เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 241
“คุณมองฉันทำไมคะ” หลินเช่อว่า “ไปเถอะค่ะ”
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม มือเขาสอดอยู่ใต้แขนเธอ หลินเช่อช่วยพยุงเขาเข้าไปที่ห้องรับรอง
แต่กู้จิ้งเจ๋อยกมือขึ้น “ฉันอยู่ตรงนี้ไม่ได้…ฉันยังไม่รู้สึกดีขึ้น…” ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองคงจะมีสภาพน่าชังมาก เป็นสารรูปแบบที่ไม่เคยมีใครข้างนอกเคยเห็นเขาแบบนี้มาก่อน
กู้จิ้งเจ๋อเป็นชายผู้ภาคภูมิแบบที่เขาคู่ควรจะเป็นมาโดยตลอด ต่อหน้าทุกคน เขาจะดูสง่างามและเยือกเย็นอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ ด้วยอาการป่วยที่ว่า…
เขาไม่ชอบที่จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่ตอนนี้เขากลับกำลังถูกมองด้วยสายตาสมเพช เขาไม่อยากให้หลินเช่อมองเห็นเขาในสภาพย่ำแย่เช่นนี้
แต่หลินเช่อดึงมือเขาเอาไว้ “รู้สึกแย่แค่ไหนคะ ตรงนี้มีกระโถนอยู่นะคะ ถ้าคุณอยากอาเจียน ก็อาเจียนใส่ในนี้ได้เลย เดี๋ยวฉันยกไปทิ้งเอง อ๋อ แล้วก็มีน้ำวางอยู่นั่น คุณจะได้บ้วนปาก”
เธอก้มลงและพูดว่า “ตอนฉันเด็กๆ น่ะ ฉันกินของไม่มีประโยชน์เข้าไปเยอะเสียจนอ้วกแตกออกมา แม่ฉันก็ทำแบบนี้แหละค่ะ ฉันจะนอนพักนิ่งๆ ซักครู่ แล้วก็จะดีขึ้น ตอนนี้คุณเองก็ยังไม่ควรจะกินอะไรนะคะ เอาไว้หยุดอาเจียนเสียก่อน แล้วค่อยกิน จะได้ไม่ขย้อนออกมาอีก”
กู้จิ้งเจ๋อยังคงมองหน้าเธอไม่วางตา หลินเช่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาเขาและถามว่า “คุณจ้องหน้าฉันทำไมคะนี่”
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก มองหน้าเธอและพูดว่า “ยัยโง่เอ๊ย ไม่กลัวเลอะเทอะบ้างหรือไง ไปตามสาวใช้มาทำให้ฉันแทนก็ได้นี่ ที่บ้านเรามีคนใช้ตั้งมากมาย”
หลินเช่อนิ่ง หันกลับไปมองคนพูดและบอกว่า “จะให้กลัวอะไรล่ะคะ…ฉันเองก็เคยอ้วกใส่คุณมาแล้วด้วยซ้ำ”
หลินเช่อมองหน้าชายหนุ่มแล้วก็เข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร กู้จิ้งเจ๋อเป็นชายผู้โชคดี เขามีชีวิตอันสมบูรณ์แบบ แต่ก็กลับป่วยด้วยโรคประหลาดนี่ และตอนนี้เขาต้องเผยด้านอ่อนแอของตัวเองให้คนอื่นได้เห็น และมันทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ
เพราะอย่างนี้ เธอคิดว่าเขาเองก็คงไม่อยากให้สาวใช้ต้องมาเห็นเขาในสภาพดังกล่าวเช่นกัน
กู้จิ้งเจ๋อค่อยๆ คว้ามือเธอขึ้นมากุมไว้
หลินเช่อชะงัก แล้วเธอก็รู้สึกได้ว่าเขาดึงมือเธอไปวางไว้แนบหัวใจ เกาะกุมเอาไว้อย่างอบอุ่น เขาลูบไล้มือเธอและค่อยๆ รู้สึกถึงความสุขสงบที่ก่อตัวขึ้นในใจทีละน้อย ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท ความมืดแผ่ปกคลุมไปทั่ว ผู้คนในห้องต่างค่อยๆ หายหน้ากันไปทีละคน ปล่อยหนุ่มสาวทั้งสองเอาไว้ให้ดื่มด่ำกับโมงยามแห่งความเงียบสงบเพียงลำพัง
เมื่อเวลาผ่านไป หลินเช่อเห็นว่าอาการของกู้จิ้งเจ๋อค่อยทุเลาลงแล้ว ประกอบกับความอ่อนเพลีย ทำให้เธอผล็อยหลับไปข้างเขา
กู้จิ้งเจ๋อมองดูคนเฝ้าไข้ เขาก้มลงปัดเส้นผมออกจากหน้าผากของเธอให้อย่างเบามือ เขามองดูดวงหน้านั้นและยิ้มออกน้อยๆ ออกมา เมื่อหันออกไปด้านนอก บอดี้การ์ดของเขามายืนอยู่หน้าประตู ดูท่าทางเหมือนมีบางอย่างอยากจะบอก บอดี้การ์ดมองเข้ามาด้านในและส่งสัญญาณบอก สายตาของกู้จิ้งเจ๋อขรึมลง เขาจุมพิตบนหน้าผากของหลินเช่อเบาๆ ก่อนจะเดินออกมานอกห้อง
“ท่านครับ คุณโม่ยังรออยู่ด้านนอก…” บอดี้การ์ดของเขาแจ้ง
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อเดินออกไป เขาก็ได้เห็นโม่ฮุ่ยหลิงกำลังนั่งอยู่บนโซฟา เธอถึงขนาดชงกาแฟดื่มด้วยซ้ำ เมื่อหญิงสาวเห็นกู้จิ้งเจ๋อโผล่หน้ามา เธอก็รีบผุดลุกขึ้นและถามว่า “จิ้งเจ๋อ ค่อยยังชั่วแล้วหรือคะ ฉันกลัวแทบแย่แน่ะ แต่ฉันก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะฉันเอง เพราะอย่างนี้ฉันถึงไม่ได้เข้าไปช่วยดูแลคุณอยู่ข้างใน ปล่อยให้หลินเช่อจัดการแทน…”
“คุณโม่ครับ ผมจำได้ว่าคราวที่แล้วคุณก็พูดแบบนี้เปี๊ยบ ตกลงคุณกลัวว่าท่านประธานกู้จะเป็นอะไรไป หรือกลัวว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบกันแน่ครับ คุณก็เลยผลักภาระทุกอย่างให้หลินเช่อไปแบบนี้น่ะ” อยู่ๆ เฉินอวี่เฉิงก็โพล่งขึ้นมาในขณะที่เจ้าตัวกำลังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์
กู้จิ้งเจ๋อหันขวับมามองผู้เป็นนายแพทย์ทันที “คราวที่แล้วงั้นเหรอ”
โม่ฮุ่ยหลิงหลบตา เธอจ้องหน้าเฉินอวี่เฉิงอย่างจะกินเลือดกินเนื้อและรีบถามว่า “นี่เขาพูดเรื่องบ้าบออะไรกันน่ะ เขาเป็นแค่หมอนะคะ เขามีสิทธิ์อะไรมาเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ตอนที่ฉันกำลังคุยกับคุณน่ะ”
ชายหนุ่มหน้าตึง เขามองดูโม่ฮุ่ยหลิงแล้วก็เกิดความรู้สึกรังเกียจในตัวเธอขึ้นมาในฉับพลัน
ถึงแม้เขาจะเข้าใจดีว่าเธอเป็นลูกสาวเศรษฐีที่ถูกพะเน้าพะนอตามใจ และทนรับคำตำหนิไม่ค่อยได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่อาจห้ามความรู้สึกชิงชัง ที่กำลังแผ่ขยายเข้าไปทั่วหัวใจเขาได้อยู่นั่นเอง
“พอทีเถอะ ฮุ่ยหลิง หยุดทำเรื่องไร้สาระซะที ไม่ว่าเธอจะอยากอยู่กับใครหรือแต่งงานกับใคร ฉันก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว เธอควรกลับบ้านซะที”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาไม่เหลือร่องรอยความอบอุ่นแม้แต่น้อย
โม่ฮุ่ยหลิงใจหายวาบเมื่อมองหน้าเขา “จิ้งเจ๋อ อย่าไปฟังคนอื่นที่พยายามทำให้เราผิดใจกันสิคะ คุณ…”
“พอได้แล้ว ฮุ่ยหลิง เธอจะกลับบ้านเองหรือจะให้ฉันสั่งคนให้ไปส่งเธอ”
สีหน้าของชายหนุ่มเย็นยะเยือกเสียจนใครก็ตามที่ได้เห็นจะต้องหนาวไปถึงไขสันหลัง
ความหมายของเขาก็คือ เธอจะยอมออกไปจากที่นี่ด้วยตัวเองแต่โดยดี หรือจะให้เขาไล่เธอออกไป
โม่ฮุ่ยหลิงกัดฟันแน่น เธอคิดว่าถึงอย่างไรเธอก็ได้ในสิ่งที่เธอต้องการแล้วในวันนี้ จึงหันไปทำสีหน้าเยาะหยันใส่เฉินอวี่เฉิง ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกจากห้อง
เฉินอวี่เฉิงก็ทำหน้าล้อเลียนตอบไม่แพ้กัน เขาเป็นหมอและไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นก็จริง แต่เมื่อได้เห็นว่าหลินเช่อถูกผลักภาระให้ต้องมารับผิดชอบแทนโม่ฮุ่ยหลิงอีกครั้ง เขาก็ทนไม่ได้จริงๆ
กู้จิ้งเจ๋อมองดูหญิงสาวจากไป พลางหวนคิดถึงเด็กหญิงดื้อรั้นที่เคยตามหลังเขาต้อยๆ ในวัยเด็ก
เขาหลับตา และคิดว่าตัวเองไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับโม่ฮุ่ยหลิงอีก บางทีโม่ฮุ่ยหลิงอาจจะไม่ใช่โม่ฮุ่ยหลิงที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว
เมื่อหลินเช่อตื่นขึ้น ก็เป็นวันใหม่แล้ว
เธอหันไปเห็นว่ากู้จิ้งเจ๋อไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ เธออีกแล้ว และถอดเสื้อเชิ้ตของเขาคลุมร่างเธอเอาไว้ มันมีกลิ่นที่เคยคุ้นของเขาติดอยู่
เธอเพิ่งได้นอนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น จึงไม่รู้สึกว่าเต็มอิ่มนัก หญิงสาวตื่นนอนและขยี้ตา พลางนึกถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
หลินเช่อลุกขึ้นและวิ่งออกไปนอกห้อง
“คุณผู้หญิงคะ นายท่านบอกให้ดิฉันนำอาหารเช้ามาให้คุณค่ะ ได้โปรดไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็มารับประทานเสียหน่อยนะคะ” สาวใช้จากที่บ้านหอบเอาอาหารที่ปรุงโดยเชฟจากบ้านมาให้ หลินเช่อหันไปมอง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ได้สิ แล้วเขาไปไหนแล้วล่ะ”
“นายท่านออกไปทำธุระยังไม่กลับน่ะค่ะ ท่านสั่งเอาไว้ว่าให้คุณกินข้าวได้เลยและพาคุณกลับบ้าน พรุ่งนี้จะเป็นวันรวมญาติ อีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว คุณผู้หญิงจะพักงานในช่วงนี้ใช่มั้ยคะ”
หลินเช่อนึกสงสัยว่ามีอะไรที่เขาจะต้องรีบไปจัดการเสียจนต้องออกไปแต่เช้าตรู่เช่นนี้
แต่เธอก็พยักหน้าและตอบ่า “ใช่จ้ะ ช่วงนี้ฉันไม่มีงานอะไรต้องทำ”
งานสัมภาษณ์ในรายงานนั่นเป็นงานสุดท้าย ส่วนงานอื่นๆ ถูกเลื่อนเอาไปไว้หลังปีใหม่จนหมด
ใกล้ปีใหม่แล้ว เมื่อเธอไม่ต้องไปร่วมในงานคืนแห่งใบไม้ผลิ ก็เท่ากับว่าเธอพร้อมแล้วสำหรับวันหยุดพักผ่อน
ในขณะเดียวกัน
กู้จิ้งเจ๋ออยู่ในออฟฟิศของตัวเอง
เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ถูกกระหน่ำโทรเข้ามาไม่ขาดสายจากโม่ฮุ่ยหลิง ชายหนุ่มจึงรับสายและตอบไปว่า “ฮุ่ยหลิง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะรับโทรศัพท์จากเธอ ฉันจะไม่ไปข้องแวะอะไรกับเธออีกในอนาคต แล้วฉันก็จะไม่ติดต่อเธอด้วย หวังว่าเธอจะเข้าใจและเลิกโทรหาฉันซะที”
เมื่อพูดจบ เขาก็จัดการบล็อกชื่อเธอ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่ตัวเขาหงุดหงิดงุ่นง่านนักเมื่อวานนี้ ก็เป็นเพราะว่าเขาได้รู้แล้วว่า โม่ฮุ่ยหลิงคนนี้ไม่ใช่โม่ฮุ่ยหลิงที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองใจไม้ไส้ระกำ แต่เขาก็รู้สึกชิงชังโม่ฮุ่ยหลิงมากจริงๆ เขาไม่อยากแม้แต่จะได้ยินชื่อเธออีกครั้ง หรือกระทั่งการนึกถึงภาพริมฝีปากของเธอก็ทำให้เขาอยากจะอาเจียนเสียแล้ว