เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 107
โม่ฮุ่ยหลิงกรีดร้องเสียงดังและมองหน้ากู้จิ้งเจ๋ออย่างคับแค้นใจ “จิ้งเจ๋อคะ นี่มันเจ็บมากนะ คุณเห็นมั้ยว่าแผลฉันมันใหญ่ขึ้นน่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมอง เขาเห็นเพียงรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น จึงพูดกับเธอว่า “มันไม่ใหญ่สักหน่อย เธอไม่เห็นต้องกลัวขนาดนี้เลย”
หญิงสาวทำปากยื่น “แล้วถ้ามันทิ้งรอยแผลเป็นไว้ละคะ ดูสิคะ ขาฉันน่ะไม่มีรอยแผลเป็นเลยสักรอยเดียวนะ แล้วถ้าครั้งนี้เกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมาละก็ ฉันจะขอชังน้ำหน้านังหลินเช่อนั่นไปจนตายเลยเชียว”
“พอที มันก็แค่รอยถลอกเท่านั้น มันไม่เป็นแผลเป็นหรอกน่า” เขาว่า “หลินเช่อเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ควรไปเกลียดเขา”
“คุณก็คิดเอาเองฝ่ายเดียวนั่นแหละว่าหล่อนไม่ตั้งใจน่ะ แต่ฉันบอกได้เลยค่ะว่าหล่อนจงใจแน่ๆ ไม่อย่างนั้นทำไมหล่อนถึงจงใจชนฉันล่ะค่ะ ทั้งที่ชนคนอื่นก็ได้น่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อรู้ดีว่าเขาไม่มีทางพูดกับเธอให้เข้าใจได้ เขาจึงไม่ต่อปากต่อคำอีก ทำเพียงแค่บอกว่า “นั่งดูทีวีสักพักเถอะ จะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่านอีก”
เขายื่นรีโมตส่งให้เธอแล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็ผ่านไปได้ครู่ใหญ่แล้วแต่ยังไม่มีวี่แววของหลินเช่อให้เห็นเลย
ยัยโง่เอ๊ย หายไปไหนกันนะ
โม่ฮุ่ยหลิงรับรีโมตมาอย่างไม่ใส่ใจและเริ่มกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ
ระหว่างนั้นก็มีภาพข่าวด่วนโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์
“เราเพิ่งได้รับแจ้งมาว่ามีรถปอร์เช่ที่ประสบอุบัติเหตุและกำลังห้อยอยู่บนสะพานนะครับ ตอนนี้ได้ดำเนินการปิดการจราจรในบริเวณนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังไม่ทราบว่าบุคคลที่อยู่ภายในรถเป็นใคร ได้รับรายงานมาเพียงแค่ว่าเป็นหญิงสาวที่ขับรถมาลำพังคนเดียว และยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นการเมาแล้วขับหรือเปล่า ตอนนี้ทางหน่วยกู้ภัยเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุแล้วนะครับ แต่เพราะว่าตัวรถนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างอันตราย ทำให้ทางทีมกู้ภัยยังคงประสบปัญหาในการ…”
โม่ฮุ่ยหลิงนั้นไม่ได้สนใจข่าวและกำลังทำท่าจะเปลี่ยนช่อง แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับห้ามเธอเอาไว้ เขาเงยหน้ามองโทรทัศน์เงียบๆ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอ
แล้วภาพของรถปอร์เช่ที่เหลืองที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนสะพานก็ปรากฏขึ้นมา
หลินเช่อ…
กู้จิ้งเจ๋อไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาเผลอพูดชื่อของเธอออกมาดังลั่นด้วยความตกใจ
เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงได้ยินชื่อหลินเช่อ เธอจึงเขม่นมองเข้าไปใกล้ๆ หน้าจอ ดูเหมือนจะเป็นรถคันที่เธอเพิ่งเห็นเมื่อก่อนหน้านี้จริงๆ เสียด้วย นี่นังหลินเช่อประสบอุบัติเหตุงั้นรึ
