เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1540
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 1540 คิดฟุ้งซ่านวันยันค่ำ
สุดท้ายแล้วเจียงเสี่ยวไป๋ก็มึนงงไปทั้งร่างเหมือนถูกสะกดจิต จนเมื่อเธอได้สติตอบสนอง ทะเบียนสมรสก็ถูกเซียวซู่เก็บไปเรียบร้อยแล้ว
“ภายในครึ่งปีนี้ผมจะเก็บทะเบียนสมรสเอาไว้เอง อีกครึ่งปีจากนั้นผมจะเอาให้คุณเอง ถ้าถึงตอนนั้นแล้วคุณยังรู้สึกว่าไม่อยากอยู่กับผม ผมจะห่างจากคุณไปไกลๆ แน่นอนครับ”
ก็แค่ครึ่งปีเองไม่ใช่เหรอ ครึ่งปีก่อนเธอก็ผ่านมาแล้ว อีกครึ่งปีก็ให้เวลาเขาก็ได้
ที่จริงแล้วเจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนใจอ่อนมาก อาจเป็นเพราะการเอาใจใส่ที่จะรักษาเธอไว้มาตลอดครึ่งปี ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เธอใจอ่อนลงเร็วมาก
หลังจากที่ใจอ่อน เธอก็ไม่ได้เสียใจภายหลัง
“ตอนนี้ผมจะไปกับคุณ ไปรับลูกของเรากลับบ้าน”
เมื่อตอนเช้าเจียงเสี่ยวไป๋ออกมาคนเดียว ตอนที่กลับมาพาเซียวซู่กลับมาด้วยกัน ตู้เซียวหยู่ก็คิดได้ว่าทั้งสองคนคุยกันแล้ว จึงไม่ได้ถามอะไร พูดเพียงว่า “ลูกนอนอยู่ในห้อง เพิ่งหลับไป”
“คุณแม่ครับ งั้นก็ให้เขานอนต่ออีกสักพัก ไม่ต้องไปรบกวนเขาก่อนหรอกครับ”
ยังเรียกแม่อยู่เหรอ
ตู้เซียวหยู่มองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างค่อนข้างประหลาดใจ เจียงเสี่ยวไป๋เม้มริมฝีปาก การแสดงออกบนใบหน้าค่อนข้างอึดอัด จนสุดท้ายก็พูดออกมาว่า “ฉันกับเซียวซู่ไม่ได้หย่ากันค่ะ”
“หืม?” ตู้เซียวหยู่ฟังออกว่าหย่าแล้ว ต่อมาเมื่อคิดดูอีกทีพบว่ามันคือไม่ได้หย่า จึงเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ก็เป็นอย่างนั้นแหละค่ะ จู่ๆ ก็ไม่อยากหย่า ดังนั้นก็เลยไม่หย่าค่ะ”
ส่วนพวกรายละเอียดต่างๆ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะเธอค่อนข้างมึนงง จนเมื่อสติกลับคืนมาตนถึงเพิ่งตระหนักว่าได้ทำอะไรลงไป
ตู้เซียวหยู่ตกใจ ผ่านไปนานมากถึงได้พูดด้วยรอยยิ้มแห้งว่า “ก็ดีแล้ว แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ปัญหาคลี่คลายแล้ว ต่อจากนี้ชีวิตก็จะมีแต่วันที่ดี”
รอยยิ้มของเซียวซู่ระยิบระยับมาก ดวงตาขุ่นสดใส “รู้แล้วครับคุณแม่ มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่”
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋กับเซียวซู่อยู่ทานข้าวแล้ว จนเมื่อลูกตื่นถึงได้พาเขากลับบ้าน
ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่หย่ากัน แต่ถึงอย่างไรปัญหาก่อนหน้านี้มันก็ยุ่งเหยิงมาก ดังนั้นความเข้ากันได้มันจึงยังมีจุดที่ไม่เป็นธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ดีเซียวซู่กระตือรือร้นมาก ดีต่อเจียงเสี่ยวไป๋เป็นพิเศษ ทันทีที่ลงจากรถก็อุ้มเด็กแทนเธอ จากนั้นยังถือกระเป๋าให้เธอด้วย
