เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 122
หลินเช่อก้าวขึ้นรถ และไม่ช้าเธอก็ไปถึงสถานที่ถ่ายทำ เมื่อผู้กำกับเห็นหลินเช่อ เขาก็รีบเข้ามาทักทายเธอเป็นการส่วนตัว เขาสุภาพทั้งกับเธอและอวี๋หมินหมิ่นเป็นอย่างมาก
ผู้จัดการของเธอเข้าไปจัดแจงเจรจาเรื่องงานในขณะที่หลินเช่อกำลังทบทวนดูสคริปต์รายการอยู่กับผู้กำกับ ทั้งสองกำลังพูดคุยกันถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จะต้องทำในวันนี้ แต่แล้วใครบางคนก็ร้องเรียกขึ้นจากด้านหลัง “หลินเช่อ ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันเร็วแบบนี้นะ”
หลินเช่อหันไปและพบว่าคนที่กำลังตรงเข้ามาหาก็คืออดีตคู่แข่งรางวัลดาราหน้าใหม่ของเธอ หวังฉิงฉู่นั่นเอง
หลินเช่อหัวเราะแห้งๆ ขณะมองอีกฝ่ายที่เดินนวดนาดเข้ามา หล่อนมีผู้ช่วยตามหลังมาเป็นพรวนอีกราวห้าถึงหกคน ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันบอกผู้กำกับว่าฉันมีเพื่อนเก่าอยู่ที่นี่ และเราก็น่าจะต้องมาเป็นดารารับเชิญร่วมกันดูสักครั้ง จะปล่อยให้พวกดาราทีวีหน้าเดิมๆ มาขโมยเวลาออกอากาศของเราอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอกนะจ๊ะ”
เพื่อนเก่าที่ว่าก็คือเธอเองงั้นหรือนี่…
หลินเช่อหัวเราะอย่างไม่ค่อยจะยินดีนัก “ไม่หรอก ฉันคิดว่ามิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรายการนี้นะ ทุกคนมาที่นี่เพื่อจะร่วมสนุกกัน ไม่มีหรอกเรื่องที่จะมาคอยขโมยซีนกันน่ะ”
หวังฉิงฉู่มองหน้าเธอแล้วแสร้งยิ้มออกมา
การได้มาออกรายการที่โด่งดังขนาดนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด แล้วใครเล่าที่จะมาที่นี่เพื่อความสนุกกัน
หวังฉิงฉู่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี หนนี้เธอจะต้องโดดเด่นสะดุดตากว่าใครทั้งหมด
ทว่าเมื่อเธอเห็นหลินเช่อยังทำหน้าไร้เดียงสาไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างนั้น หวังฉิงฉู่ที่ในตอนแรกอยากจะร่วมมือกับหลินเช่อก็เปลี่ยนใจขึ้นมา เห็นทีจะไม่ดีกว่า โชคยังดีที่ยังมีแขกรับเชิญคนอื่นนอกจากแม่นี่อีก
ในจังหวะนั้นเอง นักแสดงหญิงอีกคนหนึ่งก็เดินทางมาถึง
“ผู้กำกับคะ ฉันมาแล้วค่ะ ขอโทษทีนะคะ ข้างนอกนั่นรถติดมากเลย ฉันไม่ได้มาสายใช่มั้ยคะ” เสียงนั้นทำให้หลายคนหันไปมอง หล่อนคือฉินหวานหว่านนั่นเอง หล่อนสร้างชื่อมาจากละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับออฟฟิศยุคใหม่ และก่อนหน้านี้เธอก็เคยรับบทนักแสดงสมทบมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน หลินเช่อจึงจำเธอได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้มีโอกาสเจอหน้ากันจริงๆ
พวกเธอจับมือและทักทายกันและกัน
“หลินเช่อคะ ฉันติดตามดูซีรีส์ของคุณอยู่นะ สนุกจนฉันติดเลยล่ะ”
“คุณเองก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ คุณดังมากเลยทีเดียวนะคะตอนนี้” ทั้งสองผลัดกันแสดงอัธยาศัยไมตรีต่อกัน ก่อนที่หวังฉิงฉู่จะเข้ามาขัดจังหวะและเริ่มทักทายฉินหวานหว่านบ้างด้วยถ้อยคำแบบเดียวกันกับที่หลินเช่อเพิ่งใช้ไป หล่อนต้องการให้ฉินหวานหว่านอยู่ข้างหล่อน แต่ฉินหวานหว่านกลับเพียงแค่ส่งยิ้มให้อย่างประดักประเดิด แล้วเธอก็หันไปคุยกับหลินเช่อต่อ
“ฉันกังวลจังเลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกของฉันเลย”
“นี่ก็เป็นครั้งแรกของฉันเหมือนกันค่ะ” หลินเช่อว่า
“แค่เป็นตัวของตัวเองเอาไว้นั่นแหละค่ะ ถึงแม้ว่าในครั้งแรกคุณจะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์นะคะ”
“ได้ค่ะ”
แล้วในครู่ต่อมา การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้น
ทีมงานทุกคนพร้อมแล้ว นักแสดงหน้าใหม่ทั้งสามล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเอง รายการเริ่มต้นด้วยการเล่นเกม และรูปแบบของเกมนั้นก็ดูน่าสนใจและท้าทายมากทีเดียว
หลินเช่อไม่ค่อยเข้าใจนักว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แถมยังไม่รู้อีกด้วยว่าตัวเองควรต้องพูดอะไร ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถไล่ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในรายการได้สักเท่าไหร่นัก แต่ฉินหวานหว่านดูจะทำได้ดีทีเดียวแม้เจ้าตัวจะบอกว่ารู้สึกกังวลในทีแรก เธอเข้ากันได้ดีกับนักแสดงหลักประจำรายการและสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้ดี ดูเหมือนว่าเธอจะหาวิธีจับความสนใจคนดูได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เมื่อเทียบกับหลินเช่อแล้ว เธอดูจะชักช้าอืดอาดกว่ามาก
เมื่อฉินหวานหว่านทำภารกิจของตัวเองเสร็จเรียบร้อยและไม่เหลืออะไรที่ต้องทำอีก เธอก็จะเข้ามาช่วยหลินเช่อ ซึ่งหญิงสาวรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
ส่วนทางด้านหวังฉิงฉู่นั้นดูจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของทีมงานสักเท่าไหร่ หล่อนกรีดร้องเสียงดังตลอดเวลาและสร้างปัญหาวุ่นวายในบางครั้ง หล่อนไม่สามารถทำอะไรให้ถูกต้องได้ และคอยแต่เกาะติดนักแสดงหนุ่มที่มีชื่อเสียงที่สุดในรายการอยู่ตลอดเวลา ทีมงานได้แต่เฝ้ามองเธอโดยไม่อาจพูดอะไรได้
เธอเรียกความสนใจจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับทุกคนในที่นั้น
ในช่วงพักเบรก หลินเช่อนั่งอยู่บนรถพร้อมกับดาราใหญ่ของทางรายการ ขณะกำลังเคลื่อนรถไปด้านหน้า เขาก็หันมายิ้มให้เธอและพูดว่า “ท่าทางเธอดูเหมือนนอนไม่พอมาอย่างนั้นแหละ ใต้ตาบวมเป่งเชียว” หลินเช่อตอบเบาๆ ว่า “พอรู้ว่าจะต้องมาออกรายการนี้ ฉันก็เลยกลัวหนักจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเลยน่ะค่ะ ถ้าต้องโดนคัดออกตั้งแต่ตอนต้นๆ รายการละก็ ตัวฉันของฉันจะต้องฆ่าฉันแน่ๆ กว่าจะหาทางให้ฉันมาออกรายการนี้ได้ ต้องหมดเงินไปตั้งมาก”
“ฮ่าๆๆ โอเค งั้นเราจะช่วยกันปกป้องเธอไม่ให้เธอโดนกำจัดทิ้งเร็วนักก็แล้วกันนะ”
“จริงเหรอคะ ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ฉันจะยกเงินรางวัลที่ได้ของสัปดาห์นี้ให้คุณหมดเลย”
“ฮ่าๆ ฉันจะจำไว้นะ”
“นี่ฉันพูดจริงนะคะ!”
