เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 93
ขณะอยู่ในรถ หลินเช่อมองดูอวี๋หมินหมิ่นที่เอาแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พี่จะปล่อยให้พ่อพี่ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะคะ”
อวี๋หมินหมิ่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เขากลายเป็นผีพนันเต็มตัวไปแล้ว ฉันได้ยินพ่อบอกว่าจะเลิกเล่นมาตลอดทั้งชีวิตแต่เขาก็ยังเอาแต่สร้างปัญหาได้ทุกวัน ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ฉันชินแล้วล่ะ”
หลินเช่อเป็นนักแสดงในความดูแลของอวี๋หมินหมิ่นมาโดยตลอดก็จริง แต่ตอนนี้มันแตกต่างไปจากเดิม เพราะตอนนี้อวี๋หมินหมิ่นคือผู้จัดการส่วนตัวของเธอ พวกเธอจึงได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน ซึ่งมันทำให้เธอได้รู้เกี่ยวกับพื้นเพครอบครัวของอวี๋หมินหมิ่น
หลินเช่อลูบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน “มันต้องมีทางสิคะ”
อวี๋หมินหมิ่นมองหลินเช่อพลางส่ายหน้า “เว้นเสียแต่ฉันจะสามารถพาแม่กับน้องชายหนีไปจากที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางอื่นที่จะสลัดพ่อกาฝากนั่นทิ้งได้หรอก”
หลินเช่อพยายามปลอบใจ “ถ้าอย่างนั้นเอาไว้เราค่อยลองมาหาทางกันดูตอนที่ไปถึงบ้านแล้วก็แล้วกันนะคะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ เราต้องคิดออกแน่”
ทั้งสองมาถึงบ้านตระกูลกู้ภายในเวลาไม่นาน
อวี๋หมินหมิ่นไม่เคยเห็นสถานที่แห่งนี้มาก่อน จากภายนอก เธอมองเห็นการ์ดรักษาความปลอดภัยท่าทางเข้มงวดและเริ่มคิดว่าการเข้ามาที่นี่ไม่น่าจะใช่ความคิดที่เข้าท่า เธอจึงหันไปหาหลินเช่อแล้วถามขึ้นว่า “นี่ฉันเข้าไปได้หรือเปล่าน่ะ บางทีบ้านตระกูลกู้อาจไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปก็ได้ ใช่มั้ย”
หลินเช่อตอบ “ฉันไม่คิดแบบนั้นนะคะ…ไม่น่าจะเป็นไรหรอกค่ะ แต่ฉันก็ไม่เคยพาใครมาที่นี่เหมือนกัน”
ที่ประตูทางเข้า การ์ดรักษาความปลอดภัยเพียงแค่มองอวี๋หมินหมิ่นก่อนจะเอ่ยทักทายหลินเช่ออย่างสุภาพว่า
“คุณผู้หญิง” หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ทั้งคู่ผ่านเข้าไปได้โดยดี
อวี๋หมินหมิ่นนั่งตัวแข็งเมื่อสังเกตเห็นการทักทายอย่างนอบน้อมนั้น
เธอหันไปหาหลินเช่อ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
เธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวก็จริง แต่เธอก็ไม่ซักไซ้ในเรื่องส่วนตัวของนักแสดง เธอจะทำก็ต่อเมื่อมันส่งผลกระทบกับงานเท่านั้น นั่นคือจรรยาบรรณของคนเป็นผู้จัดการส่วนตัว
เมื่อทั้งสองพ้นประตูรั้วเข้ามาด้านใน อวี๋หมินหมิ่นก็ได้เห็นบ้านหลังมหึมาและการตกแต่งที่หรูหรางดงาม
เธออดพูดกับหลินเช่อเมื่อเข้ามายืนอยู่กลางห้องนั่งเล่นไม่ได้ว่า “บ้านเธอนี่อย่างกับวังเลยนะ”
หลินเช่อตอบ “ค่ะ ตอนแรกๆ ที่เข้ามา ฉันก็เดินหลงอยู่หลายครั้งเหมือนกัน มันมีทางเลี้ยวเต็มไปหมดเลยน่ะ แรกๆ ก็ดูเหมือนจะซับซ้อนนะคะ แต่พอผ่านไปสักพักก็คุ้นเคยไปเองนั่นแหละค่ะ”
อวี๋หมินหมิ่นว่า “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านี่เป็นบ้านของกู้จิ้งเจ๋อ”
“ทำไมละคะ” หลินเช่อมองอย่างสงสัย
อวี๋หมินหมิ่นยิ้มและตอบว่า “คนทั่วไปน่ะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่หรอกนะ แต่ฉันน่ะอาศัยบารมีเธอเข้ามาไงล่ะ”
หลินเช่อยิ้ม “อย่างนั้นเหรอคะ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่มีคนอาศัยบารมีฉันแบบนี้ด้วย”
“แน่ละสิ”
แต่แล้วโทรศัพท์ของอวี๋หมินหมิ่นก็ดังขึ้น เธอก้มลงรับสาย เป็นสายจากแม่ของเธอนั่นเอง
มารดาของอวี๋หมินหมิ่นกำลังร่ำไห้อยู่ที่ปลายสาย [ได้โปรดช่วยพ่อของลูกด้วยเถอะนะ หมินหมิ่น มีแค่ลูกคนเดียวที่จะช่วยครอบครัวเราได้ ไม่มีใครอีกแล้วล่ะ ลองดูทีเถอะว่าลูกจะรู้จักใครที่พอจะพูดกับพวกเขาได้บ้าง ลูกมีพ่อคนเดียวนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ลูกจะไม่เสียใจเหรอ]
อวี๋หมินหมิ่นจิกปลายเล็บลงกับฝ่ามือ ราวกับว่าความเจ็บปวดนั้นจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้
“ก็ได้ค่ะ หนูจะลองคิดดู…” เธอพูดได้เพียงเท่านี้กับแม่ที่กำลังสะอึกสะอื้นร่ำไห้
เมื่อวางสาย หญิงสาวก็แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาลง ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมองเพดานอันกว้างใหญ่ของบ้านตระกูลกู้และทอดถอนใจ
หลินเช่อพูดขึ้นว่า “พี่อวี๋คะ พวกเขาเป็นใครกัน เราลองมาช่วยกันคิดหาทางเถอะค่ะ มันจะต้องมีวิธีแน่”
อวี๋หมินหมิ่นตอบ “ตระกูลลู่ที่ทำธุรกิจปล่อยเงินกู้แล้วก็บ่อนการพนันใต้ดินในตลาดบีน่ะ พ่อฉันเข้าไปข้องแวะกับคนพวกนั้นมาหลายปีแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือพวกนั้นไม่ใช่คนดีนั่นแหละ ฉันจะลองไปคุยกับพวกเขาดูว่าเราพอจะทำอะไรได้บ้าง”
“พี่จะไปคืนนี้เลยเหรอคะ”
“ฉันจะไปพักที่โรงแรมคืนนี้ พ่อฉันจะได้ตามมารังควานไม่ได้ อย่าห่วงไปเลย ฉันใช้ชีวิตแบบนี้มาหลายปีแล้ว ฉันรู้ดีว่าต้องทำยังไง เรื่องปกป้องตัวเองนี่ฉันถนัดดีนักล่ะ”
“ก็ได้ค่ะ”
อวี๋หมินหมิ่นโทรจองห้องโรงแรม ก่อนที่หลินเช่อจะจัดรถไปส่งเธอถึงที่นั่น
สักครู่ต่อมาโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ชื่อของกู้จิ้งเจ๋อผุดขึ้นมาบนหน้าจอ เธอยิ้มก่อนจะกดรับสาย
[เมื่อไหร่เธอจะทำตามสัญญาที่ว่าจะทำอาหารให้ฉันกินสักทีล่ะ]
เธอเคยคิดว่าเขาแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่พอมาตอนนี้ที่เขาเอ่ยถึงมันขึ้นมา หลินเช่อก็ชักแน่ใจ
เธอตอบไปว่า “ก็ได้ค่ะ…ฉันจะรอคุณกลับมาแล้วเราจะได้ไปซื้อของกันก็แล้วกันนะคะ”
[ได้สิ รอก่อนนะ ฉันใกล้จะถึงแล้ว]
เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้ยินว่าเธอจะไปซื้อวัตถุดิบเตรียมทำอาหารให้เขา ชายหนุ่มก็แทบจะทนรอให้ถึงบ้านไม่ไหว
เขามาถึงบ้านในเวลาอันรวดเร็วและจัดการลากหลินเช่อออกจากบ้านทันที “ไปตลาดกันเถอะ”
“คุณจะไปด้วยเหรอคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“แต่…” เธอจำได้ถึงสิ่งที่โม่ฮุ่ยหลิงเตือนเธอเอาไว้เมื่อวันก่อน “ออกไปข้างนอกแบบนี้จะไม่อันตรายกับคุณเหรอคะ”
กู้จิ้งเจ๋อมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
หญิงสาวตอบ “ก็เมื่อวันก่อนโม่ฮุ่ยหลิงบอกฉันว่ามันเป็นเรื่องอันตรายสำหรับคุณที่จะออกไปไหนต่อไหนตามลำพังน่ะค่ะ”
โม่ฮุ่ยหลิงงั้นเหรอ
สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยพอใจนัก เขาพูดกับเธอว่า “ฉันจะไปที่ไหนมันก็มีอันตรายทั้งนั้นนั่นแหละ แล้วนั่นแปลว่าฉันจะต้องคอยขังตัวเองอยู่ในกรงเพื่อหลบเลี่ยงอันตรายอย่างนั้นหรือไง ไปกันเถอะ”
เขาพูดพลางจูงมือเธอออกจากบ้านไป
หลินเช่อยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าเขาแล้ว เธอก็ตัดสินใจที่จะเงียบเอาไว้ เธอก้มลงมองมือใหญ่ที่กำลังจับจูงมือเธอแล้วก็อยากจะดึงมือหนี แต่ก็ไม่ได้ทำ มือที่จับเอาไว้นั้นยิ่งดูกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม หลินเช่อเหลือบไปเห็นสาวใช้ที่กำลังแอบมองอยู่จึงไม่อยากจะดิ้นรนให้เป็นที่ผิดสังเกต
ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้แออัดมากนัก หลินเช่อนึกแปลกใจดเพราะปกติแล้วที่นี่จะหนาแน่นไปด้วยผู้คนอยู่เป็นนิจ ราวกับว่ามีการทางเดินจนมีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้น แถมยังเดินกันอย่างเป็นระเบียบ
หลินเช่อผลักรถเข็นไปพลางก้มดูสูตรอาหารที่กู้จิ้งเจ๋อกำหนดให้ แล้วก็รำพึงขึ้นมาอย่างหดหู่ว่า “ต้องใช้เครื่องปรุงหลายอย่างเสียจริง สูตรอาหารนี่ดูยุ่งยากจังเลยนะคะ”
ชายหนุ่มถาม “ยุ่งยากเรอะ ก็แค่ส่วนผสมไม่กี่อย่าง หั่นๆ แล้วก็ผัดเท่านั้นเองนะ” เขาบรรจงเลือกเมนูที่ไม่ต้องใช้ของราคาแพงมาให้เธอเลยทีเดียว
หลินเช่อเข็นรถวนไปรอบกองผักชนิดต่างๆ ซูเปอร์ขนาดใหญ่แห่งนี้ให้ความรู้สึกรื่นรมย์แก่ผู้มาจับจ่าย จนหลินเช่ออดยิ้มออกมาอย่างรู้สึกผ่อนคลายไม่ได้
“ฉันเอาอันนี้”
“แล้วก็อันนี้ด้วย”
“อ๋า หัวไชเท้านี่สดดีจัง”
ยิ่งหลินเช่อสาละวนหยิบของโยนลงรถเข็นมากเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ชักจะดูยุ่งเหยิงมากขึ้นเท่านั้น
เธอแทบไม่ได้สนใจรายการส่วนประกอบในสูตรอาหารที่เขียนเอาไว้เลยสักนิด
กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้าอย่างระอาใจ
แต่แล้วก็มีใครคนหนึ่งเข็นรถมาชนเธอโดยแรงจนหงายหลังล้มลง
หลินเช่อร้องเสียงหลง
เธอหันไปมองและได้พบว่าชายคนนั้นเพียงแต่มองหน้าเธอก่อนจะหันหลังเดินหนีไปอย่างเงียบๆ
แต่กู้จิ้งเจ๋อปราดเข้าไปคว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อน
เขาจับแขนอีกฝ่ายแน่นและผลักชายผู้นั้นไปจนติดชั้นวางสินค้า ทำเอาชายคนดังกล่าวถึงกับช็อกและเริ่มสบถใส่หน้า แต่เมื่อมองเห็นแววตาล้ำลึกของกู้จิ้งเจ๋อแล้ว เขาก็รู้สึกผิดและรีบหุบปากทันควัน
“ขอโทษภรรยาฉันก่อน” เขาบอก
ชายคนนั้นหันมองหลินเช่อ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ด้วยความกลัวกู้จิ้งเจ๋อ เขาจึงเอ่ยปากขอโทษเธออย่างพินอบพิเทา “ขอโทษด้วย ฉันไม่ทันเห็นน่ะ”
หลินเช่อถูส้นเท้าเร่าๆ “ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังหน่อยก็แล้วกัน”
กู้จิ้งเจ๋อส่งเสียงเบาๆ ในลำคอก่อนที่จะยอมปล่อยมือ
ชายผู้นั้นผลุบหายไปด้วยความรวดเร็ว หลินเช่อตั้งท่าที่จะลุกขึ้นจากพื้นแต่กู้จิ้งเจ๋อกลับย่อตัวลงมาและช้อนร่างเธอขึ้นไว้ในอ้อมแขนเสียก่อน
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาพากันมามองด้วยความอิจฉา บุรุษร่างสูงที่ทำให้ใครต่อใครที่ได้เห็นนึกหลงใหลในความดูดี
เขาค่อยๆ หย่อนร่างเธอลงในรถเข็น “ขอฉันดูขาเธอหน่อยสิว่าโอเคหรือเปล่า”
หลินเช่อสั่นหัว ยิ้มและมองหน้าเขา “ฉันไม่เป็นไรค่ะ รถชนไม่แรงนักหรอก ท่าทางของอีตานั่นต่างหากละคะที่น่าโมโห”