เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 79
กู้จิ้งเจ๋อพึมพำขณะเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน “อวี๋หมินหมิ่นงั้นรึ”
เขารีบพุ่งกลับไปที่ห้องนอนของหลินเช่อ เธอไม่กล้าหันมามองเขาและคอยเอาแต่หลบสายตา
กู้จิ้งเจ๋อมองดูเธอแล้วถามว่า “วันนั้น ทำไมเธอกับผู้จัดการของเธอถึงได้ไปที่โรงแรมที่พี่ชายของฉันพักอยู่ล่ะ”
หลินเช่อเงยหน้าขึ้นแล้วหยุดคิดก่อนจะตอบว่า “อ้อ คุณหมายถึงวันนั้นเหรอคะ ตอนนั้นกู้จิ้งอวี่จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับทีมงาน ทุกคนต่างก็ไปฉลองร่วมกันหลังจากปาร์ตี้ปิดกล้องน่ะค่ะ ฉันก็เลยพาพี่อวี๋ไปด้วย กู้จิ้งอวี่พาพวกเราไปที่นั่นเพราะโรงแรมนั้นเป็นของตระกูลกู้ เรารู้มาว่าท่านประธานาธิบดีเองก็ไปที่นั่นด้วยเหมือนกันน่ะค่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อนั่งครุ่นคิด
ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เห็นทีจะไม่ใช่การสมคบคิดละมั้ง ส่วนเหตุผลที่อวี๋หมินหมิ่นไปร่วมงานนั่นก็เพราะมันเป็นงานเลี้ยงของน้องชายของพวกเขาเองด้วยซ้ำ
พอรวมกับการสืบประวัติความเป็นมาของอวี๋หมินหมิ่นด้วยแล้วก็ยิ่งดูว่าหญิงสาวไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่ คงไม่ใช่แผนจารกรรมแน่
แต่ว่าอวี๋หมินหมิ่นไม่ได้เกี่ยวข้องจริงๆ น่ะเหรอ
หลินเช่อมองดูสีหน้าสับสนครุ่นคิดของชายหนุ่มแล้วก็ถามว่า “ทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาละคะ”
กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก นอนเถอะ”
“โอเคค่ะ”
เมื่อเขาไม่อยากพูด เธอก็ไม่ถามต่อ
วันต่อมา
ซีรีส์ออกฉายทางโทรทัศน์ไปได้ครึ่งทางแล้ว ตัวละครของหลินเช่อยิ่งดูน่าสงสารมากขึ้นทุกที ผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้ามาที่หน้าเวยป๋อของเธอเพื่อระบายความรู้สึก
คนดูจำนวนมากรู้สึกว่าเฉินอี้หานซึ่งรับบทโดยหลินเช่อนั้นต้องผ่านความยากลำบากมากมายเหลือเกิน เธอช่างเป็นคนที่คิดถึงความรู้สึกของทุกคน เป็นคนน่ารักเข้ากับคนง่ายและมั่นใจในตัวเอง อีกทั้งยังไม่เคยจมอยู่กับความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเธอต้องพบกับความเจ็บปวดในตอนจบอยู่ร่ำไป
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เป็นเพราะเหตุการณ์อันโหดร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับหลินเช่อปรากฏขึ้นในช่วงท้ายเรื่อง ทำให้ความสนใจในตัวละครหลักของเรื่องลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว
ข้างนอกนั่น ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรสและสาดโคลนใส่ชื่อของหลินเช่อ โดยบอกว่าหลินเช่อจะต้องชนะการแข่งขันระหว่างบรรดานักแสดงนำหญิงของเรื่องและกลายเป็นคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากซีรีส์โทรทัศน์เรื่องนี้อย่างแน่นอน
