เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 112
นี่หล่อนไปรับฉินชิงงั้นหรือ…
ที่สนามบิน
หลินเช่อสั่งคนขับรถให้หยุดและรออยู่ด้านนอกขณะที่เธอรีบพุ่งเข้าไปตามหาเฉินโยวหราน
ในร้านกาแฟ เฉินโยวหรานกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะพร้อมกระเป๋าเดินทางมากมายหลายขนาดที่อยู่ข้างตัว
“โยวหราน!” หลินเช่อตะโกนด้วยความดีใจ
เฉินโยวหรานได้ยินเสียงและรีบหันขวับมาทันที เมื่อเห็นหลินเช่อ เธอก็ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตรงมา
ทั้งสองสวมกอดกันแน่นก่อนจะปล่อยมือ
เฉินโยวหรานยิ้มให้หลินเช่อ ผมของหญิงสาวยาวประบ่า เธอเป็นคนร่างเล็ก แต่งกายด้วยแฟชันแบบคนอังกฤษ ทำให้ดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย
“โอย หลินเช่อ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพอกลับมาฉันก็ได้เห็นโฆษณาของเธอทันทีเลย มันฉายอยู่ในสนามบินแน่ะ”
“โฆษณาอะไรเหรอ”
“โฆษณาลูกอมน่ะสิ” ผู้เป็นเพื่อนลากหลินเช่อให้นั่งลงขณะที่เล่าด้วยความตื่นเต้น
หลินเช่อจำได้และตอบว่า “นี่ที่สนามบินยังฉายโฆษณาตัวนั้นอยู่อีกเหรอเนี่ย…ฉันถ่ายไปนานมากแล้ว ตอนนั้นฉันเกือบจะไม่ได้งานนี้เพราะคนถ่ายโฆษณาถูกจับแน่ะ”
“โอ้โห อันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ… แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อจริงๆ นะ นี่ฉันไม่อยู่แค่ปีเดียวเท่านั้นเอง แล้วดูเธอสิ ตอนนี้กลายเป็นดาราดังไปแล้ว” เฉินโยวหรานลูบหลังลูบไหล่เพื่อนสาวอย่างภาคภูมิใจ “นี่ตอนนี้ฉันมีเพื่อนเป็นดาราดังแล้วนะ น่ายืดอกด้วยความภาคภูมิจริงๆ เลย”
หลินเช่อแทบพูดไม่ออก “ดาราดังอะไรกัน ฉันยังเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ ยังห่างไกลจากความโด่งดังมากจ้ะ” แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมองโฆษณาน้ำหอมของมู่เฝ่ยหรานที่กำลังฉายอยู่
มู่เฝ่ยหรานนั้นสวยสง่ามาก แถมยังเป็นคนดีมีน้ำใจ เป็นทุกอย่างตามมาตรฐานที่ดาราระดับนานาชาติควรจะเป็นทุกประการ
หลินเช่อเอ่ยขึ้น “ต้องเธอคนนี้ต่างหาก ที่เป็นดาราดังจริงๆ”
การได้รับงานว่าจ้างจากบริษัทโฆษณาต่างชาตินั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่มู่เฝ่ยหรานกลับมีงานประเภทนี้เข้ามามากมายเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าเธอแตกต่างจากดาราทั่วๆ ไป
“แค่เจอกันแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันต้องถ่ายเซลฟี่กับเธอแล้วโพสต์อวดในเวยป๋อสักหน่อยแล้ว”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกน่า…”
“ต้องขนาดนั้นสิจ๊ะ มาเถอะ มาถ่ายรูปกันหน่อยเร๊ว” เฉินโยวหรานคว้าแขนหลินเช่อแล้วยกมือถือขึ้นถ่าย
แต่แล้วโทรศัพท์ของหลินเช่อก็ดังขึ้น
เธอก้มลงมอง ตัวหนังสือ ‘สามีสุดที่รัก’ กะพริบถี่อยู่บนหน้าจอ
เฉินโยวหรานบังเอิญเห็นเข้าพอดี จึงกระโดดตัวลอยด้วยความประหลาดใจ “โอ๊ยตายจริง นั่นใครน่ะ”
“นี่คือ นี่คือ…” หลินเช่ออึกอัก “ไม่มีอะไรหรอก ตั้งชื่อกันขำๆ น่ะ เขาไม่ใช่สามีแบบที่เธอคิดหรอกน่ะ”
เฉินโยวหรานฟังแล้วจึงตบบ่า “แหม ทุกวันนี้ใครๆ ก็เรียกแฟนตัวเองว่าสามีกันทั้งนั้น ฉันรู้หรอกน่า เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบสามเอง ยังอายุน้อยเกินกว่าจะแต่งงานหรอก แต่มีแฟนก็ดีนะ… แล้วนี่เธอไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย เล่าให้ฉันฟังเร็ว มันเกิดอะไรขึ้นมั่ง”
“เขาก็ไม่ใช่แฟนอีกนั่นแหละ…” ความสัมพันธ์ของเธอกับกู้จิ้งเจ๋อนั้นออกจะซับซ้อน และหญิงสาวก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร
แต่โทรศัพท์ยังคงดังไม่หยุด หลินเช่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะจุ๊ปากบอกให้เพื่อนเงียบแล้วกดรับสาย
เสียงเข้มงวดของกู้จิ้งเจ๋อดังมาตามสายว่า [เธอจะกลับเมื่อไหร่]
หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเขากำลังโกรธอยู่หรือเปล่า แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ตอนนี้ในหัวเธอกำลังนึกถึงใบหน้าบึ้งตึงของเขา
ว่าแต่แล้วเขาจะโกรธเรื่องอะไรกันล่ะ แค่เพราะเธอต้องมาสนามบินเลยยังกลับบ้านไม่ได้เนี่ยนะ
“ฉันเพิ่งได้เจอเพื่อนเดี๋ยวนี้เองค่ะ ขอเราคุยกันสักพักก่อนค่อยกลับนะคะ” เธอบอก
[สิบนาทีพอมั้ย]
“…”
หลินเช่องงหนัก “สิบนาทีมันจะไปพอได้ยังไงกันละคะ เราไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้วนะคะ แน่นอนว่าเราต้องคุยกันนานกว่านั้น”
[งั้นก็ยี่สิบนาที…หลินเช่อ ถ้าเธอไม่กลับมาภายในยี่สิบนาที งั้นก็ไม่ต้องกลับมาอีกเลย!] เมื่อพูดจบเขาก็วางสายไปทันที
หญิงสาวนิ่งฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่รัวถี่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง จะตลกเกินไปหน่อยแล้วมั้ย
“หมายความว่ายังไงกัน ทำไมจะต้องมายุ่งด้วยล่ะ ฉันจะอยู่คุยนานแค่ไหนก็ได้เท่าที่ฉันต้องการ ถ้าฉันจะกลับไปไม่ได้แล้วยังไงล่ะ ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ!”
ให้ตายเถอะ กู้จิ้งเจ๋อเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเธออีกแล้วนะ
ทีเขาไปหาหวานใจวัยเด็กของตัวเอง ไปทำหวานกันที่ไหนเธอยังไม่ไปยุ่งเลย
อีกด้านหนึ่ง
กู้จิ้งเจ๋อโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนั่ง ท่าทางของเขาดูดุดันเย็นชาจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
เมื่อเฉินอวี่เฉิงก้าวเข้าบ้านมาก็ได้เห็นชายหนุ่มในสภาพนั้นพอดี
เขาหันไปมองฉินเฮ่าที่ไม่กล้าเอ่ยปากอะไรออกมาเช่นกัน ผู้เป็นหมอจึงดึงตัวฉินเฮ่าออกไปถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของนายล่ะเนี่ย”
ฉินเฮ่าถอนหายใจแล้วกระซิบตอบว่า “เขากำลังหึง”
“อะไรนะ” เฉินอวี่เฉิงโพล่งเสียงดังออกมาอย่างลืมตัว
“ชู่ว ชู่วว อยากให้ผมโดนหรือไงครับ” ฉินเฮ่าดึงตัวอีกฝ่ายให้ก้มต่ำลงแล้วบอกว่า “คุณหมอเฉิน ช่วยให้คำแนะนำกับนายท่านด้วยเถอะ อันที่จริงแล้วเขาออกจะน่าสงสารทีเดียว”
“…” มีคนกล้าพูดว่ากู้จิ้งเจ๋อน่าสงสารด้วยหรือนี่
