เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 233
เมื่อกลับถึงบ้าน กู้จิ้งเจ๋อเป็นฝ่ายเข้าไปอาบน้ำก่อน
ขาของหลินเช่อยังคงต้องอยู่นิ่งๆ มาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน เธอจึงนอนเล่นอยู่บนเตียง ขณะที่กำลังไถโทรศัพท์ไปมาอยู่นั้น อยู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียง ‘ติ๊ง’ มีใครบางคนส่งข้อความมาให้เธอ
หลินเช่อเปิดดูข้อความและพบว่ามันคือวิดีโอ
เมื่อเปิดดู เธอก็ได้เห็นภาพที่ค่อนข้างเบลอ แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูแล้วรู้ได้ว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้ มันเป็นวิดีโอของโม่ฮุ่ยหลิงกับกู้จิ้งเจ๋อนั่นเอง
ทั้งสองกำลังกอดกันแนบแน่นอยู่ในคาเฟ่
จากมุมนี้ เธอมองเห็นโม่ฮุ่ยหลิงกำลังแอบอิงร่างเข้าไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มและไม่อยากที่จะแยกจาก ส่วนกู้จิ้งเจ๋อเองก็ดูจะไม่เต็มใจนักที่จะคลายอ้อมกอดจากหล่อน วงแขนเขายังคงโอบอยู่รอบหลังเธอ
หลินเช่อกัดริมฝีปากล่างของตัวเองทันที เธอมองดูโทรศัพท์และกำมันแน่นในมือ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกโดยไม่รู้สาเหตุ หลังจากนั้นเธอก็ฝืนยิ้มอย่างหม่นหมองและคิดถึงเหตุการณ์นี้ว่า กู้จิ้งเจ๋อนั้นทั้งที่ไม่อยากจะปล่อยมือจากโม่ฮุ่ยหลิง…แต่เขาก็กลับมามีความสุขดีกับเธอ
บางทีความต้องการทางกายมันคงจะมีอำนาจมหาศาลมากจริงๆ สินะ
หญิงสาวหลับตา ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอควรจะรู้สึกดีกับเสน่ห์ในตัวเธอที่สามารถผูกใจเขาเอาไว้ให้หลงใหลในเรือนกายของเธอได้ หรือควรจะเศร้าใจที่เธอต้องมากลายเป็นของเล่นให้เขาแบบนี้…
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาเพียงชั่วขณะเท่านั้น ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้อีกครั้ง
แล้วใครกันที่เป็นคนส่งวิดีโอนี่มาให้เธอ
หลินเช่อไม่อาจนึกถึงใครได้อีกนอกจากโม่ฮุ่ยหลิง
เมื่อกี้นี้เธอโกรธและคิดถึงทั้งตัวเองและกู้จิ้งเจ๋อในแง่ดีไม่ได้ ทั้งที่เธอก็รู้จักเขามาได้พักใหญ่แล้ว ทำไมเธอถึงยังไม่เข้าใจอีกนะว่ากู้จิ้งเจ๋อไม่ใช่คนแบบนั้น
อีกอย่าง เธอไม่ใช่ของเล่น การคิดแบบนั้นเป็นการดูถูกตัวเธอเองอย่างมาก
หลินเช่อดึงผ้าห่มมาพันรอบตัวแล้วกดปุ่มลบวิดีโอทิ้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองโคมไฟระย้าบนเพดานห้อง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในความเป็นจริง โม่ฮุ่ยหลิงก็ยังพูดถูกอยู่ข้อหนึ่ง
ถึงอย่างไรทั้งกู้จิ้งเจ๋อและหล่อนต่างก็มีความหลังฝังใจด้วยกันมานานหลายปี
บางทีเขาอาจจะทนไม่ได้ถ้าต้องแยกทางจากเธอจริงๆ …
เมื่อชายหนุ่มกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เขาก็มองเห็นหลินเช่อที่ดูเหมือนว่าจะผล็อยหลับไปแล้ว
เขาจรดปลายเท้าเดินมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อเหลือบไปมองที่ข้างเตียง เขาก็เห็นแหวนวงงามถูกถอดและวางไว้ตรงนั้น
ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาพิจารณาดู แหวนวงนี้สวยมากและเหมาะกับหลินเช่อมาก แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่คุ้นกับการใส่เครื่องประดับจริงๆ นั่นแหละ
และเมื่อลองคิดดูดีๆ แล้ว เธอก็ไม่ค่อยจะใช้ข้าวของต่างๆ ที่ขนซื้อกันมาซักเท่าไหร่
ถึงแม้ว่ามักจะทำท่าเหมือนคนหิวเงินซะเต็มประดา แต่เอาเข้าจริง หลินเช่อกลับดูไม่ค่อยแยแสวัตถุต่างๆ นัก ผู้หญิงคนนี้…ทำไมถึงได้เข้าใจยากอย่างนี้นะ
บางทีผู้หญิงทั้งหลายอาจจะชอบความรู้สึกตอนที่ได้ซื้อของแค่นั้นละมั้ง
หรือว่าไอ้ท่าทีขี้งกหิวเงินนั่นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าที่เธอสร้างขึ้นมา
วันต่อมา เมื่อหลินเช่อไปที่บริษัท อวี๋หมินหมิ่นก็รีบแจ้งว่า “ก่อนปีใหม่ ฉันรับงานรายการทอล์คโชวไว้ให้เธอแน่ะ อยากไปออกหรือเปล่า”
“ไปสิคะ จะรายการอะไรก็ไปทั้งนั้นนั่นแหละค่ะ” หลินเช่อตอบ
ผู้จัดการสาวรู้สึกได้ว่าวันนี้หลินเช่อดูแตกต่างจากปกติ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
หญิงสาวถามกลับ “หมายความว่ายังไงคะ เกิดอะไรขึ้น ฉันก็อยากหาเงินน่ะสิคะ อะไรที่ทำแล้วได้เงินฉันก็ทำทั้งนั้นแหละ”
“หืม แม้แต่คุณนายกู้ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังมีเงินไม่มากพอเหรอนี่” อวี๋หมินหมิ่นพ่นลมพรืดขณะพูดกระแนะกระแหน
ในตอนแรกทีเดียว อวี๋หมินหมิ่นเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าหลินเช่อนั้นดูจะงกเงินเอามากๆ แต่เมื่อได้รู้จักใกล้ชิดกันมากขึ้น เธอก็ได้เข้าใจแล้วว่าหญิงสาวเพียงแต่เป็นคนใสซื่อจนไม่มีจริตอันใดจะปิดบังเท่านั้นเอง
“ใครจะรู้ล่ะคะว่าตอนที่เราหย่ากัน…เอ่อ สถานะคุณนายตระกูลกู้ของฉันมันไม่ได้มั่นคงซักเท่าไหร่หรอกค่ะ ในครอบครัวที่ทั้งรวยทั้งทรงอิทธิพลแบบนั้นน่ะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกเยอะแยะ อา พี่น่ะไม่รู้อะไรหรอก ฉันน่ะร้องไห้จนแทบจะไม่เหลือน้ำตาอยู่แล้ว เรื่องร้ายๆ ที่ฉันเจอมาน่ะ เอามาแต่งนิยายเรื่องความรักรันทดในครอบครัวเศรษฐีได้เลยนะคะ”
“พอเลย!” อวี๋หมินหมิ่นร้อง “ถ้าอย่างเธอยังเรียกว่ารักรันทด งั้นพวกเราที่เหลือล่ะ”
“ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ช่างเถอะค่ะ ว่าแต่ว่า” หลินเช่อจำได้ว่าเมื่อวานเธอซื้อของมาฝากอวี๋หมินหมิ่นมากมาย “นี่ของพี่ค่ะ เสื้อผ้า กระเป๋า แล้วก็พวกนี้ด้วย ลองสวมดูสิคะว่าสวยถูกใจหรือเปล่า เมื่อวานฉันเองก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจเลือกเท่าไหร่ ก็เลยหยิบๆ มาหมดนี่”
ผู้จัดการสาวเปิดถุงช้อปปิ้งอย่างเนื้อเต้น ก่อนที่จะได้เห็นว่าข้าวของข้างในนั้นล้วนแต่เป็นสินค้าแบรนด์ดังของต่างประเทศ มันเป็นของใช้ราคาแพงลิบลิ่วที่มีแต่คนมีเงินเท่านั้นที่มีปัญญาซื้อหากัน “เธอซื้อของพวกนี้มาให้ฉันทำไมน่ะ เธอคิดว่าคนเงินเดือนระดับฉันใช้ของแบบนี้จะดีเหรอ”
“ก็ฉันไม่มีทางเลือกนี่คะ สามีฉันรวย แล้วก็คะยั้นคะยอให้ฉันเงินอยู่นั่นแหละ ชีวิตคนรวยมันก็เหนื่อยนะคะ ถ้าไม่ใช้เงินก็จะโดนตำหนิเอาอีก รับไปเถอะค่ะ”
“…” อวี๋หมินหมิ่นรู้สึกได้ว่าวันนี้หลินเช่อดูไม่ปกติจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าตัวก็ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสและไม่ใส่ใจอะไรเหมือนที่เป็นตามปกติทุกวัน จึงเป็นการยากที่จะเดาได้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
แต่ถึงกระนั้น เมื่อรื้อค้นข้าวของต่างๆ ที่ได้รับมาจนทั่วแล้ว ผู้จัดการสาวก็ออกปากชื่นชมไม่ได้ “นี่น่าจะแพงมากจริงๆ โอ๊ย ตายแล้ว มีสามีรวยนี่มันดีอย่างนี้เอง โอ้โห อันนี้แพงหูฉี่เลยนะ ฉันว่าจะเก็บเอาไว้ที่บ้านละ ไม่กล้าเอาออกมาใช้ข้างนอกหรอก เดี๋ยวคนจะคิดว่าฉันไปหาเรื่องรวยทางลัดที่ไหนมา แล้วถ้าเกิดมีคนปล้นฉันขึ้นมาจะทำไงล่ะ”
อวี๋หมินหมิ่นมองดูข้าวของประดามีเหล่านั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เธอเองก็ไม่เคยใฝ่ฝันว่าอยากจะใช้ของแบรนด์เนมมาก่อน เมื่อได้มาเห็นอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ก็อดรู้สึกไม่ได้มันช่างดูเหลือเชื่อจริงๆ
หล่อนผลักของขวัญไปไว้อีกทางหนึ่งก่อนจะกล่าวขอบคุณหลินเช่อ และเอ่ยขึ้นว่า “ว่าแต่ว่า มีคนเข้ามาที่บริษัทนี้พร้อมด้วยเบอร์โทรของเธอน่ะ เขาบอกว่าเธอเป็นคนแนะนำงานที่นี่ให้เขา”
ตอนนั้นเอง หลินเช่อจึงนึกถึงเด็กสาวที่เธอได้เจอเมื่อวันก่อนออกจึงรีบร้องบอกว่า “อา ใช่ค่ะ ใช่ ฉันเจอเธอเข้าที่ถนนน่ะ คิดว่าฐานะเธอค่อนข้างจะน่าสงสารมากทีเดียว ถ้ามีอะไรพอจะช่วยได้ก็ช่วยหน่อยเถอะค่ะ”
ทั้งสองจึงออกจากห้องไปพร้อมกัน ขณะที่เดินนั้น หลินเช่อก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนให้อวี๋หมินหมิ่นฟัง
เมื่อลงมาถึงด้านล่าง ทั้งสองก็มองเห็นเด็กสาวที่กำลังนั่งรออยู่ด้วยท่าทีระแวดระวังอยู่ตรงทางเข้าบริษัทในทันที
เมื่อได้เห็นหลินเช่อ หลินก็รีบลุกพรวดพราดขึ้น “ตายแล้ว พี่คือหลินเช่อจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะวันก่อนฉันถึงว่าคุณหน้าคุ้นจัง ฉันแค่ไม่กล้าถามว่าคุณเป็นใครน่ะค่ะ” เด็กหญิงตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “แต่อันที่จริง ฉันแค่มัวแต่ทำงานเสียจนไม่มีเวลาดูทีวีเท่าไหร่น่ะค่ะ เพราะอย่างนี้ฉันถึงจำพี่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นฉันไม่มีทางลืมแน่เพราะว่าพี่ดังมาก”
หลินเช่อยิ้มและเดินเข้าไปหา “ไม่เป็นไรจ้ะ อย่างแรกเลยก็คือ ดาราส่วนใหญ่ในชีวิตจริงจะดูไม่เหมือนกับในโทรทัศน์น่ะ ในทีวีเราจะดูตัวใหญ่กว่า สูงกว่า หน้าก็จะขาวกว่าปกติเล็กน้อยด้วย ฮิๆ ถ้าฉันเวลาปกติที่ฉันไม่แต่งหน้า มันก็จะดูแตกต่างไปหน่อยด้วยเหมือนกัน”
“ไม่หรอกค่ะ พี่สาว ฉันคิดว่าตอนนี้พี่ดูดีกว่าในทีวีอีกค่ะ” เด็กสาวยิ้มก่อนจะยกมือปิดปากและบอกว่า “นี่ฉันได้เจอดาราดังขนาดนี้แต่ดันไม่รู้ตัวได้ยังไงกันนะ ฉันเพิ่งมารู้ตอนที่มาถึงที่นี่แล้วนี่เองค่ะ”
หลินเช่อรอจนอีกฝ่ายระงับความตื่นเต้นได้ จึงเริ่มแนะนำอวี๋หมินหมิ่น
และหันไปอธิบายต่อ “ถ้าเธออยากทำงานที่นี่ เธอสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเป็นผู้ช่วย มันเป็นงานที่เหนื่อยทีเดียว แต่ถ้าเธอแน่ใจว่ายินดีที่จะเหนื่อย เราก็ค่อยมาคุยกัน เธอสามารถทดลองงานก่อนได้สองวันก่อนตัดสินใจ ถ้าเธอไม่ไหวและขอลาออก ฉันก็จะจ่ายค่าแรงให้ตามจำนวนวันที่เธอทำงานจ้ะ”
“ฉันทำได้สบายมากค่ะ ฉันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ใช่คนเรื่องมากอะไรหรอกค่ะ จะงานหนักแค่ไหนก็สู้ตาย ฉันดีใจมากเลยนะคะที่จะได้มาเป็นผู้ช่วยของพี่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี๋หมินหมิ่นจึงเสริมว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตามนั้น เดี๋ยวตามฉันมารายงานตัวก็แล้วกัน”
เด็กสาวคนนั้นมีชื่อว่าหยางหลิงซิน เธอบอกใครๆ ให้เรียกเธอว่าเสี่ยวซิน
อวี๋หมินหมิ่นเดินออกไปและได้เห็นเด็กสาวกำลังเหลียวซ้ายแลขวา จึงหันมาพูดกับหลินเช่อว่า “เป็นเด็กที่ฉลาดทีเดียวนะ มาดูกันก็แล้วกันว่าจะเป็นยังไงบ้าง ถ้าทำงานได้ดี เราน่าจะช่วยเธอได้มากกว่านี้”
“จริงหรือคะ ฉันเจอเธอเข้าโดยบังเอิญน่ะค่ะ แล้วก็คิดว่าเธอนิสัยน่ารักดี”
อวี๋หมินหมิ่นว่า “เธอนี่ใจดีจริงนะ”
“ก็ใจดีน่ะสิคะ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้ผู้หญิงจิตใจดีอย่างฉันหรอกค่ะ เฮ้อ ให้ตายสิ ฉันน่ะมันกระโดกกระเดกอย่างกับผู้ชาย ไหนพวกผู้ชายบอกว่าชอบผู้หญิงใจดีไงล่ะ แต่สุดท้ายพวกเขาก็อยากได้คนเรียบร้อยอ่อนหวานอยู่ดีนั่นแหละ บ้าเอ๊ย ไม่เห็นมีใครสนใจความงามจากภายในของฉันเลยซักนิด”