สองสามวันผ่านไป เขาปรนนิบัติต่อเจียงเสี่ยวไป๋ทุกอย่างอย่างพิถีพิถัน ดูแลเธอประหนึ่งลูกคนที่สอง ตราบใดที่เจียงเสี่ยวไป๋ตื่น ก็จะต้องเห็นแก้วน้ำอุ่นอยู่ที่หัวเตียงของตัวเอง เข้าห้องน้ำไปแปรงฟันน้ำกับยาสีฟันก็เตรียมไว้ให้ จากนั้นอาหารเช้าก็เตรียมไว้พร้อมสรรพ เซียวซู่เหมือนหุ่นยนต์ กำหนดเวลาคงที่ ไม่ว่าอะไรก็เตรียมเพื่อเธออย่างดีเยี่ยม
แม้ก่อนหน้านี้เซียวซู่ก็ดูแลเธอดี แต่มันไม่เหมือนที่ทำอยู่แบบนี้ในตอนนี้ หลังจากที่เธอสุขสบายไปหลายวันจนเกือบจะพิการ ในที่สุดจึงพูดกับเซียวซู่ว่า “ที่จริงคุณไม่ต้องทำแบบนี้ ต่อให้คุณอยากชดเชยให้ฉัน ก็ไม่ต้องพิถีพิถันมากมายขนาดนี้ก็ได้”
อารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกระแสน้ำไหลเป็นทางทอดยาว เขาจะสามารถทำทุกเรื่องอย่างสม่ำเสมอแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
เซียวซู่รู้ความคิดของเธอ “คุณไม่ต้องคิดแทนผม เรื่องพวกนี้ผมควรชดเชยอยู่แล้ว ผมเคยบอกแล้วว่าจะชดเชยก็ต้องชดเชย จะทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในครึ่งปีนี้ ถ้าหลังจากครึ่งปีคุณไม่เปลี่ยนใจ เช่นนั้นผมก็จะทำมันไปชั่วชีวิต”
เขาพูดอย่างแน่วแน่ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
“งั้นก็แล้วแต่คุณ คุณไม่เหนื่อยก็ดี”
“เหนื่อยเหรอ” เซียวซู่ยิ้มบาง “ผมมีความสุขมากต่างหาก”
เขาไม่อยากย้อนกลับไปในวันที่ไม่มีเธออีก ทุกๆ วันเขาอยากลืมตาตื่นขึ้นมานั่งแล้วสามารถมองเห็นว่าเธอนอนอยู่ข้างตัวเอง เมื่อกลับจากที่ทำงานมาบ้านก็สามารถมองเห็นร่างเล็กของเธอนั่งอยู่บนโซฟา
ตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋นอนลง ก็คิดถึงคำพูดเหล่านั้นที่เซียวซู่พูดกับเธอ
ชั่วชีวิตงั้นเหรอ
ชีวิตมันยาวนานแค่ไหน ฟังดูแล้วรู้สึกว่ามันยาวไกลมาก เจียงเสี่ยวไป๋หลับตา เธอกับเซียวซู่จะสามารถยืนหยัดไปถึงตอนนั้นได้จริงเหรอ
ครึ่งปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่เซียวซู่ต้องทนทุกข์ ที่จริงเสี่ยวเหยียนเองก็ตกนรกทั้งเป็น
เพราะเธอตระหนักว่าเป็นเพราะตัวเองสร้างผลกระทบระหว่างทั้งสอง เธออยากทำอะไรบางอย่าง แต่เธอกลัวว่าการปรากฏตัวของตัวเองจะทำให้เจียงเสี่ยวไป๋กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น
ดังนั้นสุดท้ายแล้วเธอจึงยังไม่ได้ทำอะไร แต่เพราะเรื่องนี้จึงยังคงเศร้ามาโดยตลอด
คนที่ทำลายชีวิตคู่ของคนอื่น จะต้องตกนรก
คำพูดนี้เสี่ยวเหยียนจำได้ขึ้นใจ ถ้าผลสุดท้ายแล้วเซียวซู่กับเจียงเสี่ยวไป๋ไม่สามารถไปด้วยกันรอด เธอรู้สึกว่าจิตสำนึกในชีวิตนี้จะไม่มีทางสงบสุขเป็นแน่
และเริ่มเกลียดตัวเองขึ้นมา ทำไมตอนนั้นเธอถึงต้องไปเจอเขาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ถึงแม้จะรู้สึกขอบคุณเขาที่ส่งตนไปโรงพยาบาล แต่เสี่ยวเหยียนยังคงรู้สึกเสมอว่าวันนั้นตนไม่เจอเขาก็ดี เธอไม่ควรทะเล่อทะล่าขนาดนั้น ถ้าเธอไม่ล้ม เซียวซู่ก็ไม่จำเป็นต้องส่งเธอไปโรงพยาบาลเลย เช่นนั้นระหว่างพวกเขาสองคนก็จะไม่พัฒนามาเป็นแบบนี้
ไม่นานมานี้เสี่ยวเหยียนได้ยินว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับมา ซึ่งก็ไม่กล้าทักทายมากนัก
แต่เดิมความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนนั้นดีเยี่ยม แต่ครึ่งปีนี้เธอไม่กล้าไปหาเธอ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้มาหาเธอ จู่ๆ ก็ไม่มีการติดต่อกันอีก
หานชิงเห็นเธอยังคงเศร้าไม่หาย ชายชราจึงอาสาแนะนำเธอ
“ผลมันเกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้แกมากังวลก็ไม่มีประโยชน์อีก ไม่สู้คิดหาทางช่วยพวกเขาอย่างไรเสียดีกว่า”
“ช่วยเหรอคะ” เสี่ยวเหยียนยิ้มขมขื่น “ตามสถานะของฉัน ฉันสามารถทำอะไรได้ด้วยเหรอคะ”
“สถานะของฉันไม่สะดวก ไม่ทำไม่ได้ ทำก็ไม่ได้ ดังนั้นก็ได้แต่เป็นแบบนี้ เรื่องนี้ที่จริงมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับแกมากนัก”
หานชิงมองผ่านมุมมองเซียวซู่ ทั้งคู่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ดังนั้นเขารู้ว่าเซียวซู่คิดอะไรอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่เขามีแฟนแล้วแต่ยังวิ่งเข้ากองไฟไปช่วยผู้หญิงคนอื่น
เรื่องนี้กลัวว่าเขาทำได้แค่ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อชดเชย ถ้าเขารักผู้หญิงคนนั้น
“ทำไมจะไม่เกี่ยวคะ ถ้าตอนนั้นฉันไม่ล้มก็ดี ตอนนี้พวกเขาก็จะไม่เป็นแบบนี้”
“เด็กโง่” หานชิงเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของเธอ “เรื่องราวหลายอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว นี่อาจจะเป็นเพราะสวรรค์ให้บททดสอบแก่พวกเขา ต่อให้พวกแกออกไปข้างนอกในวันเดียวกัน แต่พวกแกไม่จําเป็นต้องมาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตเดียวกันในเวลาเดียวกัน ในโลกนี้ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ในการพบกันนั้นต่ำมาก โอกาสมีเพียงหนึ่งในล้าน และโอกาสหนึ่งในล้านนี้ถูกแกประสบ มันอธิบายอะไรได้บ้างรู้ไหม”
ทันทีที่พูดจบ หานชิงก็ดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของตัวเอง “อย่าคิดมากอีกเลย เรื่องพวกนี้เขาต้องแบกรับด้วยตัวเอง เขาเป็นหนี้เธอ”
เสี่ยวเหยียนไม่เข้าใจคำพูดของหานชิง เธอเงยหน้าขึ้นยังคิดจะถามอะไรต่ออีก แต่ศีรษะถูกหานชิงกุมไว้ “เอาล่ะ ครึ่งปีนี้แกคิดมากพอแล้ว หยุดคิดได้แล้ว”
“ถ้าอยากคิดเรื่องอะไรต่อมิอะไร ไม่สู้ไปใช้เวลากับย่างเชินและจื่อซีให้มากดีกว่า”
“พวกเขาสองคนเข้ากันได้ดีมาก ไหนเลยจะต้องการฉันไปอยู่ด้วยกันคะ”
“เข้ากันได้ดีมากก็ไม่จำเป็นเหรอ งั้นดี ก็ใช้เวลาอยู่กับฉันให้มากแล้วกัน”
หานชิงจัดผมยาวให้เธอพลางกระซิบเสียงต่ำไปด้วยว่า “วันนี้ฉันไม่ไปบริษัท แกใช้เวลาอยู่กับฉันมากๆ จะได้ฟุ้งซ่านทั้งวันยันค่ำให้น้อยลง”