เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 332
บทที่332 ไม่ต้องบังคับเธอ
หลังจากที่ซูจิ๋วออกไปแล้วนั้น ภายในห้องก็เหลือ เสิ่นเฉียวเพียงคนเดียวเท่านั้น
ซูจิ๋วปิดประตูลงให้เธอ ราวกับว่าไม่กังวลว่าเธอจะ ทำลายข้าวของภายในห้องนั้น ทั้งๆที่เป็นครั้งแรกที่เธอ มา แต่ซูจิ๋วกลับให้ความวางใจต่อตัวเองขนาดนี้
สิ่งของที่อยู่ภายในห้องนี้ล้วนแต่เป็นของที่มีค่า ราคาแพงทั้งสิ้น แต่เธอกลับ..
นี่…เธอเป็นบุคคลที่สูงส่งของตระกูลหานที่พวก เขาพูดถึงว่ากำลังตามหามาตลอดคนนั้นจริงๆหรือ?
แต่นี่จะให้เธอเชื่อได้อย่างไรกัน? ตลอดมานี้ ถึง แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่เหมือนกับเสิ่น โย่ว แต่ในใจของเธอนั้น เธอก็เห็นตระกูลเสิ่นเป็น ครอบครัวของตัวเองมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าปกติแล้ว ตอนที่โดนแม่ด่าว่าเธอก็มักจะคิดว่าตัวเองจะต้องไม่ใช่ ลูกแท้ๆของแม่อย่างแน่นอน แต่เพียงแค่ไม่นานเธอก็ จะปฏิเสธความคิดนี้ของเธอออกไปแล้ว
แม้กระทั่งเธอจะรู้สึกว่าทำไมเธอถึงคิดแบบนี้เสีย ด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นอย่างไรก็เป็นแม่ที่คลอดเธอเลี้ยงดู เธอมา
อีกทั้งตอนนั้นที่แต่งงานกับตระกูลเย่แทนเสิ่นโย่ว เสิ่นเฉียวก็สามารถเข้าใจได้ว่าคุณแม่เสิ่นก็ไม่หวังจะให้ลูกสาวทั้งสองคนต้องมีชีวิตที่พัง จึงรู้สึกว่าถึง อย่างไรเธอก็หย่าแล้ว ส่วนเสิ่นโย่วนั้นก็อายุยังน้อย จะให้เธอไปแต่งงานกับคนขาพิการ สู้ให้เสิ่นเฉียวที่ เพิ่งจะหย่าร้างนั้นไปแต่งงานแทนจะดีเสียกว่า แบบ นี้…ก็จะได้ไม่ขาดทุน
เสิ่นเฉียวจะไม่เข้าใจความคิดพวกเขาได้อย่างไร กัน ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกหมดกำลังใจ แต่ก็ยังยอม แต่งงานไปแล้ว
เพียงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เธอเองก็ รู้สึกสิ้นหวังอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ถึงแม้ว่าเธอจะทำทุกอย่างแทนเสิ่นโย่ว แต่พ่อแม่ ก็ยังคงไม่เห็นทุกอย่างที่เธอทำนี้อยู่ในสายตาอยู่ดี แม้ กระทั่งพวกเขารู้สึกว่าเธอเข้าหาแต่พวกผู้มีอำนาจ อิทธิพล สามารถเริ่มได้รับผลประโยชน์จากตัวเธอ แต่ กลับไม่เคยสนใจเลยว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ดีหรือเปล่า
ตอนนี้มีคนมาบอกเธอจริงๆแล้ว ว่าเธอไม่ใช่ ลูกสาวแท้ๆของตระกูลเสิ่นแล้ว
อีกทั้งซูจิ๋วยังบอกด้วยว่า คุณแม่เสิ่นเป็นคน ยอมรับออกมาจากปากของเธอเอง
แต่เสิ่นเฉียวมักจะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง เธอรู้สึก รับไม่ได้อยู่บ้างกับสถานะทางครอบครัวแบบนี้
เธอคิด….คิดอยากจะกลับไปถามแม่ ว่าสรุปแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เธออยากจะได้ยินแม่ยอมรับออกมาด้วยตัวเธอเองเธอถึงจะเชื่อ
ประกอบกับวันนี้เกิดเรื่องขึ้นมามากเหลือเกิน เธอ เพิ่งจะแตกหักกับเย่โม่เซิน ส่วนทางนี้สถานะของเธอก็ ถูกเปิดเผยออกมาอีก โลกทั้งหมดนั้นราวกับว่าถูกม้วน เข้าไปอยู่ด้วยกันอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่เวลาจะหายใจ เธอยังไม่มีเลยเสียด้วยซ้ำ
คิดมาถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวอดที่จะฝืนยิ้มออกมาไม่ ได้ ใครจะให้เวลาเธอหายใจได้บ้าง?