ถ้าคนอย่างกู้จิ้งเจ๋อน่าสงสาร แล้วผู้ชายคนอื่นที่เหลือบนโลกนี้ล่ะจะเรียกว่าอะไร
“มันเกิดอะไรขึ้น”
“นายท่านขอให้คุณหมอมาช่วยตรวจคุณผู้หญิงที่นี่ แต่เธอปล่อยให้เขารอเก้อแล้วไปรับเพื่อนของเธอแทน”
“มีคนกล้าให้คนอย่างกู้จิ้งเจ๋อรอเก้อด้วยงั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิครับ นายท่านทำท่าจะระเบิดอารมณ์อยู่ในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว คุณหมอเฉินมาได้จังหวะพอดี ยังไงคุณก็เป็นที่นับหน้าถือตาแถมยังเป็นมืออาชีพในเรื่องนี้ด้วย ผมขอยกให้คุณหมอช่วยดูแลท่านด้วยก็แล้วกันนะครับ ส่วนผมขอตัวหลบไปก่อนละ”
“เฮ้ย นี่ฉันไม่ใช่…หมอรักษาปัญหาหัวใจนะ แล้วนายจะหนีทำไมล่ะนั่น…” เขาเฝ้ามองฉินเฮ่าที่เผ่นแน่บไปชนิดไม่เหลียวหลังก่อนจะหันมองเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ
เมื่อก้าวเข้าไป เฉินอวี่เฉิงก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณกู้ครับ ผมคิดว่าคุณน่าจะมีปัญหาหัวใจกระมัง หรือมีเรื่องให้ต้องหงุดหงิด คุณสามารถบอกผมได้ทุกเรื่องเลยนะครับ เหมือนที่เคยๆ มานั่นแหละ”
“ฉันน่ะรึ ไม่มีอะไรสักหน่อย” กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าเรียบเฉย มือก็ทำเป็นพลิกดูเอกสารต่างๆ ไปพลาง
เฉินอวี่เฉิงพูดต่อ “เรื่องคุณผู้หญิงน่ะ บางทีที่เธอยังไม่สามารถกลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็วก็อาจเป็นเพราะว่าเธอมีเรื่องสำคัญ…”
“ยัยผู้หญิงไร้หัวใจนั่นน่ะเหรอ บางทีเธออาจจะไม่กลับมาอีกแล้วก็ได้”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงขณะที่พูดก่อนจะกระแทกปึกเอกสารลงบนโต๊ะแล้วผุดลุกขึ้นเดินออกไป
คราวนี้เฉินอวี่เฉิงเข้าใจสิ่งที่ฉินเฮ่าพูดแล้วล่ะว่ากู้จิ้งเจ๋อน่าสงสาร
น่าสงสารมากจริงๆ
บริเวณข้างนอก
เฉินโยวหรานนั่งลงตรงเคาน์เตอร์ที่บาร์และมองดูหลินเช่อกระดกเหล้า
“นี่ ตกลงโทรศัพท์เมื่อกี้นี่มันอะไรกันน่ะ แล้วทำไมอยู่ๆ เธอถึงได้โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนี้”
หลินเช่อมองหน้าเพื่อน “ฉันน่ะเหรอโกรธ ทำไมฉันจะต้องโกรธด้วย ฉันไม่ได้โกรธเลยสักนิด”
พวกเธอเพิ่งช่วยกันนำสัมภาระของเฉินโยวหรานไปเก็บที่บ้าน เมื่อเฉินโยวหรานกลับมาถึง หญิงสาวอยากจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ทั้งสองจึงใช้เวลาสนทนาทักทายกับครอบครัวของเฉินโยวหรานอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะออกมายังบาร์แห่งนี้
เวลาล่วงเลยเกินยี่สิบนาทีไปมากโขแล้ว
หลินเช่อยังคงไม่กลับบ้าน เธอไม่อยากพูดกับกู้จิ้งเจ๋อทางโทรศัพท์อีกแล้ว
“แล้วนั่นใครกันล่ะ… ใครกันที่ทำให้เธอหัวเสียได้ขนาดนี้ อย่าบอกฉันนะว่าเป็น…ฉินชิงน่ะ” เฉินโยวหรานรู้เรื่องระหว่างหลินเช่อกับฉินชิงดี นอกจากเขาคนนั้นแล้ว เธอก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอื่นที่จะทำให้คนที่ไม่แคร์ใครอย่างหลินเช่อโกรธได้ขนาดนี้
“จะเป็นเขาเป็นได้ยังไงกันล่ะ”