เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1268
บทที่ 1268 ภรรยาพูดคำไหนคำนั้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวหมี่โต้วก็มองเย่โม่เซินอย่างภาคภูมิใจ
“ได้ยินแล้วยังพ่อ ถ้าพ่อยังแกล้งเสี่ยวหมี่โต้วอีก หม่ามี๊จะไม่เอาพ่อแล้วนะ!”
เย่โม่เซินยิ้มเย้ย เจ้าเด็กน้อยกล้ามาขู่พ่อ ตอนแรกที่เจอกันก็ตบหน้าเขาแล้ว ทำให้เขามึนไปทันที ต่อมาก็ขัดขืนพ่อต่างๆนานา หลังจากที่เย่โม่เซินรู้ว่าเขาไม่เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป จึงไม่ได้ปฏิบัติกับเขาเหมือนเด็กทั่วไป
เขาหัวเราะเยาะ: “งั้นเหรอ? หม่ามี๊ของลูกก็คือผู้หญิงของพ่อ ข้าเป็นพ่อของเอ็ง ข้าพูดคำไหนคำนั้น”
“เย่โม่เซิน!” หานมู่จื่อตะโกนเรียกเขา
เย่โม่เซินตั้งสติขึ้นได้ เหลือบมองหล่อน สังเกตเห็นว่าสีหน้าของหานมู่จื่อดูไม่พอใจเท่าไหร่: “คุณพูดอะไรต่อหน้าลูก? แทนตัวเองว่าข้า เพ้อเจ้อ นี่อยากสอนลูกผิดๆเหรอ? ”
เมื่อได้ยินหม่ามี๊พูดจาต่อว่าพ่อของตัวเอง เสี่ยวหมี่โต้วก็หันไปมองพ่อด้วยทำท่าทางลำพองใจ
“อีกอย่าง เมื่อกี้ที่คุณบอกว่าคุณพูดคำไหนคำนั้น งั้นก็แสดงว่าฉันพูดอะไรก็ไม่มีความหมาย?”
เย่โม่เซิน: “…”
ต่อหน้าหานมู่จื่อ เย่โม่เซินยังไม่กล้าอวดดีต่อหน้าเด็กน้อยอีกแล้ว น้ำเสียงและอารมณ์กลับอ่อนโยนขึ้นมาทันที “ที่ไหนกันล่ะ เรื่องในบ้านแน่นอนว่าคุณพูดคำไหนคำนั้น ผมแค่รับผิดชอบดูแลเสี่ยวโต้วหยาให้ดี”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเย่โม่เซินทำเรื่องพูดแบบนี้เป็นที่ไหนกันล่ะ
แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ด้วยซ้ำ
เชื่อฟังตามคำสั่งภรรยา ยอมอยู่บ้านเป็นพ่อบ้าน ตั้งใจเลี้ยงดูลูกน้อย
เมื่อผู้คนในแวดวงธุรกิจได้ยินข่าวนี้ กลับเป็นที่สนใจขึ้นมาทันที และกลายเป็นข่าวซุบซิบที่พูดคุยกันในวงกินข้าวหรือวงน้ำชา แต่ตอนนี้เย่โม่เซินมีครอบครัวของตัวเองแล้ว มีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย
อีกทั้งตอนนี้ นอกจากประชุมสำคัญแล้ว เขาแทบไม่ได้ไปที่บริษัทเลย พวกผู้ถือหุ้นในบริษัทต่างพากันพูดถึงหานมู่จื่อไม่หยุด บอกว่าหล่อนมีไม้ตายมัดใจสามี
อันที่จริงก่อนหน้านี้ ตอนที่เย่โม่เซินยังโสดไม่มีใคร เขาอยู่ในบริษัทด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่มีชีวิตชีวามาโดยตลอด ทุกครั้งที่ประชุม บรรยากาศจึงเคร่งเครียดมาก ทุกคนต่างพากันเกรงกลัว จนกระทั่งกลัวว่าตัวเองจะพูดผิด หรือทำอะไรผิด และจะทำให้บุคคลที่มีอำนาจสูงส่งท่านนี้โมโห
เมื่อเสี่ยวหมี่โต้วเห็นท่าทางของพ่อเปลี่ยนไป จึงอดไม่ได้ที่จะแอบขำจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง
มีภรรยาแล้วช่างน่ากลัวจริงๆ ต้องฟังภรรยาเท่านั้น ถ้าเขาโตขึ้น เขาไม่อยากมีภรรยา ใช้ชีวิตตัวคนเดียวก็พอแล้ว
