เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1203
บทที่ 1203 พลีกายมอบทั้งชีวิต
เสี่ยวโต้วหยา ตอบตกลงแล้ว?
เย่โม่เซินบ้าไปแล้ว ถึงได้เชื่อคำพูดเหลวไหลของเขาเห็นเพียงเขายิ้มเยาะ จากนั้นก็พูดโดยตรง “อยากเป็นพ่อบุญธรรมของเธอ คุณยังไม่มีคุณสมบัติพอ ถ้าอยากจะเป็นพ่อขนาดนั้น กลับไปมีด้วยตัวเองสิ”
เมื่อได้ยินเข้า เฉียวจื้อก็ไม่พอใจในทันที
“เมื่อกี้คุณได้บอกชัดเจนว่า คุณจดจำบุญคุณไว้แล้ว ฉันมีเพียงคำขอนี้ข้อเดียวเท่านั้น”
“โอ้ ใช่เหรอ?” สีหน้าของเย่โม่เซินเฉยเมย เหมือนกำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรเลย “ถ้าเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นบุญคุณที่ว่าในเมื่อกี้ ก็จะไม่นับเลยแล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เขาก็อุ้มเสี่ยวโต้วหยาที่ยังคงหัวเราะคิกคักไม่หยุด หันเดินกลับไปโดยตรง จากนั้นก็จ้องดวงตาสีดำสนิทคู่หนึ่ง มองไปที่เย่โม่เซินด้วยความสงสัย
เฉียวจื้อผู้น่าสงสาร ไม่เห็นเลยว่า แววตาของเย่โม่เซินเปลี่ยนไปในทันที หลังจากที่หันหลังกลับมา ความเย็นชาในก่อนหน้านี้ ถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยน เขามองดูเสี่ยวโต้วหยา ในอ้อมกอด แล้วกระซิบว่า “เจ้าเด็กโง่ หนูเกือบจะยอมรับนายโง่เง่าคนหนึ่งเป็นพ่อบุญธรรมแล้วนะ”
คนโง่เง่าแบบนี้ ไม่เอายังจะดีเสียกว่า
เรียกอาเฉียวไม่ดีเหรอ? ดันจะเรียกว่าพ่อบุญธรรมอะไรกัน ไม่เพราะไม่น่าฟังเอาซะเลย
เย่โม่เซินตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ที่จะไม่ให้เฉียวจื้อรับลูกสาวบุญธรรมคนนี้
ดังนั้นหลังจากที่เฉียวจื้อรู้ว่า ฝ่ายของเย่โม่เซินไม่ได้ผล ก็ทุ่มเทพลังทั้งหมด ไปทางฝั่งของหานมู่จื่อ หานมู่จื่อถูกเขาพูดเซ้าซี้จนรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยแล้ว
“ถ้าโม่เซินไม่เห็นด้วย ฉันก็ช่วยไม่ได้ เฉียวจื้อ……เสี่ยวโต้วหยาไม่ใช่เป็นแค่ลูกสาวของฉันคนเดียว และคุณไม่รู้สึกว่า ต่อไป เสี่ยวโต้วหยาเรียกคุณว่าอาเฉียว น่าฟังมากกว่าอีก?”
เฉียวจื้อนิ่งไปสักพัก เอียงหัวเล็กน้อย “จริงเหรอ?”
“แน่นอนสิ” หานมู่จื่อยิ้มพยักหน้า ตบไหล่ของเขา “คุณอาเฉียว แค่ฟังดูก็น่าฟังมากเลย คุณลองคิดดูสิ ในยุคสมัยนี้ สรรพนามคำเรียกของพ่อบุญธรรม มีความหมายในทางลบและคลุมเครือมากเกินไป แม้ว่าเราจะไม่อาจเอาจิตใจของคนพาลไปคาดเดาจิตใจของสุภาพชน แต่คนอื่นล่ะ? ถึงเวลานั้นคนอื่นจะคิดยังไง ถ้าหากเกิดความเข้าใจผิดจะทำอย่างไร? ดังนั้นฉันคิดไปคิดมา คิดว่าโม่เซินไม่ตกลง เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะยังไงแล้ว เสี่ยวโต้วหยาโตขึ้น ยังไงก็ต้องเรียกคุณว่าคุณอาอยู่แล้ว เป็นเพียงแค่สรรพนามคำเรียกเท่านั้น ถ้าคุณชอบ เสี่ยวโต้วหยาจริงๆถึงเวลานั้น ก็จะต้องเข้ากับเธอได้ดีเป็นธรรมชาติ”
จำเป็นต้องยอมรับว่า เฉียวจื้อถูกหานมู่จื่อพูดโน้มน้าวจนยอมเห็นด้วย
ดูเหมือนว่า สรรพนามคำเรียกของพ่อบุญธรรม จะทำให้คนเข้าใจผิดจริงๆด้วย รอเสี่ยวโต้วหยาโตขึ้น ยังจะต้องใช้เวลาอีกสิบยี่สิบปี ถึงเวลานั้นเขา เฉียวจื้อก็กลายเป็นตาแก่ไปแล้ว เขาตาแก่คนหนึ่ง คนอื่นจะว่าอะไรเขา ก็ไม่เป็นอะไร แต่เสี่ยวโต้วหยาไม่ได้นะ
เมื่อถึงเวลานั้น เธอเป็นถึงสาวน้อยหยาดเยิ้มสวยงาม เสื่อมเสียชื่อเสียงจะทำยังไงดี? เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เฉียวจื้อก็เลิกคิดที่จะรับเธอเป็นลูกสาวบุญธรรมในทันที จากนั้นก็ยิ้มพูดว่า “งั้นก็ได้ งั้นก็อาเฉียวเถอะ พี่สะใภ้พี่ไม่ต้องห่วง ฉันจะรักเอ็นดูเสี่ยวโต้วหยาอย่างแน่นอน!”
และแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้ถกเถียงกันอีก
หานมู่จื่อนึกถึงบางอย่าง ก็เลยถามออกไปโดยไม่ทันคิด
“ใช่แล้ว คราวนี้คุณกลับมาคนเดียวเหรอ?”
เฉียวจื้อเม้มปากเล็กน้อย “ไม่ใช่แน่นอน”
“โอ้?” หานมู่จื่อรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “หรือยังมีคนมากับคุณด้วย?”
เฉียวจื้อพยักหน้า “มีแน่นอน พี่สะใภ้พี่ไม่รู้เลย ตาเฒ่าดันจะกลับมากับฉันด้วย บอกว่าเขาก็จะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองครบเดือนของเสี่ยวโต้วหยาด้วย พี่ว่าเขาตาเฒ่าคนหนึ่ง ดันจะมาไกลขนาดนี้ทำไม? อายุเยอะแล้ว เดิมทีขาก็เดินไม่สะดวกอยู่แล้ว ก็ยังจะหาเรื่องอยู่เรื่อยเลย!”
“……” ที่แท้เป็นปู่ของเขา ก่อนหน้านี้หานมู่จื่อยังเข้าใจผิดว่า เขาได้กลับมาพร้อมกับหลัวลี่
“พี่สะใภ้ เป็นอะไรเหรอ?”
หานมู่จื่อจ้องมองเขา ยิ้มอย่างครุ่นคิด “ไม่มีอะไร ฉันแค่นึกถึงหลัวลี่ ที่เมื่อก่อนเคยทำงานด้วยกันในต่างประเทศ เธอสบายดีไหม?”
เพราะว่าสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตของหลัวลี่ในตอนนั้นมันแย่มาก แต่เธอก็ไม่ใช่แม่พระ และอีกอย่างเรื่องของตัวเธอเอง ก็ดูแลตัวเองไม่ไหวแล้ว ยิ่งไม่มีเวลาที่จะไปสนใจว่าหลัวลี่เป็นยังไงบ้าง
แค่ตอนนี้เมื่อนึกถึงสภาพของเธอ ก็ยังถอนหายใจเล็กน้อย
เพราะยังไงแล้ว ตอนนั้นที่อยู่ในต่างประเทศ เธอก็อยู่กับตัวเองเป็นเวลานาน
“ผู้หญิงคนนั้น?” เมื่อพูดถึงหลัวลี่ สีหน้าของเฉียวจื้อ
ก็ดูแปลกขึ้นมาในทันที ท่าทางเหมือนลังเลที่จะพูด “เธอ……ก็ดีอยู่นะ? จะมีอะไรที่ไม่ดี?”
“ทำไมฉันดูท่าทางคุณ เหมือนจะร้อนตัว?” หานมู่จื่อหรี่ตาเล็กน้อย แล้วจ้องพิจารณาไปที่เฉียวจื้อ
หานมู่จื่อไม่พูดยังดีอยู่ พอเธอพูดขึ้นมาอย่างนี้ เฉียวจื้อก็ยิ่งแสดงอาการร้อนตัวมากขึ้น “ฉันร้อนตัวตรงไหน เธอมีชีวิตสบายดีจริงๆ คุณชายอย่างฉัน พาเธอไปกินอาหารมื้อใหญ่ทุกๆวัน ผู้หญิงคนนั้น กิน จนปากเยิ้มน้ำมันทุกครั้งเลย ซาบซึ้งจนร้องไห้ฟูมฟาย มีอะไรไม่ดี?”
“……”
คำพรรณนานี้ หานมู่จื่อยอมคุกเข่าให้เขาจริงๆเลย “เธอไม่ได้กลับประเทศเหรอ?”
“ไม่” เฉียวจื้อส่ายหัว แววตาพาดผ่านความประหลาด คิดในใจว่า หลัวลี่จะกล้ากลับมาในประเทศได้อย่างไร เดิมทีเธอก็คือหนีการแต่งงานไปต่างประเทศ ไม่มีอะไรติดตัวเลย อยู่ในต่างประเทศความสามารถก็ไม่ถึงมาตรฐาน เป็นแค่ครึ่งๆกลางๆ เลยทำให้ตัวเองมีชีวิตที่น่าอนาถขนาดนั้น
หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือจากเฉียวจื้อแล้ว ทุกครั้งหลัวลี่ก็จะบอกเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“เฉียวจื้อ คุณไม่ต้องเป็นห่วง รออนาคตเมื่อฉันหาเงินได้มหาศาลแล้ว ฉันจะเลี้ยงคุณกินกลับมาแน่นอน!”
จากนั้นทุกครั้งที่เฉียวจื้อเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วมือออกมาดีดหน้าผากของเธออย่างแรง ดีดจนเธอเจ็บปวด ยื่นมือออกมาปิดหน้าผากไว้ ถึงจะพอใจ แล้วก็หยอกล้อเธอ
“มีความทะเยอทะยานหน่อยได้ไหม กับของกินแค่นี้คุณก็รู้สึกซาบซึ้งขนาดนี้ ถ้าฉันพาคุณไปกินอีกปี คุณคงจะซาบซึ้งจนยอมพลีกายมอบทั้งชีวิตแล้วใช่ไหม?”
ก็ไม่รู้ว่าหลัวลี่ถูกเฉียวจื้อดีดจนโง่หรือเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าจะเจ็บปวดมาก แต่หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเฉียวจื้อ ไม่คาดคิดว่าจะมองเขาด้วยน้ำตา แล้วพยักหน้า
หลังจากนั้น รอยยิ้มของเฉียวจื้อก็ค้างไว้ในทันที
เพราะประโยคนั้น เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น หยอกล้อผู้หญิงโง่คนนี้ ใครจะไปรู้ว่า ผู้หญิงโง่คนนี้ ยังมองแล้วพยักหน้าด้วยน้ำตา ดังนั้นเฉียวจื้อจึงแข็งทื่อในทันที สักครู่ถึงจะตั้งตัวไว้ แล้วเคาะหัวของหลัวลี่อย่างแรงอีกครั้ง
“คุณซื่อบื้อเหรอ? อาหารไม่กี่มื้อ ก็ซื้อใจคุณได้แล้ว ยังตอบตกลงที่จะยอมพลีกายมอบทั้งชีวิตให้จริงๆ ต่อไปมีผู้ชายอะไรก็ได้ มาเลี้ยงข้าวคุณ คุณก็จะยอมพลีกายมอบทั้งชีวิตให้หมดเลยใช่ไหม? คุณเป็นผู้หญิงนะ ผู้หญิงเข้าใจไหม? คำพูดแบบนี้สามารถรับปากได้ง่ายๆหรือ? จะเสียเปรียบได้ รู้หรือเปล่า?”
ในขณะที่เขาพูด ก็ชี้หน้าผากของหญิงสาวด้วย สะกิดหน้าผากขาวราวกับหิมะของเธอจนแดงก่ำ หลัวลี่ก็ ยิ่งน้ำตาคลอเบ้า มองไปที่เขาและส่ายหัว “คุณไม่เข้าใจ ตั้งแต่ฉันมาที่ต่างประเทศด้วยตัวเอง……คุณเป็น……ครั้งแรกที่มีคนทำดีกับฉันมากขนาดนี้”
“ดังนั้นจึงสามารถยอมพลีกายมอบทั้งชีวิตให้แล้วหรือ? ถุ้ยๆๆ ฉันแค่พาคุณทานอาหารไม่กี่มื้อเท่านั้น ไม่ต้องซาบซึ้งขนาดนี้เลยนะ! อีกอย่าง คุณรู้จักกับพี่สะใภ้ ฉันแค่ดูแลคุณแทนเธอเท่านั้นเอง!”
หลังจากที่เฉียวจื้อโยนคำเหล่านี้ออกมา เห็นแสงในดวงตาของหลัวลี่ ดูเหมือนจะมืดลงเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ แค่เร่งให้หลัวลี่รีบกินโดยเร็ว
แม้ว่าหลังจากนั้น เฉียวจื้อจะยังคงพาหลัวลี่ไปทานอาหารมื้อใหญ่ แต่จิตใจของเฉียวจื้อ ก็ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้พูดหยอกล้อเธอหรือเปล่า ทุกครั้งที่เห็นท่าทางของหลัวลี่ ที่ดวงตาเปล่งประกายกับอาหาร แล้วก็ก้มหน้าลงกินอย่างเชื่อฟัง เขาก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก