่ำสุดสองตำลึง” สายตาที่ เจ้าของร้านทอดมองหลิ่วเจิน ดูเฉยเมย เมื่อเห็นอาภรณ์ที่อีก ฝ่ายสวมใส่ เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าดูไม่คล้ายมาเพื่อซื้อ ตำรา เลยไม่อยากสนทนาด้วย
หลิ่วเจินแอบบ่นในใจ แล้วนี่มันต่างอะไรกับการปล้นรี? เงินหนึ่งตำลึงพอจะเอาไปซื้อฟื้นได้ 10 มัด และฟื้น 10 มัดก็ เพียงพอให้ตนเองเอาไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ถึงสองเดือนเชียว นะ