เสี่ยวหมี่โต้วคิดในใจ
--
เจียงเสี่ยวไป๋ไปหาเซียวซู่ที่บ้านพักตั้งแต่เช้า ตอนที่หล่อนไป เป็นเวลาค่อนข้างเช้า พอดีกับตอนที่เซียวซู่ยังไม่ทันออกจากบ้าน เซียวซู่ยื่นกุญแจให้หล่อนด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
เจียงเสี่ยวไป๋ถือกุญแจแกว่งไปมาต่อหน้าเขา ถามพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม: “จะว่าไป พวกเราก็เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง พูดคุยทำความรู้จักกันก็น้อยจนน่าสงสาร นี่คุณไว้ใจฉันจะให้กุญแจกับฉันเลยเหรอ? ไม่กลัวว่าฉันจะยกเค้าบ้านคุณจนหมดเกลี้ยงเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวซู่เหลือบมองหล่อน “ทำให้ได้ก่อนเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋บ่นด้วยความหงุดหงิดใจ: “ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นฉันเป็นคนมีชื่อเสียงนะ แม้ว่าไม่ได้เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่ฉันก็ต้องรักษาหน้าตาภาพลักษณ์ ถ้าฉันทำเรื่องอะไรผิดต่อคุณ คุณก็คงแฉบนอินเตอร์เน็ต อีกอย่าง คุณก็รู้ว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน ฉันจะหนีไปไหนรอด สบายใจได้นะ”
“ผมยังต้องไปทำงาน ไปก่อนนะ”
หลังจากที่เซียวซู่ออกไป เจียงเสี่ยวไป๋ก็เข้าไปในบ้านของเขา หลังจากเดินวนไปรอบๆบ้าน หล่อนเพิ่งเข้าใจความหมายที่เซียวซู่พูดขึ้นมา
จะยกเค้าบ้านเขาให้เกลี้ยง บ้านเขามีอะไรให้ขโมยล่ะ?? ห้องแบบนี้ ถ้าขโมยมาเห็นเข้าก็คงไม่คิดสนใจด้วยซ้ำ!!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบโทรหาเซียวซู่ด้วยความโมโห!
เสียงรอสายดังอยู่นานสักพักใหญ่ เซียวซู่จึงจะกดรับ
“นี่คุณหมายความว่ายังไง?” เซียวซู่เพิ่งจะกดรับสาย เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถามเขาด้วยความเดือดดาลทันที
เซียวซู่ที่กำลังขับรถอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น: “มีอะไรเหรอ?”
“ฉันบอกว่า นี่คุณหมายความว่ายังไง! ฉันมาทำกับข้าวให้คุณ แต่คุณทำแบบนี้กับฉัน?”
เซียวซู่ไม่เข้าใจว่าหล่อนหมายความว่าอย่างไร จึงขมวดคิ้วมากขึ้น: “พูดให้รู้เรื่อง”
“เซียวซู่! คุณอย่ามาทำตัวเสแสร้ง! ห้องครัวของคุณมีแค่หม้อหุงข้าวอย่างเดียว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรเลย อ๋อ ยังมีตู้เย็นอีกหนึ่งหลัง แต่ในตู้เย็นก็ว่างเปล่า! สภาพบ้านแย่แบบนี้จะให้ฉันทำอาหารให้? นี่คุณสร้างความลำบากให้ฉันใช่ไหม?”
“….” เซียวซู่หยุดชะงักไป “ปกติผมก็เป็นแบบนี้ ทำอะไรง่ายๆก็พอ”
“ทำอะไรง่ายๆ???” เจียงเสี่ยวไป๋มองดูห้องครัวอันแสนว่างเปล่า ไม่รู้เลยจริงๆว่าควรพูดอะไรต่อ หล่อนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามด้วยความเหลือเชื่อ: “ปกติคุณคงไม่ทำอาหารแบบนี้ใช่ไหม?”
