เจ้าพ่อสุดเฟี๊ยวแห่งนคร - ตอนที่ 14
เฉียงจื่อกลอกตา มุมปากของเขากระตุกและยิ้มแห้งๆ:“เซี่ยหยาง อย่าพูดถึงเรื่องในอดีตเลย แกก็คิดซะว่าช่วยลุงสักครั้ง แกก็เห็นว่าลุงอายุเยอะแล้ว มือเท้าก็ไม่ค่อยมีแรงเหมือนเมื่อก่อน ที่ดินของลุงเช่าให้แก ลุงก็วางใจ”
เซี่ยหยางหรี่ตา มองเฉียงจื่อที่กำลังขอร้องตัวเองอยู่ ภาพในอดีตก็วนเวียนเข้ามาในหัว ตอนนั้นพ่อของเขาป่วยหนักและไม่มีเงินไปรักษา เขาไปขอความช่วยเหลือ แต่เฉียงจื่อกลับไม่สนใจเขา เห็นคนกำลังจะตายก็ไม่ยอมช่วย เขายังพูดแดกดันว่าก็สมควรแล้วนิ
ถ้าไม่ใช่ชาวบ้านใจดีช่วยกันบริจาคเงิน พ่อของเขาก็คงรักษาไม่ทัน บางทีเขาอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยหยางก็กำมัดไว้แน่และพูดด้วยอารมณ์โกรธ:“ไม่มีอะไรต้องพูดอีก คุณไปหาคนอื่นเถอะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอีก ฉันจะไปก่อนนะ เพราะฉันยุ่งมาก ”
เฉียงจื่อไม่ค่อยพอใจ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม:“เซี่ยหยาง พวกเราก็เป็นคนหมู่บ้านด้วยกัน และเป็นเพื่อนบ้านกันตั้งหลายปี แกจะปลูกผักที่สวนของใครมันก็เหมือนกัน ?”
“ใช่ ถ้าเป็นที่ดินของคนอื่นฉันอาจจะพิจารณา แต่ถ้าเป็นที่ของลุงฉันไม่เอา”เซี่ยหยางไม่เกรงใจและพูด:“นอกจากนี้ ลุงยังมีหน้ามาพูดว่าพวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันอีก สิ่งที่ลุงเคยทำในอดีตลุงน่าจะรู้ตัวเองดี?”
“เรื่อง เรื่องอะไรเหรอ?ลุงไม่ค่อยเข้าใจที่แกพูด”เฉียงจื่อแกล้งทำเป็นงง
เซี่ยหยางพูดอย่างไม่พอใจ:“จำเป็นต้องให้ฉันพูดอย่างชัดเจนหรือไง พูดออกมาแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ก็เรื่องของพ่อฉันไง”
“เรื่องนั้นมันเป็นความเข้าใจผิด เข้าใจผิดกันจริงๆ”เฉียงจื่อรู้สึกเขินอาย
“เข้าใจผิด?เมื่อก่อนพ่อของฉันเคยให้ความช่วยเหลือลุงมาโดยตลอด?ตอนที่เขาป่วยหนัก ลุงไม่คิดจะช่วยเขาเลย?”เซี่ยหยางไม่มีทางลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
เฉียงจื่อเกาหัว กะพริบตาตัวเองและพูด:“แกพูดแบบนี้ไม่ได้นะ ตอนที่พ่อของแกป่วย ลุงก็อยากยืมเงินให้ ปัญหาคือลุงไม่มีเงิน ลุงก็จนปัญญาจริงๆ”
“คุณจนปัญญา?ฉันว่าคุณเห็นคนตายไม่ยอมช่วยมากกว่า ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์?ลุงทำอะไรไว้ ลุงย่อมรู้ดีแกใจ”ใบหน้าของเซี่ยหยางเคร่งขรึม เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ทำให้เขารู้สึกโกรธ
เฉียงจื่อรู้สึกอึดอัดใจ เหมือนรู้ว่าตัวเองผิด ส่งบุหรี่มาหนึ่งม้วนและพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน:“มันไม่ใช่อย่างที่แกคิดจริงๆ เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เหมือนกัน……”
“ไม่ต้อง ฉันมีบุหรี่ของตัวเอง”เซี่ยหยางหยิบบุหรี่ซองหนึ่งออกมา จุดไฟแล้วสูบหนึ่งคำ จ้องมองไปที่เฉียงจื่อและพูด:“ถ้าตอนนั้นไม่มีชาวบ้านที่ใจดีช่วยพ่อของฉัน งั้นพ่อของฉันคงมีอันตรายถึงชีวิตแน่นอน ตอนนี้ลุงอยากได้ความช่วยเหลือจากฉัน ไม่มีทาง”
“มี พวกเราคุยกันดีๆได้ไหม……”
“ประตูอยู่ตรงนั้น ลุงกลับไปเถอะ!”เซี่ยหยางพูดขัดจังหวะของเฉียงจื่อ และชี้ไปที่ประตู
เมื่อเฉียงจื่อไม่เห็นความปรานีของเซี่ยหยาง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธ:“เซี่ยหยาง คำพูดของแกมันทำร้ายจิตใจมากเกินไป?ลุงก็เคยช่วยเหลือบ้านแกเหมือนกัน?ลุงคิดว่าตอนนี้แกเป็นเถ้าแก่ คงลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว?”
