เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 267
เมื่อหลินเช่อได้ยินดังนั้น เธอก็คิดไปถึงโม่ฮุ่ยหลิงทันที
“คะ…คุณหมายถึงโม่ฮุ่ยหลิงรึเปล่าคะ”
ที่ผ่านมากู้จิ้งเจ๋อเคยมีแฟนเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่โม่ฮุ่ยหลิงแล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ
เมื่อกู้จิ้งเหยียนเห็นหลินเช่อพูดถึงโม่ฮุ่ยหลิงอย่างสุภาพโดยไม่ได้มีท่าทีขุ่นเคืองอะไร เธอก็ยิ้มและตอบว่า “ใช่ค่ะ ตอนที่พี่ชายฉันยังอยู่กับโม่ฮุ่ยหลิงน่ะ เขาไม่เคยพาเธอไปไหนมาไหนแบบนี้เลย ไม่แม้แต่จะพูดถึง สองคนนั่นจะเอาแต่นั่งเฉยๆ อยู่ด้วยกันเหมือนท่อนไม้สองชิ้น ไม่แม้แต่จะขยับตัวเลยซักนิด”
“จริงหรือคะ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ กู้จิ้งเจ๋อน่ะเป็นคนหัวเก่า ส่วนคุณหนูโม่ก็เป็นลูกสาวตระกูลเศรษฐี เธอคงไม่เอะอะโวยอย่างเหมือนอย่างฉันหรอก เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันก็คงจะดูดีมีมาดจนน่าเบื่อเอามากๆ ด้วยกันทั้งคู่”
กู้จิ้งเหยียนว่า “ใครจะรู้ล่ะคะ แต่ยังไงซะ พี่ชายรองน่ะไม่เคยเอาใจใส่หรือป้อนอาหารเธอเลย เพราะเขาไม่เคยที่จะนั่งอยู่ข้างเธอหรือว่าพูดคุยกับเธอได้นานขนาดนั้น พี่ชายรองเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบคุยกับใครน่ะค่ะ”
หลินเช่อฟังด้วยความแปลกใจ “จริงหรือคะ เขาเป็นคนพูดน้อยจริงๆ นั่นแหละค่ะ เขาเป็นแบบนั้นตอนที่เราอยู่ด้วยกันแรกๆ แต่ตอนนี้พอสนิทกันมากขึ้นเขาก็ดีขึ้นแล้ว”
กู้จิ้งเหยียนหัวเราะและส่ายหน้า “เห็นมั้ยล่ะคะ เขาดีขึ้นเพราะว่าได้อยู่กับคุณ เพราะแบบนี้ตอนนี้เขาถึงได้พูดมากขึ้น คุณไม่รู้หรอกค่ะว่าคนอื่นข้างนอกน่ะพูดถึงเขาว่ายังไงกันบ้าง พวกนั้นเรียกเขาว่าอีตาปีศาจน้ำแข็ง ถ้าคุณมีความเห็นอะไรไม่ตรงกับเขาละก็ เขาจะจ้องคุณอย่างเลือดเย็นชนิดที่แทบจะตายเพราะสายตาได้เลยละ ใครจะไปกล้าพูดด้วยล่ะนั่น”
แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็เดินกลับมาพอดี ขณะเดินเข้ามาใกล้เขาก็มองหน้าน้องสาวและถามว่า “นี่เธอกำลังนินทาฉันอยู่รึเปล่า”
กู้จิ้งเหยียนตอบ “เปล่าซักหน่อย ฉันกำลังชมพี่ให้ฟังต่างหากล่ะ”
ก่อนจะขยิบตาให้หลินเช่อ
หลินเช่อหัวเราะและรีบรับลูกต่อทันควัน “ใช่ค่ะ เธอกำลังเล่าว่าคุณน่ะจู้จี้จุกจิกขนาดไหนจนใครต่อใครพากันกลัวหัวหดหมดเลย”
เมื่อกู้จิ้งเหยียนได้ยินหลินเช่อพูด เธอก็แทบจะระเบิดหัวเราะออกมา
หลินเช่อกลัวตัวเองจะเปิดเผยความลับไปมากกว่านี้ เธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่จิ้งเหยียนคะ คุณเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอะไรเหรอ”
กู้จิ้งเหยียนตอบ “ฉันเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียน่ะค่ะ เอกธุรกิจและการบริหารจัดการธุรกิจ”
หลินเช่อกะพริบตา “ว้าว นั่นฟังดูเยี่ยมไปเลยค่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อแหย่ว่า “ใช่สิ เธอคิดว่าทุกคนเขาหัวทื่ออย่างเธอกันหมดรึไงล่ะ นั่นน่ะเป็นโรงเรียนธุรกิจระดับท็อปของอเมริกาเลยเชียวนะ ไม่ใช่จะเข้าเรียนกันได้ง่าย”