เซียวซู่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงตอบกลับไปแค่อืมเฉยๆ
เมื่อเห็นว่าเขายอมรับเช่นนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้ว หล่อนเงียบไปครู่ใหญ่ ไม่พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก เซียวซู่จึงพูดอธิบาย: “ปกติทำงานยุ่งมาก ไม่ค่อยมีโอกาสได้กินข้าวที่บ้าน”
เมื่อก่อนตอนที่คุณชายเย่ยังไม่เป็นพ่อบ้านเลี้ยงเด็กเต็มตัว เขากับคุณชายเย่ทำงานกันหนักมาก กลางดึกก็ถูกคุณชายเย่ใช้ให้ไปทำงาน นั่นถือเป็นเรื่องปกติ อีกอย่างสำหรับผู้ชายแล้ว เขาขอแค่กินอิ่ม ไม่ต้องกินดีอยู่ดี ดังนั้นบางครั้งกินข้าวด้านนอกสักมื้อก็พอแล้ว ถ้าอยู่บ้านมีเวลาก็หุงข้าวทำอะไรนิดหน่อย
ตอนแรกเจียงเสี่ยวไป๋คิดว่าเขาเจตนาแกล้งตัวเอง แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดอธิบาย หล่อนก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่เห็นเรื่องกินข้าวเป็นเรื่องสำคัญ หล่อนพอจะเข้าใจแล้วว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไร จากนั้นจึงพูดด้วยความหงุดหงิด: “โอเค ฉันรู้แล้ว ฉันจัดการเองแล้วกัน แค่นี้นะ วางสายก่อน”
หลังจากวางสายไป เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยกสองมือขึ้นมาท้าวสะเอวยืนจ้องมองอยู่ในห้องครัว
ในสายตาของหล่อนห้องครัวแบบนี้ พูดได้แค่สองคำ: อนาถใจ!
ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นคนจน แต่กลับมีเพียงหม้อหุงข้าวกับตู้เย็น
หรือปกติเขาทำอาหาร เขาเอาผัก เนื้อและข้าว ลงไปหุงในหม้อหุงข้าวพร้อมกัน???
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดาขึ้นมาคือเรื่องจริง หล่อนแค่กำลังคิดว่า ตัวเองไม่มีทางยอมรับห้องครัวแบบนี้ได้ เมื่อครุ่นคิดไปมาสักพัก ถ้าตัวเองต้องมาทำอาหารให้เขาทุกวัน หล่อนคงต้องโมโหจนระเบิดแน่นอน
ดังนั้น….
สองนาทีต่อมา… เจียงเสี่ยวไป๋ถือกุญแจออกไปข้างนอกทันที
หลังจากนั้นฟางถังถังโทรมานัดหล่อนออกไปเดินช็อปปิ้ง บอกว่าช่วงนี้ที่ห้างสรรพสินค้ามีจัดกิจกรรม มีสินค้าลดราคามากมาย และยังมีของกำนัลให้ด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋เพิ่งซื้อเครื่องปิ้งขนมปัง ไมโครเวฟ เตาอบ หม้อนึ่งเสร็จ ก็รู้สึกอยากร้องไห้ให้กับเงินในบัญชีที่หายไป ฟางถังถังกลับโทรหาหล่อนบอกให้หล่อนไปจ่ายเงินต่อ?
แค่คิดก็ไม่อยากคิด เจียงเสี่ยวไป๋รีบปฏิเสธทันที
“ไม่ไป!”
ฟางถังถังรู้สึกประหลาดใจ: “เกิดอะไรขึ้น? ปกติเธอจะดีใจมากไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ควรจะตอบตกลงฉันอย่างรวดเร็วจึงจะถูก?”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูเงินที่ถูกหักออกไปในบัญชี จากนั้นพูดอย่างเด็ดขาด: “ไม่ได้ ฉันใกล้จะล้มละลายแล้ว ต้องดูแลกระเป๋าสตางค์ของตัวเองให้ดี ใช้เงินไม่ได้อีกแล้ว”