โม่ฮุ่ยหลิงนึกดีใจเสียจนแทบลืมความเจ็บที่เท้าไปเสียถนัด หญิงสาวปรบมือรัวๆ ด้วยความรู้สึกว่าความยุติธรรมได้บังเกิดแล้ว “สมควรแล้วล่ะ นี่สิคะที่เขาเรียกว่ากรรมตามสนองน่ะ ถ้าหล่อนไม่ได้ขับรถชนฉันจนล้มละก็ สวรรค์คงไม่ลงโทษหล่อนแบบนี้หรอก”
เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็นิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ
แต่โม่ฮุ่ยหลิงไม่สังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม เธอยังดีอกดีใจได้เห็นหลินเช่อตกอยู่ในอันตรายและสุ่มเสี่ยงที่จะถึงแก่ชีวิตเช่นนี้
ถ้ามันตายๆ ไปซะได้ก็คงจะดีไม่น้อย กู้จิ้งเจ๋อจะได้กลับมาเป็นของเธออีกครั้ง
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพูดว่า “เฮอะ เนี่ยแหละที่เขาเรียกว่าแพ้ภัยตัวเองไงล่ะ สมควรแล้วจริงๆ”
กู้จิ้งเจ๋อปัดมือเธออย่างแรง
โม่ฮุ่ยหลิงรู้สึกได้ถึงสายตาเย็นชาที่จ้องมองมาของอีกฝ่าย
ทีแรกเธอแปลกใจและนึกสงสัยว่าตัวเองเผลอพูดหรือทำกิริยาไม่เรียบร้อยอะไรออกไปหรือเปล่า
แต่ในเมื่อเธอเกลียดหลินเช่อ และหลินเช่อก็เกิดอุบัติเหตุเพราะตัวของหล่อนเองแบบนี้ ที่เธอพูดไปก็ไม่มีอะไรผิดสักหน่อยนี่นะ
“เป็นอะไรไปคะจิ้งเจ๋อ” หญิงสาวถามด้วยความฉงน
สายตาของชายหนุ่มจ้องถมึงทึงกลับมา “ฮุ่ยหลิง เธอพูดออกมาแบบนี้ได้ยังไงกันน่ะ ต่อให้เขาเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก แต่นี่ก็เป็นเรื่องความเป็นความตาย เป็นเรื่องของชีวิตคนคนหนึ่งนะ มีคนกำลังจะตายเพราะอุบัติเหตุแล้วเธอยังมาทำหน้าระรื่นอยู่อีกได้ยังไง จะมาพูดว่าเขาสมควรที่จะตายแล้วแบบนี้ได้ยังไง ทำไมเธอถึงได้ร้ายกาจแบบนี้”
“ฉัน…ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะคะ…” โม่ฮุ่ยหลิงรีบแก้ “ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง คุณก็รู้จักฉันนี่คะ ฉันคิดอะไรก็พูดออกไปแบบนั้น แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรร้ายกาจสักหน่อย…”
กู้จิ้งเจ๋อนึกผิดหวังในตัวหญิงสาว เขาสูดลมหายใจแล้วเงยหน้าขึ้น ขบฟันแน่นจนเห็นเป็นแนวสันกราม จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
“เอ้อ จิ้งเจ๋อคะ แล้วคุณจะออกไปทำไมคะนั่น…” เธอร้องถามไล่หลังอย่างหัวเสียพลางมองไปรอบๆ แต่ในใจยังคงนึกถึงหลินเช่ออย่างเกลียดชัง แกสมควรโดนแล้วล่ะ ต้องมาตายแบบนี้ก็เหมาะที่สุดแล้ว จงตกลงไปจนหน้าตาเสียโฉมจนจิ้งเจ๋อไม่อยากที่จะเห็นหน้าแกอีก
บนสะพาน
บริเวณที่เกิดเหตุ ผู้คนมากมายยังคงเฝ้าดูอยู่รอบนอก
สารวัตรยังคงสั่งการอย่างเรื่อยเฉื่อยไร้ความกระตือรือร้น เขายกขวดน้ำขึ้นดื่มพลางมองไปที่รถด้วยสายตาแปลกๆ “แล้วนี่รถใครกันล่ะนั่น ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“เป็นรถใหม่เอี่ยมทีเดียวละครับ อย่าบอกนะว่าเป็นรถคนใหญ่คนโตที่ไหนน่ะ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก เรามีบันทึกป้ายทะเบียนรถของบุคคลสำคัญเอาไว้ทั้งหมด ถ้าใช่จริงก็คงจำได้ไปแล้วละ น่าจะเป็นพวกเศรษฐีใหม่มากกว่า เราถึงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
และแล้วใครบางคนก็เดินตรงเข้ามาพร้อมข้อมูลล่าสุด
“ผู้กองครับ ผู้กอง แย่แล้วละครับ คนที่มุงอยู่ด้านนอกนั่นบอกว่าคนที่อยู่ในรถคือคุณผู้หญิงตระกูลกู้ครับ พวกเขาถามกันใหญ่ว่าทำไมเราถึงยังไม่ช่วยเธออีก”
“ตระกูลกู้ไหนล่ะ”
“ตระกูลไหนหมายความว่ายังไง ก็ตระกูลกู้ของประเทศเราสิครับ!”