“ตาบ๊อง แล้วนี่จะมาดูถูกฉันให้ได้อะไรขึ้นมามิทราบคะ” แต่ใจจริงของหลินเช่อรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก ยีนของคนตระกูลกู้นี่ดีมากจริงๆ ยิ่งรุ่นลูกรุ่นหลานก็ยิ่งฉลาดเก่งกาจมากกว่ารุ่นก่อน
หลินเช่อพูดต่อไป “จิ้งเหยียน คุณฉลาดออกอย่างนี้ คุณจะต้องเก่งกว่าพี่รองของคุณแน่เลยค่ะ”
กู้จิ้งเหยียนยิ้มและหันไปมองผู้เป็นพี่ “ฉันน่ะเก่งแต่เรื่องเรียนเท่านั้นแหละค่ะ พี่รองมีประสบการณ์ในสนามจริงมากกว่า แถมเขายังมีปริญญาเอกอีกตั้งหลายใบ ฉันเทียบเขาไม่ได้หรอก”
หลินเช่อหันไปมองกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังยิ้มอย่างภาคภูมิ เธอทำตาเขียวใส่เขา ก่อนจะหันมาคุยกับกู้จิ้งเหยียนต่อ “จิ้งเหยียนคะ แล้วแบบนี้ สมัยเรียนจะต้องมีคนตามจีบคุณเพียบเลยแน่ๆ คุณทั้งสวยทั้งเรียนเก่งอย่างนี้น่ะ”
กู้จิ้งเหยียนตอบ “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ…”
กู้จิ้งเจ๋อรีบบอก “เอาน่า ไม่ต้องถ่อมตัวต่อหน้าหลินเช่อหรอก” เขาก้มหน้าลงและพูดกับหลินเช่อว่า “แม่นี่น่ะเก่งมากจริงๆ แล้วก็มีผู้ชายมาตามจีบไม่เคยขาดเลย เขาเป็นดาวมหาลัยแล้วก็ยังเป็นนักเรียนตัวท็อปด้วย เรียกว่าเป็นตำนานไฮสคูลในประเทศซีนี่เลยเชียวละ แต่น่าเสียดาย”
เขาหันไปหากู้จิ้งเหยียน “เธอทำทุกอย่างเสียราคาหมดเพียงเพราะเจ้าหนุ่มจากตระกูลลู่นั่น ว่าแต่ว่าทำไมถึงยังไม่เห็นเขาอีกล่ะเนี่ย”
กู้จิ้งเหยียนมองดูนาฬิกาข้อมูลและบอกว่า “เดี๋ยวฉันจะโทรถามค่ะ”
เธอลุกขึ้น ยิ้มให้และเดินออกไป
หลินเช่อมองตามหลังหญิงสาวไป ก่อนจะหันมาถามกู้จิ้งเจ๋อว่า “จิ้งเหยียนกำลังจะแต่งงานหรือคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ใช่แล้ว”
หญิงสาวถามต่อ “คุณไม่ชอบผู้ชายคนนั้นหรือคะ”
เธอบอกได้ว่าท่าทางของกู้จิ้งเจ๋อดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
กู้จิ้งเจ๋อบอก “ฉันเพิ่งรู้จากคุณแม่ว่าหมอนั่นเป็นคนจากตระกูลลู่ ตระกูลลู่เป็นเหมือนราชวงศ์ของประเทศเอ็ม และประเทศเอ็มเป็นประเทศที่ปกครองด้วยรัฐธรรมนูญ เธอก็น่าจะรู้นะว่าในเมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ประเทศเอ็ม สถานะของเขาก็เท่ากันกับพวกเรา”
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ดีน่ะสิคะ ถ้ามีสถานะเท่ากันแบบนั้นน่ะ กู้จิ้งเจ๋อ ถ้าคุณไม่ได้มีฉันซะก่อน คุณเองก็น่าจะได้แต่งงานกับคนที่มีสถานะเท่าๆ กันไปแล้ว”
ชายหนุ่มตอบ “น่าเสียดายที่ฉันดันแต่งงานแล้ว แถมยังกลับตัวไม่ได้ด้วย”
“ก็ไม่เชิงหรอกนะคะ ถ้าเราหย่ากันขึ้นมาวันหนึ่ง คุณก็ยังสามารถหาคนที่เหมาะสมคู่ควรมาแต่งงานด้วยได้อยู่ดี” หลินเช่อบอก
เมื่อได้ยินว่าหลินเช่อคิดถึงเรื่องหย่า ชายหนุ่มก็ตวัดสายตาใส่เธอทันที
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระน่า” เขาพูดเสียงเย็น
“อะไรกันคะ ก็ถ้าวันหนึ่งฉันเกิดทำให้คุณโกรธขึ้นมา คุณก็อาจจะอยากไล่ฉันไปซะให้พ้นๆ ก็ได้ มันก็อาจจะเกิดขึ้นได้นะคะ”
“เธอก็ทำให้ฉันโกรธทุกวันอยู่แล้ว แล้วฉันเคยไล่เธอไปไหนมั้ยล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อ
หลินเช่อมองหน้าเขา “แล้วคุณก็ดุฉันทุกวันด้วย ใครจะรู้ล่ะ บางทีวันหนึ่งคุณอาจจะเบื่อจนทนไม่ไหวก็ได้”
“ฉันไปดุเธอตอนไหนกัน”
“ดุสิคะ คุณน่ะดุฉันอยู่ตลอดนั่นแหละ ฉันยังจำได้เลยตอนแรกๆ น่ะ คุณไม่อยากให้ฉันเข้าใกล้คุณ แล้วก็คอยไล่ตะเพิดฉันตลอดเวลาที่เราเห็นไม่ตรงกัน”
กู้จิ้งเจ๋อคิดถึงปฏิกิริยาระหว่างเขาและเธอในช่วงแรกเริ่ม แล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
เป็นเพราะว่าตอนนั้นเขาเกลียดเธอ เขาเกลียดที่เธอมาทำลายความสงบราบเรียบในชีวิตของเขาด้วยการโผล่พรวดพราดเข้ามาในชีวิตของเขาแบบนั้น
แต่ตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าเขาจะคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่ต่างจากเดิมนี้ได้ในวันหนึ่งเช่นนี้
ความเกลียดของเขาที่มีต่อเธอ มันไม่ใช่ความเกลียดชัง เขาเพียงแต่รู้สึกว่าหลินเช่อมักจะโผล่เข้ามาในชีวิตเขาอย่างคาดเดาไม่ได้ และเขาก็กำจัดเธอทิ้งไม่ได้ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันจึงกลายเป็นความรู้สึกอับจนหนทาง
“ก็ได้ ฉันขอโทษ ฉันดุเธอมากจริงๆ ในช่วงแรกแต่เธอเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนี่นา”
“ฮ่า ก็ในเมื่อคุณดุซะขนาดนั้น แล้วคุณจะให้ฉันตอบสนองคุณยังไงล่ะคะ”
“อย่างน้อยเธอก็น่าจะหาทางปรับตัวให้เข้ากับชีวิตของฉัน นี่ไม่ใช่แค่ไม่พยายาม เธอยังแกล้งทำล้อเลียนต่อหน้าต่อตาฉันอีกต่างหาก ก็แน่ล่ะว่าฉันจะต้องรับไม่ได้”
แต่ถึงอย่างไร ในท้ายที่สุดเขาก็ยอมรับเธอจนได้ ไม่เพียงแต่จะเริ่มยอมรับเธอเท่านั้น เขายังเริ่มเคยชินกับพฤติกรรมของเธอด้วย และเมื่อเคยชินแล้วมันก็ไม่เป็นเรื่องทรมานใจอีกต่อไป
อวี๋หมินหมิ่นถูกพามายังห้องที่เป็นเหมือนห้องทำงานแห่งหนึ่ง ใต้เท้าของเธอคือกระเบื้องหินอ่อนสีเทา และตรงหน้าคือม่านหน้าที่บดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไว้ มีเพียงแสงรำไรเล็กน้อยส่องลอดเข้ามา ทำให้ภายในห้องนั้นมืดสลัว แลเห็นเงามืดไหวระริกอยู่บนพื้นห้อง
อวี๋หมินหมิ่นกำลังพยายามคิดให้ออกว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน ในตอนที่เธอได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นจากข้างหลัง
มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอไม่สามารถบอกได้ว่ารองเท้าหนังสั่งตัดพิเศษคู่นั้นเป็นยี่ห้ออะไร แต่เสียงฝีเท้านั้นดังก้องอยู่ในอากาศ
หญิงสาวหมุนตัวมาและได้พบกับดวงตาสีเข้มคู่หนึ่ง
ท่านประธานาธิบดี
หัวใจของอวี๋หมินหมิ่นตกไปอยู่ใต้ตาตุ่ม
กู้จิ้งหมิงมองดูผู้หญิงตรงหน้าเขา เธอมองตอบเขาด้วยแววตาสงสัย
ใบหน้าเล็กๆ นั่นไม่ได้ดูสะสวยประทับใจจากการมองเพียงปราดเดียว แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือดวงตาเป็นประกายระยิบระยับคู่นั้น มันทำให้เขาจินตนาการไปว่าเธอสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ครอบงำ
ใช่แล้ว ดวงตานั่นทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนถูกครอบงำ