เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 220
ภายในงาน ซ่งซูไห่สวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงที่แน่นอนว่าจะต้องได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ ส่งให้เธอดูงดงามและสวยสง่า สมสถานะดาราชั้นนำ
หลินเช่อยกชายกระโปรงยาว ก้าวเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง เธอเดินวนไปรอบๆ เพื่อมองหาที่นั่งซึ่งจะมีหมายเลขติดอยู่ เมื่อพบแล้วก็รีบนั่งลง พนักงานของบริษัทก็รีบตรงเข้ามารินน้ำให้ หญิงสาวยิ้มและบอกขอบคุณ
พนักงานของบริษัทซึ่งชื่นชอบในตัวหลินเช่อก็ยิ้มตอบเธออย่างสุภาพ
หลินเช่อกำลังจิบน้ำ เมื่อเธอหันไปเห็นนักแสดงเล็กๆ คนหนึ่งกำลังมองมาและร้องเรียกว่า “หลินเช่อ ว้าว! นี่เราได้นั่งโต๊ะเดียวกันเหรอคะนี่”
หญิงสาวแทบสำลักน้ำ เมื่อเหลียวมองไปด้านข้าง เธอก็ได้รู้ว่ามีนักแสดงจากบริษัทของเธออีกสองสามคนที่ได้นั่งโต๊ะเดียวกัน หลินเช่อชักสับสนเสียแล้วว่าคนพวกนี้มีโอกาสได้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่แบบนี้ได้ยังไง นักแสดงชายที่ยังไม่โด่งดังนักคนหนึ่งที่ชื่อเสี่ยวชิงหลางยิ้มให้และพูดกับเธอว่า “ผมเพิ่งรู้นะครับเนี่ย ว่าพี่เช่อได้มาร่วมงานเลี้ยงประจำปีนี่ด้วย ปกติแล้วคนอย่างพวกเราไม่มีโอกาสที่จะได้มางานใหญ่แบบนี้ แต่พวกเราขอร้องตัวแทนให้ช่วยหาทางให้เราได้มางานนี้ให้ได้ พี่หลินเช่อนี่ มองใกล้ๆ แล้วสวยมากเลยนะครับ”
“จริงค่ะ ไม่ใช่แค่สวยนะคะ แต่ยังดูมีสง่าราศีมากด้วย”
“พี่หลินเช่อคะ บทที่พี่ได้รับก็น่ารักเอามากๆ ด้วย ฉันคิดว่าพรุ่งนี้พี่จะต้องตกเป็นข่าวใหญ่แล้วก็กลายเป็นดาราดังแน่ๆ”
หลินเช่อรีบบอก “ไม่หรอกจ้ะ! จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง ฉันยังอีกห่างไกลนัก”
“พี่หลินเช่อนี่ ถ่อมตัวจังเลยนะคะ” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาจากด้านข้าง แล้วคนทั้งโต๊ะก็เริ่มพูดคุยกันอย่างออกรส
ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ขัดจังหวะการสนทนาของคนในกลุ่ม
“เฮ้ นั่นใครอยู่ข้างหน้าน่ะ ทำไมถึงไม่หลีกทางให้พี่เสี่ยวหยวน”
ทุกคนหันไปและก็ได้เห็นฉินเสี่ยวหยวนที่กำลังเดินเข้ามา เธอสวมชุดยาวสีขาวซึ่งเป็นสไตล์ที่แตกต่างจากซ่งซูไห่อย่างสิ้นเชิง แต่ในฐานะซุปเปอร์สตาร์ที่เป็นมายาวนานหลายปี ก็ทำให้เธอมีรัศมีพิเศษบางอย่างเปล่งประกายออกมา
สายตาของเธอกวาดมองกลุ่มของนักแสดงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะโดยไม่กะพริบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเดินต่อไป
หลินเช่อมองเห็นคนที่ท่าทางเหมือนจะเป็นผู้ช่วยของฉินเสี่ยวหยวนกำลังทำท่าวางโต และบังเอิญว่าเก้าอี้ของหลินเช่อก็ขวางทางฉินเสี่ยวหยวนอยู่พอดิบพอดี
นักแสดงที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินเมื่อครู่ก่อนพากันหุบปากเงียบ ทุกคนหันไปมองฉินเสี่ยวหยวน และรีบลุกขึ้นไปทักทายอย่างรวดเร็ว
หลินเช่อก้มลงมองชุดของตัวเอง แล้วก็ทำได้แค่เพียงยืนขึ้นเท่านั้น
ฉินเสี่ยวหยวนปรายตามองและเอ่ยถามผู้ช่วยของเธอด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “ทำไมถึงได้หนวกหูนักล่ะ”
ผู้ช่วยของเธอตอบด้วยน้ำเสียงเยาะหยันว่า “ก็พวกหมาแมวจรจัดไม่มีหัวนอนหลายเท้าทั้งหลายนี่แหละค่ะ”
“จริงเหรอ เดี๋ยวนี้งานเลี้ยงประจำปีเขาเชิญคนทั่วไปหมดแบบนี้แล้วเหรอ”
“นั่นสิคะ เราน่าจะเข้าไปพูดกับท่านประธานชางนะ ว่าเราคงจะไม่ขอมาร่วมงานนี้อีกแล้วน่ะ”
ฉินเสี่ยวหยวนไม่แม้แต่จะเหลือบมองใคร แต่คนที่เป็นผู้ช่วยของหล่อนตวัดสายตามองหลินเช่อก่อนที่จะพากันเดินต่อ แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาและพ่นลมใส่อย่างดูแคลน
หลินเช่อจ้องตอบ จนเมื่อทั้งสองเดินจากไปแล้ว เธอจึงหันมาพูดกับอวี๋หมินหมิ่นว่า “ไม่คิดเลยนะคะว่าเธอจะหยิ่งขนาดนี้”
อวี๋หมินหมิ่นว่า “เขาอิจฉาเธอน่ะ ก็เลยตั้งใจทำท่าทางแบบนั้นให้เธอเห็น”
“อะไรนะคะ มาอิจฉาอะไรฉัน…”
“ก็อิจฉาชื่อเสียงของเธอน่ะสิ ถึงแม้ว่าจะเป็นดาราระดับท็อป แต่เขาก็ไม่ได้มีข่าวออกมามากมายเท่าเธอในปีนี้”
“โอเค…” ก็เพราะว่าเธอมีแต่ข่าวซุบซิบเต็มไปหมดน่ะสิ
ขณะที่ฉินเสี่ยวหยวนเดินไป หล่อนก็หันกลับมาขยิบตาให้หลินเช่อ ดาราสาวไม่พูดอะไรกับใครอีก แต่รีบเดินตรงเข้าไปหาซ่งซูไห่ในทันที หล่อนทำเสียงขุ่นเมื่อถามว่า “เธอเห็นแม่ดาราหน้าใหม่ตอนที่เดินเข้ามารึเปล่า”
“โอ้ เธอพูดถึงแม่คนนั้นน่ะเหรอ” ผู้หญิงทั้งสองไม่เคยเป็นมิตรต่อกัน และทะเลาะเบาะแว้งกันมาตลอดหลายปีเนื่องจากอยู่ในสถานะดาราชั้นนำเหมือนกันทั้งคู่ และนี่ก็เป็นหัวข้อสนทนาที่ทั้งคู่มีความสนใจเหมือนกัน
เมื่อมองไปยังทิศของหลินเช่อ ซ่งซูไห่ก็เตือนว่า “เบาเสียงลงหน่อยเถอะ ช่วงนี้แม่นั่นออกจะเป็นข่าวดังอยู่เรื่อย ถ้ามีใครมาได้ยินเ พวกแฟนๆ จะมาไล่บี้พวกเราซะเปล่าๆ ไปเที่ยวพูดจาไม่ดีถึงคนอื่นน่ะ อาจจะไม่ได้ตายดีนะจ๊ะ”
“โอ๊ย ถ้าจะตายเพราะแม่นั่นฉันก็ยอมตาย ตลอดเวลาหลายปีที่ฉันอุตส่าห์ทำงานหนักมากลายเป็นเรื่องสูญเปล่า ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ แต่แม่นั่นน่ะท่าทางยโสโอหังเชียว ฉันก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมกับเธอเท่าไหร่ อย่างตอนที่ฉันเดินเข้าไปใกล้ๆ นั่น หล่อนก็กำลังถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนมากมายเต็มไปหมด ก็ไม่เข้าใจนะว่าหล่อนทำหน้าระรื่นชื่นบานกับคำชมพวกนั้นได้ยังไง ในเมื่อหล่อนไต่เต้าขึ้นมามีชื่อเสียงขนาดนี้ได้เพราะว่าข่าวซุบซิบเสียๆ หายๆ ทั้งนั้น ยังจะมีหน้ามีดีใจอยู่ได้”
ซ่งซูไห่ว่า “เอาน่า เธอไม่ต้องโมโหไปหรอก หล่อนก็แค่ยังสาวเท่านั้นเองแหละ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ไอ้เรื่องธรรมเนียมว่าต้องให้เกียรติรุ่นพี่นั่นมันไม่มีอีกแล้วละ พวกนั้นไม่รู้หรอกว่าควรจะรีบเข้ามาทักทายเราน่ะ ให้ตายเถอะ” ซ่งซูไห่เป็นคู่แข่งกับฉินเสี่ยวหยวนมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้ดีว่าฉินเสี่ยวหยวนพยายามที่จะใส่ไฟให้เธอลงมือทำอะไรซักอย่างกับหลินเช่อ แต่เธอไม่โง่พอที่จะเต้นตาม ด้วยเหตุนี้เธอจึงเพียงแต่หัวเราะ และเลี่ยงไปคุยเรื่องอื่น
เมื่อฉินเสี่ยวหยวนหันไปมองหลินเช่ออีกครั้ง หล่อนก็อดหัวเสียกับภาพที่เห็นไม่ได้ แม่นั่นเป็นเพียงนักแสดงเบอร์เล็กๆ ที่ไม่มีคนรู้จักอยู่ตั้งนาน แต่พอมาปีนี้ อยู่ๆ หลินเช่อก็กลับโด่งดังขึ้นมาหน้าตาเฉย
แน่ละว่าตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่ระดับซุปเปอร์สตาร์ แต่ก็คงจะได้เป็นแน่ในไม่ช้า
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่สะสวยของหลินเช่อ แม้ว่าจะไม่ได้สวยจนสะดุดตา แต่เธอก็มีรัศมีพิเศษบางอย่างเปล่งประกายออกมา อีกทั้งใบหน้าของเธอยังสะดุดตาและทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกว่าเธอสวยมากด้วย
ฉินเสี่ยวหยวนไม่ชอบใบหน้าเล็กๆ นั่นเมื่อได้เห็น เธอจึงอยากดึงซ่งซูไห่ให้มาร่วมมือในการจัดการหลินเช่อ
ไม่ช้างานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น
หลินเช่อและอวี๋หมินหมิ่นเข้าไปดื่มฉลองให้กับประธานบริษัทก่อน
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ตรงไปที่โต๊ะแขกคนสำคัญของงาน นักแสดงใหญ่สองสามคนนั่งอยู่ที่นั่น สีหน้าของทุกคนดูเย็นชาเมื่อเห็นหลินเช่อเดินเข้ามาหา
เมื่อเห็นหลินเช่อ ผู้บริหารต่างก็หันมาชื่นชมยินดี ลูบหลังลูบไหล่ด้วยความรักใคร่เอ็นดู “อนาคตของเธอจะต้องสดใสแน่นอน ขอให้ทำงานต่อไปให้ดี อนาคตที่ดีย่อมเป็นของคนหนุ่มสาวอย่างแน่นอน”
ฉินเสี่ยวหยวนเมื่อได้ยินก็ยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก เมื่อเห็นหลินเช่อเดินเฉียดเข้ามาใกล้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเหยียดขาออกไป…
หลินเช่อเกือบล้มหน้าคะมำ เธอซวนเซไปสองสามก้าวก่อนจะหยุด
หญิงสาวตวัดสายตามองฉินเสี่ยวหยวนอย่างโกรธจัด
เธอคิดมาโดยตลอดว่าฉินเสี่ยวหยวนนั้นเป็นคนที่น่านับถือ เพราะอย่างน้อยก็เป็นรุ่นพี่ในวงการหญิงสาวไม่คิดเลยว่าหล่อนจะเป็นคนไร้เหตุผลได้ขนาดนี้
อวี๋หมินหมิ่นรีบดึงหลินเช่อกลับมาและหันไปมองคนก่อเหตุ “พี่เสี่ยวหยวนคะ ดูเหมือนว่าจะเหยียดขาออกมามากเกินไปหน่อยนะคะ”
ฉินเสี่ยวหยวนหันขวับไป “ขอโทษทีจ้ะ ฉันไม่ทันสังเกตน่ะ แต่เธอก็ไม่ได้ล้มนี่นา ขาฉันก็ยาวแบบนี้มาตลอดแหละ ท่านประธานชางยังไม่เคยบ่นอะไรเลย แล้วเธอเป็นใครจ๊ะจะมาว่าฉันเรื่องนี้”
ผู้บริหารเองเคยเห็นเล่ห์เหลี่ยมของดารามาทุกรูปแบบแล้ว เมื่อพวกเขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากทางด้านข้าง ก็รีบลุกขึ้นมาไกล่เกลี่ย “เอาน่า เสี่ยวหยวน เอาน่าหลินเช่อ เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ อย่าทะเลาะกันเองเลย เสี่ยวหยวน หลินเช่อก็นับว่าเป็นรุ่นน้องของเธอนะ”
เมื่อฉินเสี่ยวหยวนเห็นว่าผู้บริหารเลือกที่จะเข้าข้างหลินเช่อและไม่ช่วยเหลือเธอ หญิงสาวก็ลุกพรวดขึ้นทันที “ท่านประธานชางคะ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ จะบอกว่านั่นคือรุ่นน้องและฉันกำลังรังแกเธออย่างนั้นเหรอคะ ขอโทษทีค่ะ ฉันไม่รู้จักเธอแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอมาจากไหน เธออาศัยข่าวซุบซิบทั้งหลายไต่เต้าขึ้นมา แบบนี้น่าอายออกจะตายไปค่ะ คนที่ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างฉันไม่มีอะไรจะสั่งสอนคนแบบนี้หรอกนะคะ ขออย่าเรียกฉันว่ารุ่นพี่เลย ฉันคงเป็นให้ไม่ได้ คอยเกาะดาราใหญ่ๆ แล้วก็ใช้ข่าวซุบซิบกับเขาสร้างชื่อให้ตัวเองเนี่ยนะ ฉันไม่มีทางทำเรื่องน่าอายแบบนี้ได้ในชีวิตเป็นอันขาด”
ฉินเสี่ยวหยวนมองอวี๋หมินหมิ่นอย่างเยาะหยัน “ผู้จัดการแบบไหนกันที่เอาดาราแบบนี้มาปั้นน่ะ คนไร้ศีลธรรมอย่างเธอไม่ควรจะมาทำลายชื่อเสียงดาราดังของบริษัทเรานะ”