โชคดีที่ทางฝั่งของมู่เฝ่ยหรานนั้น เธอแสร้งทำเป็นว่าไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นและไม่ตอบโต้อะไรทั้งนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ในทางตรงกันข้าม แฟนๆ ของมู่เฝ่ยหรานจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ออกมาก่นด่าหลินเช่อโดยไม่มีสาเหตุ เมื่อได้อ่านคอมเมนต์ต่างๆ เหล่านี้แล้ว หลินเช่อก็อดไม่สบายใจขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน
“นี่มันประหลาดสิ้นดี เรื่องทั้งหมดนี่ถูกเขียนโดยคนเขียนบท มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย เพียงแค่เพราะเหตุการณ์สำคัญในพล็อตเรื่องดันมาเชื่อมโยงกับฉันเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยังเป็นแค่นักแสดงสมทบเท่านั้นเองนะ พวกเขาจะมาด่าฉันเพื่ออะไรกัน” หลินเช่อบ่นกับอวี๋หมินหมิ่นในขณะที่กำลังเดินทางไปร่วมกิจกรรมการโปรโมตซีรีส์
อวี๋หมินหมิ่นมองดูเอกสารในมือ เนื่องจากเธอมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มากกว่า ปฏิกิริยาของเธอที่มีต่อเรื่องนี้จึงแฝงไปด้วยความใจเย็นกว่าหลินเช่อมาก แต่ก็จริงอยู่ว่าเธอไม่ใช่คนที่โดนแช่งชักหักกระดูก และเธอก็ไม่ใช่คนที่จะหงุดหงิดง่ายเหมือนหลินเช่อด้วย
“เพราะว่าทุกคนอยู่ในเรื่องเดียวกัน มันก็เลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะมีใครเกลียดที่เห็นเธอได้รับคำวิจารณ์ที่ดีกว่า เลยตั้งใจที่จะป้ายสีใส่เธอแบบนั้น ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับมือใครดมได้หรอก ทุกคนต่างก็เป็นคู่แข่งกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะเป็นใครก็ได้ สืบสวนไปก็เสียเวลาเปล่าๆ”
อวี๋หมินหมิ่นมองหน้าหลินเช่อ “ยังไงก็ตาม อย่าลืมล่ะว่า ถ้าเธอมีชื่อเสียงขึ้นมาได้สำเร็จ นั่นแหละคือวิธีตอบโต้คู่แข่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว”
หลินเช่อพยักหน้า “ฉันเข้าใจค่ะพี่อวี๋”
แล้วพวกเขาก็มาถึงสถานที่จัดงานในเวลาอันสั้น
มันเป็นรายการทอล์กโชว์ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดให้กิจกรรมโปรโมตครั้งนี้เป็นงานสำคัญมาก เพราะว่าตัวมู่เฝ่ยหรานเองก็จะมาร่วมงานด้วย พวกเขาหวังเอาไว้ว่ามู่เฝ่ยหรานและกู้จิ้งอวี่จะกลายเป็นประเด็นร้อนที่ใครๆ พากันพูดถึง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงจัดเวลาให้หลินเช่อขึ้นทีหลังเพื่อที่เธอจะได้ไม่ขโมยซีนนักแสดงนำหญิงของเรื่อง
หลินเช่อมองดูมู่เฝ่ยหรานและกู้จิ้งอวี่ที่นั่งอยู่ข้างกัน เมื่อเป็นเรื่องการทำงานแล้ว ทั้งสองคนเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง พวกเขาหว่านเสน่ห์ใส่กันและเล่นบทบาทในส่วนของตัวเองได้เป็นอย่างดี