หลินเช่อไม่ค่อยจะสนใจหน้าตาของตัวเองสักเท่าไหร่ด้วย จะมีก็แต่การแต่งหน้าแต่งตาบ้างเพียงบางเบา หญิงสาวเอาแต่นั่งงง โดยไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิดว่าเครื่องสำอางบนหน้านั้นหลุดออกไปจนเกือบหมดแล้ว
ฉินหวานหว่านเห็นหลินเช่อนั่งอยู่คนเดียวจึงเข้าไปช่วยปลอบใจ
“ทำไมถึงไม่ไปล่ะ มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”
หลินเช่อตอบ “ฉันไม่รู้จะพูดว่าอะไรน่ะค่ะ พวกคุณดูจะทำได้ดีทีเดียว”
“โธ่เอ๋ย การแสดงของเธอก็ไม่ได้แย่นะจ๊ะ เธอแค่ยังหาจังหวะให้ตัวเองไม่เป็นเท่านั้นเอง”
หลินเช่อรับคำอายๆ “ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”
ฉินหวานหว่านพูดต่อ “ดูสินั่น หวังฉิงฉู่กำลังพยายามอย่างหนักเลยละ”
หลินเช่อมองดูหวังฉิงฉู่ที่กำลังวนเวียนพยายามหาที่ทางให้ตัวเองอย่างสุดความสามารถ “มันเป็นเรื่องของความสามารถน่ะค่ะ ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถในเรื่องนี้ คงทำได้แค่เรื่องการแสดงเท่านั้น”
ฉินหวานหว่านมองเธอด้วยสายตาปลอบประโลม “เอาเถอะจ้ะ แม่สาวน้อยผู้น่าสงสาร”
รายการนั้นจะต้องถ่ายทำต่อเนื่องกันสองวันเต็ม เมื่อถ่ายทำในวันแรกเสร็จ หลินเช่อก็ขึ้นเครื่องบินไปยังสถานที่ถ่ายทำถัดไปพร้อมกับทุกคน
ขณะที่อยู่บนเครื่องบิน อวี๋หมินหมิ่นก็เดินตามหลังหลินเช่อมา ดารารับเชิญสองสามคนได้นั่งชั้นเฟิร์สคลาส ในขณะที่คนอื่นที่เหลือนั่งชั้นประหยัด ผู้จัดการสาวส่งน้ำดื่มให้หลินเช่อพลางมองดูสีหน้าอย่างคนที่กำลังจะยอมแพ้ของหญิงสาว อวี๋หมินหมิ่นพูดปลอบ “อย่ากังวลให้มากไปเลย”
หลินเช่อเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “สองคนนั้นเขามีจุดเด่นเฉพาะตัว งานนี้ฉันต้องกลายเป็นคนที่เด่นน้อยที่สุดแน่ๆ”
อวี๋หมินหมิ่นปลอบว่า “ลองมาเทียบกับงานอื่นของเธอกันดีกว่า รายการเรียลลิตี้นี่ก็เป็นแค่งานพิเศษเท่านั้น มันไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเธอสักเท่าไหร่หรอกน่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเช่อก็ทำได้แต่เพียงพูดอย่างขอโทษว่า “ฉันรู้สึกขายหน้าจังค่ะ ทั้งที่ทุกคนอุตส่าห์หางานดีๆ อย่างรายการแบบนี้มาให้”
อวี๋หมินหมิ่นว่า “ไม่ต้องขอโทษหรอก อย่ากังวลไปเลย ยังมีรายการอื่นอีกถมเถไปน่ะ ตราบใดที่เธอยังมีชื่อเสียงอยู่ ใครๆ ก็อยากได้เธอไปร่วมรายการทั้งนั้นนั่นแหละ อีกอย่าง การแสดงของเธอในรายการก็ไม่ได้แย่เลยสักนิด”
“โอเคค่ะ…”
“เอาล่ะ แต่ถ้ายังจะทำหน้าตูมอยู่แบบนี้ละก็ พรุ่งนี้หน้าเธอจะต้องบวมเป็นขนมปังปอนด์แน่ รีบไปพักผ่อนซะ แล้วก็อย่าดื่มน้ำมากไปล่ะ พรุ่งนี้เช้ายังมีถ่ายต่อ”
พูดน่ะง่ายกว่าทำ หลินเช่อกลับเข้าที่พักทั้งที่ยังอารมณ์ไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงดื่มอะไรอีกนิดหน่อยที่โรงแรม
ตกกลางคืน กู้จิ้งเจ๋อโทรมาหาและถามเธอว่า [นี่เธอจะต้องถ่ายทำอีกกี่วันน่ะ]
หลินเช่อรับสาย เธอยังไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “ยังต้องถ่ายพรุ่งนี้อีกวันค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยมาดูว่าการถ่ายทำที่ผ่านมาใช้ได้มั้ย ถ้าไม่ดีพอก็อาจจะต้องถ่ายเพิ่มอีกวัน”
กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ [มีอะไรหรือเปล่า เธอมีอะไรไม่สบายใจหรือไง]
หลินเช่อถอนหายใจและคิดว่าคงไม่เป็นไรที่จะเล่าให้เขาฟังถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น
“ค่ะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีเลย คุณชอบพูดอยู่เรื่อยว่าฉันน่ะซื่อบื้อ บอกหน่อยสิคะ ว่าฉันซื่อบื้อขนาดนั้นจริงๆ เหรอ เพราะแบบนี้ฉันถึงได้หาจังหวะออกกล้องให้ตัวเองไม่ได้เลยใช่มั้ย”
เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ และตอบว่า [ก็จริงนะ เธอซื่อบื้อมากจริงๆ นั่นแหละ]
“นี่!”
ใครเขาปลอบใจคนอื่นกับแบบอีตานี่บ้าง