“ใช่เหรอ?ความหมายของลุงคือฉันเนรคุณใช่ไหม งั้นลุงพูดมาสิเคยช่วยอะไรไว้บ้าง?”เซี่ยหยางมองบนและทำปากจู๋
“พูดก็ได้ แกน่าจะลืมไปแล้วมั้ง?”เฉียงจื่อกระตือรือร้นและชี้ไปที่บ้านของเซี่ยหยางและพูด:“แกยังจำได้ไหม ตอนนั้นที่พวกแกสร้างบ้าน ฉันตื่นแต่เช้าทำงานจนดึกช่วยพวกแกสร้างบ้าน ตอนนั้นลุงเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ตอนนั้นลุงเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นเอ็นและเป็นโรคเกาต์ ลุงกัดฟันช่วย ถ้าเรื่องนี้แกจำไม่ได้ ไปถามพ่อแกก็ได้”
เซี่ยหยางหัวเราะและถามกลับว่า:“มีแค่นี้ใช่ไหม พูดจบแล้วเหรอ?”
“อะไร แกหัวเราะอะไร ตอนนั้นแกยังเด็ก แกคงจะจำไม่ได้ ลุงไม่โทษแก แต่ชาวบ้านทุกคนรู้เรื่องนี้ดี พ่อของแกก็น่าจะจำได้”เฉียงจื่อพูดอย่างหนักแน่น
เซี่ยหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูด:“พูดอย่างนี้ ลุงรู้สึกว่าตัวเองช่วยเหลือบ้านฉันเยอะมากเลยสิ?”
เฉียงจื่อรู้สึกงุนงงกับรอยยิ้มของเซี่ยหยาง โบกมือและพูดด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง:“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมาก ยังไงซะญาติที่อยู่ห่างไกลก็สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันไม่ได้ ถ้าแกอยากขอบคุณลุงละก็ แกช่วยเช่าที่ดินลุงแล้วกัน แกคิดว่าไง?”
“เรื่องที่ลุงช่วยสร้างบ้าน ฉันจำได้ดี”เซี่ยหยางพยักหน้า
“แกจำได้ก็ดีแล้ว ลุงก็ว่าละ ลุงเห็นแกมาตั้งแต่เล็ก แกเป็นคนที่มีอนาคตที่ดี”เฉียงจื่อรู้สึกดีใจจนตัวลอย ดวงตาเป็นประกายด้วยความหวังและพูด:“เรื่องเช่าที่ดินแกคิดว่าไง?”
“ไม่เช่า!”เซี่ยหยางพูดอย่างเบาๆ
รอยยิ้มของเฉียงจื่อหยุดนิ่งอยู่บนใบหน้า เหมือนคนที่โดนตบหน้า พูดอย่างหงุดหงิดโมโห:“ทำไมถึงไม่เช่า?”
“เพราะอะไร?คุณช่วยสร้างบ้านให้พวกเรามันเป็นเรื่องจริง แต่คุณเอาค่าตอบแทนอะไรไปคุณน่าจะรู้ตัว?”เซี่ยหยางถาม
“ฉันเอาค่าตอบแทนอะไร?ฉันไม่ได้เอาเงินไปเลยสักหยวน ไม่เชื่อลองไปถามพ่อของแก”เฉียงจื่อตบหน้าอกตัวเองเบาๆและพูด
เซี่ยหยางพูดอย่างเย็นชา:“ไม่ได้เอาค่าตอบแทนอะไร งั้นลูกหมูสองตัวที่อยู่บ้านของฉันมันคงมีปีกแล้วบินหนีไปเองใช่ไหม?”
“เอ่อ ลุงไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ”เฉียงจื่อเช็ดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก ดูเหมือนเขาจะสำลัก
“คุณไม่รู้เรื่อง?วันหนึ่ง มีลูกหมูไปอยู่ในเล้าหมูของลุง พ่อของฉันไปหาลุงที่บ้าน ลุงพูดว่ามันเป็นลูกหมูที่ลุงซื้อมาเอง ฆ่าให้ตายก็ไม่ยอมรับ มีเรื่องนี้ใช่ไหม?”เซี่ยหยางพูดด้วยความโกรธ
เฉียงจื่อเชิดคอและพูดเล่นลิ้นปฏิเสธ:“แก แกอย่าพูดส่งเดช มันเป็นลูกหมูที่ลุงซื้อมาจริงๆ พ่อของแกเข้าใจผิด”
“ได้ โอเค พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”เซี่ยหยางไม่สนใจเฉียงจื่ออีก ลุกขึ้นแล้วตะโกนเรียก:“เอ้อนิ้ว ช่วยไปส่งคุณลุงหน่อย ลุงแกเบลอๆงงๆอยู่ กลัวแกหกล้ม”
เอ้อนิ้ววิ่งเข้ามา สบตากับเซี่ยหยาง ก็เข้าใจความหมายของเขาทันที มือจับไปที่ตัวเฉียงจื่อ หัวเราะและพูด:“คุณลุง เดินช้าๆหน่อย จะให้ผมแบกลุงไหม?”
“แก แกปล่อยมือเดียวนี้ ฉันเดินเองได้”เฉียงจื่อรู้สึกหวาดกลัว รีบพลักเอ้อนิ้วออกไป ชายร่างใหญ่อย่างเอ้อนิ้วไม่ขยับแต่ตัวเองเกือบจะล้มลง เฉียงจื่อเดินเซไปมา จ้องมองเซี่ยหยางด้วยความโกรธ:“แกแน่มาก เซี่ยหยางแกทำเกินไปแล้ว แกอย่าหาว่าลุงไม่เกรงใจละกัน”
“แล้วแต่เลย ลุงจะทำอะไรก็เรื่องของลุง”เซี่ยหยางหันหัวไป ไม่สนใจเขาอีก
“ไปกันเถอะคุณลุง ฉันประคองลุงเอง อายุเยอะแล้วอย่าใช้อารมณ์”เอ้อนิ้วยิ้มอย่างจริงใจ ทั้งประคองทั้งลากตัวเขาออกไป
เฉียงจื่อกระทืบเท้า ตะโกนออกมา พยายามพลักเอ้อนิ้วออกไป หายใจหืดหอบแล้วเบิกตากว้าง“ไอ้เด็กเปรตแกเบามือหน่อย ฉันเดินเองได้ แกปล่อยให้ฉันพูดจนจบก่อน”
เซี่ยหยางส่งสายตาให้เอ้อนิ้ว พูดอย่างรำคาญ:“ได้ ดูสิว่าลุงจะพูดอะไรอีก”
เฉียงจื่อโกรธจัดและพูด:“เซี่ยหยางแกจำเอาไว้ แกเนรคุณกับฉันก่อน แกไม่ยอมเช่าที่ดินของฉันไม่เป็นไร ฉันจะบอกแก ฉันยังพอมีอิทธิพลในหมู่บ้านนี้อยู่ แกอย่ามาลากตัวฉันอีก ฉันให้แกเช่าที่ดินแต่แกไม่ยอม ถึงตอนนั้นฉันจะบอกให้คนทั้งหมู่บ้านไม่เช่าที่ดินให้แกอีก แกจะเก่งขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์ น่าเสียดายจริงๆ”