“โอ ให้ตายเถอะ…” สารวัตรทิ้งขวดน้ำแล้วรีบคว้ากล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องไปยังจุดเกิดเหตุ
“แล้วทีนี้…จะเอายังไงกันดีละครับผู้กอง” คนที่ยืนข้างตัวถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
“เราจะทำอะไรได้อีกล่ะ” นายตำรวจรีบหันหน้าหันหลังอย่างกระตือรือร้นขึ้นมาทันตา “เร็วเข้า รีบไปช่วยหล่อนเดี๋ยวนี้ เว้นเสียแต่ว่าพวกแกอยากตาย ถ้าใครอยากตายก็รออยู่แถวนี้แหละ เอ้า รีบขยับก้นกันเร็วๆ เลย ใครยังอยากยืนคุยอยู่ ฉันจะจับโยนทิ้งสะพานให้หมด”
ที่บริเวณรอบนอก บรรดานักข่าวเริ่มถูกไล่
“ถอยไปๆ ห้ามถ่ายภาพ ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ”
“อ้าว เมื่อกี้นี้ยังอนุญาตให้ถ่ายได้อยู่เลย! แล้วทำไมอยู่ๆ มาเปลี่ยนกันแบบนี้ล่ะ” นักข่าวคนหนึ่งถามอย่างงุนงง
คนทำข่าวนั้นกระหายจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับคนขับผู้หญิงเพราะคำพาดหัวอย่างรถหรูและอุบัติเหตุนั้นย่อมเรียกความสนใจจากคนที่อยากรู้อยากเห็นได้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงอยากได้ข้อมูลเพื่อไปเขียนข่าวฉบับเต็ม
“ไม่ว่าจะด้วยกรณีไหนก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปอีกแล้ว และก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดการรายงานข่าวด้วย ถ้าใครยังกล้าเผยแพร่อะไรออกไปอีกละก็รับผิดชอบเองนะ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ”
นักข่าวเริ่มถูกไล่ออกจากบริเวณ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะลองดี จากนั้นทีมกู้ภัยก็ใช้อุปกรณ์อย่างดีดึงรถขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว
กลุ่มคนที่มุงดูอยู่รอบนอกต่างพากันกรูเข้าไปที่รถและดึงร่างหลินเช่อออกมา
สารวัตรก็ถึงกับเดินเข้าไปซักถามด้วยตัวเองเลยทีเดียว “โอ้ คุณนายกู้ครับ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เอ้า รีบเอาเปลมาเร็วเข้าสิ รีบช่วยเธอก่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ…ฉันไม่เป็นไร แค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้นเอง” หลินเช่อรีบบอก
ทุกคนต่างพากันมองมาด้วยสายตาประหลาด ทั้งที่เมื่อกี้ยังดูวุ่นวายปั่นป่วนเสียแทบแย่ แต่ทุกอย่างกลับจบลงอย่างง่ายดายแบบนี้งั้นหรือ
ใครบางคนพูดขึ้น “ฉันได้ยินมาว่าคนที่อยู่ในรถเป็นคนใหญ่คนโตทีเดียว พวกกู้ภัยก็เลยเลิกโยกโย้แล้วก็รีบช่วยดึงเอารถขึ้นมากันใหญ่เลย”
“พวกเขาไล่นักข่าวออกไปแถมยังห้ามถ่ายภาพอีกต่างหาก”
“เป็นคนสำคัญขนาดไหนกันนะ ถึงได้ทำให้พวกตำรวจกลัวกันจนหัวหดแบบนี้”
แต่เมือง B นั้นเป็นย่านของผู้มีอันจะกิน เมืองเต็มไปด้วยดารานักร้องดังๆ มากมาย สารวัตรเองก็คงจะเคยชินแล้วกับเรื่องนี้ คนที่จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขนาดนี้ได้ต้องเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจอย่างแท้จริงและไม่มีใครกล้าหือด้วย