มู่เฝ่ยหรานแสดงให้เห็นแล้วว่าเธอเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์โชกโชนโดยแท้ บนเวที เธอดูผ่อนคลายและทำให้การดำเนินรายการไหลลื่นไปได้ด้วยดี ในช่วงเวลานั้นเอง หลินลี่ก็เดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง เธอมองไปที่หน้าเวที หัวเราะแล้วพูดว่า “ทำไมฉันได้ยินมาว่าเธอโดนสั่งห้ามไม่ให้ร่วมซีนบนเวทีล่ะ”
หลินเช่อกลอกตาแล้วหันหน้าไปมอง “นี่เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร”
หลินลี่หันมามองด้วยใบหน้าสุดจะไร้เดียงสา “ทำไมเหรอ ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอจ๊ะ ฉันได้ยินมาว่าเธอยืนกรานว่าอยากจะสร้างกระแสกับกู้จิ้งอวี่เพราะว่าเธออยากดัง แต่สุดท้ายความสนใจทั้งหมดกลับเป็นของมู่เฝ่ยหรานแทน หลินเช่อ ดูเหมือนว่าเธอจะกระหายที่จะประสบความสำเร็จเร็วเกินไปหน่อยนะจ๊ะ สำหรับบรรดาคนที่อยู่ในวงการนี้มานานๆ น่ะ มีใครบ้างที่ไม่มีคนคอยหนุนหลัง และมีคนไหนบ้างที่ไม่ได้มีไม้เด็ดแบบเธอ แต่นี่เธออยากจะถีบตัวเองให้ดังกว่าดารานำของเรื่องและบทดาราสมทบของตัวเองในซีรีส์โทรทัศน์นี่นะ สงสัยว่าเธอจะได้เล่นบทสมทบในชีวิตจริงเสียแล้วละสิ”
หลินเช่อเหลือบมองหลินลี่ เธอมองอีกฝ่ายด้วยสายตามุ่งร้ายและยิ้มให้อย่างเยือกเย็นว่า “ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ดีเหลือเกินนะ”
หลินลี่หัวเราะคิก “ก็เธอไม่เห็นหรอกเหรอ แม้แต่มู่เฝ่ยหรานยังไม่อยากให้เธอขึ้นไปร่วมวงกับกู้จิ้งอวี่บนเวทีวันนี้เลย หล่อนตั้งใจที่จะจับพวกเธอแยกกันในการให้สัมภาษณ์น่ะสิ”
หลินเช่อตวัดสายตามองเธอ จนกระทั่งมู่เฝ่ยหรานเดินลงมาจากเวที
หลินหลี่รีบตรงดิ่งเข้าไปทักทาย
“พี่เฝ่ยหรานคะ การให้สัมภาษณ์เมื่อกี้นี้พี่ทำได้ดีมากเลยละค่ะ บริษัทของเราเฝ้าแต่คอยบอกฉันว่าให้หัดเรียนรู้จากพี่ พวกเขาบอกว่าพี่เฝ่ยหรานน่ะคือคนมีฝีมือตัวจริงและรู้จักวิธีรับมือกับนักข่าวเป็นอย่างดี”
มู่เฝ่ยหรานยิ้มอ่อนๆ “บอกตามตรง ฉันไม่ได้เก่งถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ เธอชมเกินไปแล้วละ”
เมื่อได้เห็นว่ามู่เฝ่ยหรานพูดกับเธอ หลินลี่ก็รีบฉีกยิ้ม เธอหันมาจ้องหน้าหลินเช่อก่อนจะรีบขยับเข้าไปใกล้เพื่อป้อยอมู่เฝ่ยหรานให้มากขึ้นอีก
หลินเช่อรู้สึกว่าเธอไม่อาจทนหลินลี่ไหวอีกแล้ว เธอปรายตามองอีกฝ่ายแล้วก็ไม่พูดอะไร
จนกระทั่งมู่เฝ่ยหรานสังเกตเห็นหลินเช่อเข้า เธอจึงยิ้มและเดินเข้ามาหา พลางพูดว่า “หลินเช่อ เมื่อกี้ไม่เห็นเธอเลยนี่จ๊ะ”
หลินเช่อรีบยิ้ม “เหรอคะ ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเลยค่ะ”
