เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 171
กู้จิ้งเจ๋อออกจะงงเล็กน้อย ทำไมอยู่ๆ หลินเช่อถึงจะไปร่วมงานอีเวนต์ขึ้นมาได้ล่ะทั้งที่เธอไม่ได้บอกเขาล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด
หรือบางทีเธออาจจะเห็นเขามัวแต่ยุ่งๆ ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเพราะเรื่องโม่ฮุ่ยหลิงพยายามฆ่าตัวตาย เธอก็เลยไม่ได้บอกเขา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินเช่อเป็นคนเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี เวลาที่เขายุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำงาน เธอก็ไม่เคยเลยที่จะสร้างปัญหาหรือตัดพ้อแง่งอนอะไร
ในขณะเดียวกัน หลินเช่อกำลังขึนเครื่องบินไปยังเมือง S ที่ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานอีเวนต์คริสต์มาส
เมื่อเดินทางไปถึง เธอก็ตรงไปยังโรงแรมทันทีเพื่อพักผ่อน อวี๋หมินหมิ่นเดินทางมาพร้อมกันกับเธอด้วย ขณะเดินไปด้วยกัน ผู้จัดการสาวก็เอ่ยขึ้นว่า “กู้จิ้ิ้งอวี่นี่ใจกว้างจังเลยเนอะ อุตส่าห์ชวนเธอมาร่วมงานใหญ่แบบนี้ด้วยน่ะ”
หลินเช่อจึงถามขึ้นว่า “นี่เป็นงานใหญ่มากเลยเหรอคะ”
อวี๋หมินหมิ่นตอบ “รายการวาไรตี้ที่ผลิตโดยสถานีโทรทัศน์ของเมือง S นี่เป็นรายการที่มีชื่อเสียงมาก สำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสนี่ พวกเขาจะเชิญคนดังๆ มาร่วมงานกันเต็มไปหมด ถ้าถึงเวลาออกอากาศก็รับประกันได้เลยว่าว่าเรตติ้งคนดูต้องสูงลิ่วแน่นอน นี่เป็นงานใหญ่มาก คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางได้รับเชิญมาร่วมงานแน่ เธอเองยังไม่เคยมีโอกาสได้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่แบบนี้ เพราะฉะนั้นพอถึงวันงานที่เธอได้เข้าไปเป็นแขกรับเชิญละก็ ทุกอย่างจะต้องออกมายอดเยี่ยมแน่ ลองคิดดูสิ งานอีเวนต์ที่กู้จิ้ิ้งอวี่ยินดีจะมาร่วมน่ะไม่มีทางเป็นงานห่วยๆ ไปได้หรอก”
เมื่อหลินเช่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า เธออารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่จึงไม่สนใจจะซักไซ้อะไรมากไปกว่านั้น เมื่อมาถึงโรงแรม หญิงสาวก็จัดแจงล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมลงไปซ้อมคิว เธอได้ยินทางทีมผู้จัดการบอกว่าจะให้เธอขึ้นร้องเพลงคู่กับนักร้องดังคนหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่หลินเช่อไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน และมันน่าจะทำให้เธอเป็นกังวลอยู่ในตอนนี้ แต่ก็กลับไม่เป็นเช่นนั้น หญิงสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
นี่กู้จิ้งเจ๋อคงยังดูแลโม่ฮุ่ยหลิงอยู่สินะ
ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ เพราะตอนที่เธอออกจากบ้านมาก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดๆ จากเขาเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งคิด หลินเช่อก็ยิ่งอารมณ์เสียหนักขึ้นไปอีก จนตอนนี้เริ่มจะกลายเป็นความโกรธขึ้นมาตงิดๆ แล้ว ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังปิดกั้นหัวใจเธอ จนไม่สามารถทำใจปล่อยวางความขุ่นข้องลงได้เหมือนเช่นทุกครั้ง
ให้ตายสิ อีตาผู้ชายบ้านี่ บางครั้งเขาก็คอยมาวุ่นวายอยู่ใกล้เธอ แต่บางครั้งเขาก็ยังคงห่วงหาอาทรโม่ฮุ่ยหลิงทั้งที่ก็เลิกรากันไปแล้ว
หลินเช่อก่นด่าชายหนุ่มอยู่ในใจ
อีตาบ้า อีตาบ้า
ก็ไหนเขาบอกว่าความสัมพันธ์ของเขากับหล่อนไม่ได้สนิทสนมกันเหมือนแต่ก่อน และหล่อนก็ไม่ได้เป็นคนรักของเขาอีกแล้วไม่ใช่หรือไงนะ