เมื่อเห็นเฉียงจื่อพูดแบบไม่ไหว้หน้ากัน เซี่ยหยางก็จะไม่พูดอ้อมค้อม:“คุณข่มขู่ฉันใช่ไหม งั้นฉันจะพูดไว้ตรงนี้เลย ฉันจะเช่าที่ดินของคนทั้งหมู่บ้านมาปลูกผัก ก็ไม่เช่าที่ดินของลุงแน่นอน”
“ดี แกปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่มีแกฉันจะทำอะไรไม่ได้ แกรอดูแล้วกัน ฉันจะไปพูดกับทุกคน ให้ทุกคนไม่เช่าที่ดินให้แก”เฉียงจื่อโกรธมาก สะบัดเสื้อแล้วกำลังจะเดินจากไป
จู่ๆเอ้อนิ้วก็เดินเข้ามาขวางทางเขาไว้ เฉียงจื่อส่งสายตาบอกให้เอ้อนิ้วหลีกทาง เอ้อนิ้วมองไปที่ด้านนอกและพูด:“ฉันคิดว่าลุงไม่ต้องไปเรียกแล้ว ทุกคนมาที่นี่แล้ว ”
หลังจากเอ้อนิ้วพูดจบ ก็เห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่เดินเข้ามา ตัวแทนชาวบ้านเดินเข้ามาแล้วกล่าวทักทายด้วยความอบอุ่น:“เซี่ยหยางตอนนี้อยู่บ้าน คนยุ่งอย่างเขาอยากเจอหน้าสักครั้งมันยากจริงๆ พวกเรามีเรื่องจะถามหน่อย?”
เมื่อเห็นคนเหล่านี้ เซี่ยหยางก็รู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการอะไร ส่งสัญญาณให้เอ้อนิ้ว เอ้อนิ้วรีบเรียกพนักงานในร้านเตรียมน้ำชาให้พวกเขา ยังแจกบุหรี่ให้กับทุกคน เมื่อมาถึงด้านหน้าเฉียงจื่อ เอ้อนิ้วเกาหัวและพูด:“โอ๊ย ลุงดูสิ มาถึงหน้าลุงบุหรี่หมดพอดี เดียวฉันไปเอาซองใหม่มาให้?”
เฉียงจื่อโกรธจนหายใจแรง เขาหยิบบุหรี่ของตัวเองออกมาแล้วสูบ แต่เขาไม่ยอมจากไป
“พวกคุณหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ?พูดมาตามตรงได้”เซี่ยหยางโบกมือให้ทุกคนนั่งลง
ตัวแทนชาวบ้านสบตากับทุกคน พูดด้วยรอยยิ้ม:“คือเรื่องเป็นอย่างนี้ พวกเราทุกคนได้ปรึกษากันแล้ว พวกเราปลูกพืชมาหลายปี ยังสู้รายได้ที่คุณปลูกผักหนึ่งไตรมาสไม่ได้เลย พวกเราก็เลยนัดกันมา พวกเราอยากจะเอาที่ดินของตัวเองเช่าให้คุณ คุณโอเคไหม?”
เมื่อกี้เซี่ยหยางพึ่งพูดออกไป ว่าจะเช่าที่ดินเพื่อปลูกผัก ดูเหมือนว่าทุกคนจะได้ข่าวเรื่องนี้แล้ว หลังจากคิดชั่วครู่เขาก็พูด:“ในเมื่อทุกคนไว้วางใจในตัวฉัน ฉันก็ยินดีจะเช่าที่ดิน มีเท่าไหร่ฉันเช่าหมด แต่เรื่องราคา……”
“เรื่องราคาต่อรองกันได้ พวกเราคิดไว้แล้ว”ผู้แทนชาวบ้านรีบพูด:“ในเมื่อที่ดินของพวกเราปีๆหนึ่งก็หาเงินได้ไม่เท่าไหร่ คุณให้เงินเท่าทุนก็ได้แล้ว พวกเราได้ปรึกษากันแล้ว พวกเราจะไปช่วยปลูกผักในที่ดินของตัวเอง ไปฝึกวิธีการปลูกผักกับคุณ คุณโอเคไหม?”
เซี่ยหยางดีใจมากๆ เมื่อมีที่ดินพวกนี้ เขาก็สามารถใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มาขยายการปลูกให้เยอะขึ้นและเขาก็พูด:“ตกลง พวกคุณแจ้งราคามา ที่ดินหนึ่งมู่(1มู่=0.412ไร่)ค่าเช่าปีละเท่าไหร่”
ชาวบ้านสบตากัน แล้วให้ผู้แทนเป็นคนพูด :“พวกเราไม่ต้องการเยอะ ที่ดินหนึ่งมู่(1มู่=0.412ไร่)พวกเราปลูกพืชขายได้ปีละสองถึงสามพันหยวน พวกเราต้องการสองพันหยวนก็พอ”
“ไม่มีปัญหา พวกคุณมีที่ดินเท่าไหร่ ตอนนี้พวกเราไปวัดกันเลย เอ้อนิ้ว”เซี่ยหยางไม่ลังเลและตะโกนเรียกเอ้อนิ้วทันที
เอ้อนิ้วรีบหยิบน้ำกระดาษและปากกามาด้วย ชาวบ้านทุกคนมาลงทะเบียน และพวกเขาก็ยุ่งกับการลงบันทึกจำนวนที่ดิน
“เช่าไม่ได้ เช่าที่ดินพวกนี้ให้เขาไม่ได้”ในขณะนี้ เฉียงจื่อเดินออกมาจากฝูงชนและตะโกนเสียงดัง
เมื่อชาวบ้านได้ยิน ก็หยุดทันที มองหน้าเฉียงจื่ออย่างงุนงง ผู้แทนคนนั้นรีบพูด:“คุณพูดอะไรอยู่ ทำไมถึงเช่าที่ดินให้เขาไม่ได้?”
เฉียงจื่อเหลือบมองไปที่เซี่ยหยาง ในใจของเขามีแผนการไว้แล้ว ดูจากลักษณะท่าทางของเขา เขาคงจะก่อกวนไม่ให้เรื่องนี้สำเร็จแน่นอน เฉียงจื่อดีใจและตะโกน:“ฉันรู้สึกว่าทุกคนโง่มาก โดนเซี่ยหยางหลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก น่าสงสารจริงๆ”
“คุณมาก่อกวนอะไรตรงนี้ ?คุณตั้งใจใช่ไหม?”เอ้อนิ้วอดไม่ไหว จ้องมองไปที่เฉียงจื่อ
“ทำไม คุณกำลังข่มขู่ฉันใช่ไหม ถึงข่มขู่ฉันก็จะพูด”เฉียงจื่อไม่สนใจอะไรแล้ว ตบไปที่โต๊ะด้วยอารมณ์โกรธจัด
“ฉันคิดว่าคุณจงใจหาเรื่องอยู่ คุณกลับไปซะดีกว่า”เอ้อนิ้วพูดเสียงแข็ง วางปากกาลงและกำลังจะลากตัวเฉียงจื่อออกไป
“ทำร้ายคนแล้ว ทำร้ายอย่างไม่มีเหตุผล ทุกคนเห็นแล้วใช่ไหม พวกเขาต้องมีความลับซ้อนอยู่แน่นอน”เฉียงจื่อตะโกนเสียงดังและเตะเอ้อนิ้วอย่างไม่เลือกหน้า
เมื่อเซี่ยหยางเห็น ก็โบกมือและพูด:“เอ้อนิ้วพอได้แล้ว ให้ลุงเฉียงจื่อพูดให้จบ”
เอ้อนิ้วรับปากและปล่อยตัวเฉียงจื่อ และจ้องเขาด้วยความระมัดระวัง
เฉียงจื่อม้วนแขนเสื้อตัวเองและตะโกนเสียงดัง ชี้ไปที่เซี่ยหยางและพูด:“ทุกคนคงไม่รู้ เด็กคนนี้เป็นคนแล้งน้ำใจ ฉันที่เป็นเพื่อนบ้านกับเขา ช่วยเหลือเขามาโดยตลอด วันนี้ฉันมาคุยเรื่องเช่าที่ดินของตัวเองให้เขา เขาขับไล่ไสส่งฉัน คนอย่างเขา ทุกคนเอาที่ดินตัวเองเช่าให้เขาจะวางใจได้เหรอ เขาต้องเอาเปรียบทุกคนแน่นอน”
“เฉียงจื่อ คุณห้ามพูดจาส่งเดช ที่พูดหมายความว่าไง?”ชาวบ้านทุกคนเริ่มสงสัย