มู่เฝ่ยหรานเดินเข้ามาและพูดกับหลินเช่ออย่างอบอุ่นว่า “การแสดงของเธอในเรื่องนี้ทำได้ดีมากเลยนะ ฉันคิดว่าเธอเหมาะกับบทที่ต้องแสดงความกล้าหาญแบบนี้นี่แหละ”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะพี่เฝ่ยหราน”
“จริงๆ นะจ๊ะ การแสดงของเธอเป็นธรรมชาติมาก”
“ถ้าพี่เฝ่ยหรานยังจะชมต่อ หน้าฉันต้องแดงไปหมดแน่ๆ เลยค่ะ”
ในช่วงนั้นเอง นักข่าวก็บังเอิญมาเห็นทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินจึงรีบฉวยโอกาสถ่ายภาพเอาไว้จากระยะไกล
มู่เฝ่ยหรานบอกว่า “กู้จิ้งอวี่แทบจะไม่เคยชมใครเลย แต่ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ชื่นชมเธอใหญ่ จุ๊ๆ หลินเช่อจ๊ะ เธอเป็นแค่ไม่กี่คนที่เขาให้ความสนใจเลยนะเนี่ย”
“รสนิยมเขาแย่ออกขนาดนั้น ฉันควรจะดีใจหรือเปล่าคะนี่”
มู่เฝ่ยหรานหัวเราะลั่นออกมา
หลินลี่มองดูจากด้านหลังอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ดูเอาเถอะ มู่เฝ่ยหรานปล่อยเธอเอาไว้โดยไม่สนใจ แต่กลับตรงเข้าไปพูดคุยกับหลินเช่ออย่างสนิทสนม
แน่ละว่าวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวเผยแพร่ออกไปว่ามู่เฝ่ยหรานพูดคุยกับหลินเช่ออย่างสนุกสนาน เท่ากับเป็นการทำลายข่าวลือที่ว่าทั้งสองคนไม่ถูกคอกันจนหมดสิ้น
มู่เฝ่ยหรานยังยอมรับกับนักข่าวด้วยว่า เธอเองรู้สึกว่าหลินเช่อเป็นหญิงสาวที่จริงใจและไม่เสแสร้ง
ในภาพข่าวก็เป็นภาพของหลินเช่อและมู่เฝ่ยหรานกำลังยืนอยู่ใกล้กัน โดยมีหลินลี่ที่กลายสภาพมาเป็นฉากหลังของรูปแทน
เมื่อได้เห็นพาดหัวข่าวดังกล่าว หลินลี่ก็ปรี๊ดแตกเสียจนแทบจะปาแท็บเล็ตลงพื้น
“ไอ้นักข่าวพวกนี้มันมีสมองกันมั้ยนะ!”
อีกด้านหนึ่ง อวี๋หมินหมิ่นก็กำลังอ่านข่าวเดียวกันและหันไปพูดกับหลินเช่อที่ยังคงนั่งอยู่ในรถว่า “เหตุผลที่มู่เฝ่ยหรานหันมาสนับสนุนเธออาจจะเป็นเพราะกู้จิ้งอวี่ก็ได้นะ”
หลินเช่อถาม “แต่ทำไมเธอถึงได้ช่วยฉันละคะ”
“อย่างแรกเลย หล่อนไม่น่าจะเกลียดเธอหรอก ไม่อย่างนั้นหล่อนก็คงทำแค่นั่งสวยๆ แล้วก็รอดูใครต่อใครวิพากษ์วิจารณ์เธอกันต่อไป ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องลงมาเสียแรงยุ่งเรื่องนี้เลยสักนิด บอกได้เลยว่าหล่อนชอบเธอมากทีเดียว ดูจากที่หล่อนอุตส่าห์ยื่นมือเข้ามาช่วยแบบนี้ อย่างที่สอง หล่อนไม่ใช่คนที่ชอบสร้างปัญหา นอกจากนี้หล่อนยังเป็นคนฉลาดมากด้วย หล่อนไม่ยอมให้คนอื่นมาฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากตัวเองโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ งานนี้เห็นได้ชัดเจนเลยนะว่าใครบางคนกำลังใช้มู่เฝ่ยหรานเพื่อป้ายสีชื่อเสียงของเธอน่ะหลินเช่อ และมู่เฝ่ยหรานก็ไม่ชอบใจเรื่องนี้เสียด้วย”
หลินเช่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