แต่เมื่อลองได้คิดดู หลินเช่อก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดขาดกันได้ง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็รักใคร่กันมาตั้งแต่เด็ก แถมตอนนี้โม่ฮุ่ยหลิงก็ยังใช้ความเป็นความตายมากดดันชายหนุ่มอีก กู้จิ้งเจ๋อคงทั้งกลัดกลุ้มและรู้สึกผิดจนอยากจะตัดแขนที่ตบหน้าหล่อนทิ้งเป็นกำลัง
ส่วนที่หลินเช่อกำลังหงุดหงิดฟึดฟัดอยู่ตอนนี้ ก็เป็นเพราะความมากบทบาทเล่นใหญ่เกินจริงของโม่ฮุ่ยหลิงนั่นแหละ
ความรู้สึกนี้ยากเกินกว่าจะทนรับไหวและนั่นทำให้เธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงจนไม่สามารถนอนหลับได้ แต่แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็โทรมาหาเธอในช่วงเวลานี้
ทันทีที่หญิงสาวเห็นหมายเลขที่โทรเข้ามา เธอก็ตวัดเสียงอย่างฉุนเฉียวใส่ว่า “มีอะไร”
กู้จิ้งเจ๋อตกใจจนชะงักไปก่อนจะถามขึ้นที่ปลายสายว่า [ทำไมอยู่ๆ เธอถึงได้เดินทางไปร่วมงานอีเวนต์ล่ะ]
“อะไรกัน นี่ฉันจะไปงานอะไรไม่ได้เลยหรือไงคะ นี่มันก็ใกล้จะคริสต์มาสแล้ว ต่อจากนั้นก็คือวันส่งท้ายปีเก่า ดาราสุดฮอตประจำปีอย่างฉันก็ต้องมีงานเลี้ยงมากมายให้ต้องไปร่วมอยู่แล้วนี่คะ”
[หลินเช่อ นี่เธอ…เป็นอะไรไปน่ะ] กู้จิ้งเจ๋อสัมผัสได้ว่าหญิงสาวพูดจาด้วยน้ำเสียงที่กระด้างกว่าปกติ จึงถามขึ้นด้วยความงุนงง
“หมายความว่ายังไงคะ เป็นอะไร”
[ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าเธอพูดจาแปลกๆ ไปน่ะ]
“ก็ต้องแปลกสิคะ ฉันรีบตะกายมาขึ้นเครื่องบินตั้งแต่เช้าตรู่ และตอนนี้ก็ไม่สบายตัวเอาเลยด้วย เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้วละก็ อย่ามากวนใจฉันอีกนะคะ ฉันจะนอนแล้ว”
[เธอไม่สบายเหรอ] เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มนั่งไม่ติด [ฉันจะส่งคนไปดูอาการเธอ เธอพักอยู่โรงแรมอะไรล่ะ]
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวได้นอนซักงีบก็หาย ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็อย่าโทรมากวนฉันอีกก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เธอก็วางสายไปทันที
ที่โรงพยาบาล
เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้ว ชายหนุ่มก็มองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางสายไปด้วยความรู้สึกสับสน
สองสามชั่วโมงต่อมา เขาก็ตัดสินใจโทรไปอีกครั้ง
หลินเช่อที่เพิ่งงีบหลับไปได้สองสามชั่วโมงก็สะดุ้งตื่นด้วยเสียงสายเรียกเข้า หญิงสาวคว้าโทรศัพท์มาและกรอกเสียงถามลงไปว่า [อะไรอีกล่ะ]
“ไม่มีอะไร ก็แค่จะโทรมาถามว่าตื่นหรือยัง แล้วดีขึ้นบ้างมั้ย”
[ยังค่ะ! ก็คุณนั่นแหละที่โทรมาปลุก] หลินเช่อต่อว่า
กู้จิ้งเจ๋อขมดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นละก็ พอดีเมื่อกี้ฉันไม่ได้ถาม แต่ไหนๆ เธอก็ตื่นแล้ว ไอ้งานอีเวนต์นี่จะเสร็จเมื่อไหร่ล่ะ แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะกลับบ้าน”
[ทำไมคะ มันสำคัญอะไรด้วยเหรอ] หลินเช่อถาม
กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “สำคัญสิ ครอบครัวฉันอยากกินอาหารเย็นพร้อมหน้ากันวันส่งท้ายปีเก่า พวกเขาถามว่าเธอจะกลับมาทันหรือเปล่าน่ะ”
[ตายจริง นั่นเรื่องสำคัญมากเลยนะคะเนี่ย กู้จิ้งเจ๋อ แต่ฉันจำได้ว่าตอนที่เราแต่งงานกัน ฉันไม่เคยตกลงว่าจะช่วยรับมือเรื่องครอบครัวของคุณด้วยนะคะ มันออกจะเป็นการเอาเปรียบฉันเกินไปหน่อยนะ ทีฉันยังไม่ให้คุณต้องมาวุ่นวายกับครอบครัวฉันเลย นี่ฉันออกมาทำงานข้างนอก ฉันยังได้ค่าตัว เพราะฉะนั้นฉันไม่มีทางทำให้ฟรีๆ แน่ คุณจะต้องจ่ายค่าตัวมาค่ะ]
“โอเคๆ เธอต้องการเท่าไหร่ล่ะ”
[ครั้งละสิบล้าน]
“นี่ เดี๋ยวนี้ชักหัวการค้านะ!”
[ทำไมละคะ ฉันจะรู้ว่าเราจะหย่ากันเมื่อไหร่ ถ้าฉันไม่ฉวยโอกาสกอบโกยไว้ตั้งแต่ยังเป็นคุณนายตระกูลกู้ อนาคตฉันก็ลำบากน่ะสิคะ ทำไมคะ คุณเริ่มนึกเสียใจแล้วละสิ ชีวิตคนจนๆ อย่างฉันมันก็พูดกันตรงๆ แบบนี้นี่แหละค่ะ ไม่โรแมนติกเหมือนคุณหนูโม่ของคุณหรอก ใช่ไหมล่ะ เพราะคืนนั้นคุณไม่รู้จักควบคุมร่างกายส่วนล่างของตัวเองให้ดียังไงล่ะ เฮอะ]
“หลินเช่อ…ฉันคิดว่าบางทีเธอน่าจะไปหาหมอหน่อยนะ”
[ทำไมคะ]
“ฉันคิดว่าบางทีเธออาจจะป่วยก็ได้” กู้จิ้งเจ๋อว่า
[นี่คุณ…คุณหาว่าใครเสียสติน่ะ คุณนั่นแหละที่เสียสติ!]
“ฉันแค่คิดว่าเธอน่าจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่” กู้จิ้งเจ๋อบอก
หลินเช่อตะโกนลั่นด้วยความโกรธจัด [คุณนั่นแหละที่ผิดปกติ! ตาซ้ายคุณน่ะมองได้แค่ 0.1 ส่วนตาขวาก็มองได้แค่ 0.01 ตาคุณน่ะใกล้จะบอดเต็มทีแล้ว เพราะฉะนั้น คุณนั่นแหละที่ต้องไปหาหมอ]
ก็ถ้าเขาไม่ตาบอด เขาจะไปชอบผู้หญิงร้ายกาจอย่างโม่ฮุ่ยหลิงลงได้ยังไงกัน
เมื่อหลินเช่อพูดจบ เธอก็วางสายโครมอย่างหัวเสียหนัก
ที่โรงพยาบาล
กู้จิ้งเจ๋อกำลังอยู่กับเฉินอวี่เฉิง
นายแพทย์หนุ่มเฝ้ามองดูหลินเช่อวางสายใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง เขาพอจะได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ และกำลังอยากจะหัวเราะเต็มแก่แล้วแต่ก็ทนกลั้นเอาไว้
เฉินอวี่เฉิงได้แต่มองไปทางกู้จิ้งเจ๋อแล้วอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่กู้จิ้งเจ๋อผู้ยิ่งใหญ่ถูกผู้หญิงขู่แว้ดๆ เอาได้แบบนี้นะ
กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ในความเห็นของนาย นายคิดว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงอารมณ์เสียขึ้นมาได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย”
เฉินอวี่เฉิงว่า “บางทีอาจเกิดจากการความพยายามที่จะเก็บกดปฏิกริยาทางร่างกายเอาไว้นานเกินไป จนไม่มีโอกาสได้ปลดปล่อยก็เป็นได้นะครับ”
“…” กู้จิ้งเจ๋อมองผู้เป็นนายแพทย์ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เฉินอวี่เฉิงพยายามปลอบประโลมอีกฝ่ายอย่างจริงใจว่า “ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่เราจะมานั่งถกกันถึงจิตวิทยาของผู้หญิงกันน่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดก็ตามของผู้หญิง มันสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้น”
“อะไร” กู้จิ้งเจ๋อถามพลางมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“โยนเธอลงบนเตียงกับก็มีเซ็กส์กับเธอซะน่ะสิ แล้วทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง”
“…” กู้จิ้งเจ๋อทำหูทวนลมใส่คำแนะนำแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “เขาเป็นอะไรของเขานะ”
“ว่าแต่คุณไปทำอะไรให้เธอโมโหล่ะครับ” เฉินอวี่เฉิงยังกระหายที่จะให้คำแนะนำไม่เลิก
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินระดับสติปัญญากู้จิ้งเจ๋อด้านความเข้าใจผู้หญิงและความรักสูงเกินไปหน่อย
เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่เขาควรจะรู้ได้แล้ว
กู้จิ้งเจ๋อเพียงแต่เอ่ยเบาๆ ว่า “ก็ไม่นะ หลินเช่อไม่ใช่คนขี้โมโหซักเท่าไหร่”
ชายหนุ่มคิดไม่ออกเอาเลยจริงๆ เขาไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้หญิงสาวไม่พอใจเข้า
อย่างไรก็ตามเมื่อกลับถึงบ้าน กู้จิ้งเจ๋อก็ซึมไปไม่น้อยเมื่อมองเห็นเตียงนอนที่ว่างเปล่าในห้อง
ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยบางอย่างกำลังล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจ จนกระทั่งชายหนุ่มได้รู้ตัวว่าเขากำลังคิดถึงหลินเช่อใจแทบขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือจะเชื่อสำหรับเขาเป็นที่สุด