เธอลุกขึ้นมาเพื่อสำรวจไปรอบๆ จนสุดท้ายแล้ว สายตาของเธอก็หยุดมองอยู่ที่ร่างของผู้หญิงที่อยู่บน โปสเตอร์นั้น
คนๆนี้ คือแม่ของเธอจริงๆหรือ? ถึงแม้ว่าดวงตาจะ เหมือนเธอขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไรมันก็คือโปสเตอร์ คือรูปถ่าย และประกอบกับเวลาที่ผ่านไปนานขนาดนี้ แล้ว ระหว่างเธอก็ไม่ได้มีเวลาไปมาหาสู่กัน และตอนนี้ เอง….เห็นเขาแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ
ถ้าหากเป็นไปได้ เธอก็ยังคงหวังว่า….ตัวเองนั้น คือลูกสาวของตระกูลเสิ่นมากกว่า
หวังว่าคนของตระกูลหานจะเข้าใจผิด เธอไม่ได้
เป็นคุณหนูของตระกูลหานอะไรนั่น คิดได้เช่นนี้แล้ว เสิ่นเฉียวจึงยึดตัวขึ้นแล้วจะเดิน
ออกไปทางด้านนอก ไม่ได้ เธอต้องกลับไปที่บ้าน
ถึงแม้ว่าเธอจะแตกหักกันกับเย่โม่เซินแล้ว เธอก็ จะไม่หงอยเหงาเศร้าซึมอยู่แบบนี้ เธอจะต้องทำตัวเอง ให้สึกเหิมและเข้มแข็งขึ้น
ตอนที่เดินออกไปจากห้อง ไม่คิดว่าซูจิ่วจะยังเฝ้า อยู่ตรงประตูหน้าห้องในตำแหน่งไม่ไกล เมื่อเห็นว่าเธอ ออกมาแล้ว จึงยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา : “คุณหนูเสิ้น คุณ คิดทุกอย่างได้ชัดเจนหมดแล้วใช่ไหมคะ?”
“ฉันอยากกลับไปที่บ้านค่ะ” เสิ่นเฉียวเอ่ยขอร้อง ออกมา
ได้ยินแล้วนั้น ซูจิ๋วก็ตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากนั้น จึงพยักหน้าลง : “ถ้าอย่างนั้นฉันจัดรถไปส่งคุณให้นะ คะ”
เสิ่นเฉียวรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เดิมที่คิดว่าเธอยัง จะรั้งตัวเองเอาไว้เสียอีก ไม่คิดว่าเธอจะยอมให้ตัวเอง กลับไปแบบนี้ เสิ่นเฉียวมองเธออย่างรู้สึกขอบคุณ : “ขอบคุณนะคะ แต่ฉันกลับเองก็ได้ค่ะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ สภาพของคุณตอนนี้ ฉันไม่ สามารถให้คุณกลับไปได้เองหรอก คุณหนูเสิ่นจะไป ที่ไหนคะ ฉันจะให้คนขับรถไปส่ง ถ้าหากคุณปฏิเสธ คุณก็จะออกไปจากที่นี่ไม่ได้นะคะ เมื่อครูนี้ฉันคุยกับ คุณหานแล้ว คุณหานไม่ให้ฉันดึงตัวคุณหนูเสิ่นเอาไว้ ค่ะ”
ที่แท้ก็เป็นหานชิง..เสิ่นเฉียวพยักหน้า : “ถ้า อย่างนั้นก็ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
ซูจิ๋วยิ้มออกมาพลางเอ่ยขึ้น : “ไม่ต้องเกรงใจ หรอกค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันไปเป็นเพื่อนคุณหนูเสิ่นดี กว่า”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเพียงแค่อยากกลับบ้านไป เพื่อไปยืนยันให้แน่ใจ คุณไม่ต้องไปด้วยก็ได้ค่ะ”
“ก็ได้ค่ะ”
หลังจากที่เสิ่นเฉียวไปแล้วนั้น ซูจิ๋วจึงโทรหาหาน ชิง : “คุณหานคะ คุณหนูเสินออกไปแล้วนะคะ”
“อืม” เสียงของหานชิงทุ้มต่ำและเย็นชา ไม่ สามารถฟังออกถึงอารมณ์ที่ขึ้นลงใดๆ
ซูจิ๋วรู้สึกลังเล หลังจากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น : “จะ ต้อง…”
“ไม่จำเป็น เธอรู้เรื่องแล้ว อยากจะหาหลักฐานมา พิสูจน์ก็เป็นเรื่องปกติ”
“ถ้าอย่างนั้น….จะต้องไปรับเธอกลับมาหรือเปล่า คะ?”
“ไม่รีบ ดูเธอก่อนแล้วกัน” หานชิงชะงักไป แล้วจึง เอ่ยขึ้นมา : “ไม่ต้องบีบบังคับเธอ”
“ทราบแล้วค่ะคุณหาน แล้วเรื่องคุณหานเส่โยวล่ะ คะ? เธอยังอยู่ที่โรงพยาบาล อีกทั้งเดี๋ยวก็…”
“เธอยังได้รับบาดเจ็บอยู่ เก็บความลับนี้เอาไว้ก่อน รอให้เธอออกจากโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยบอกเธอ”
“ค่ะ ทราบแล้วค่ะ”
หลังจากที่วางสายไปแล้ว ซูจิ๋วรู้สึกซาบซึ้ง ถึง แม้ว่าภายนอกหานชิงจะดูเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่จริงๆแล้วเขากลับเป็นผู้ชายที่มีความคิดละเอียด รอบคอบเป็นอย่างมาก แม้ว่าหานเส่วจะแกล้งเขา แต่เขาก็ยังคงรักษาความสงบนิ่งของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากหานเส่โยวได้รับบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ อยากไปหาเธอตอนนี้เพื่อเผยความลับนี้ให้เธอรู้เพราะ กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับเธอ
แบบนี้จะเป็นการหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายต่างๆให้กับ ตัวเอง เป็นความคิดที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้จริงๆ กลางดึกที่เงียบสงัด รถลีมูซีนคันหนึ่งจอดลงอยู่
ตรงทางเข้า หลังจากที่เส้นเฉียวเอ่ยขอบคุณคนขับรถ
แล้วจึงเปิดประตูแล้วลงมาจากรถ คนขับรถยื่นหน้า
ออกมา : “คุณหนูครับ ผมรออยู่ตรงนี้นะครับ”
ได้ยินแล้วนั้น เสิ่นเฉียวจึงชะงักลง มองแววตา ของคนขับรถอย่างลังเล : “ขอบคุณนะคะคุณลุง แต่….ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณลุงกลับไปก่อนดีกว่า”
ว่าแล้วเธอก็หันกลับแล้วเดินเข้าไป หลังจากที่เดิน ไปซักระยะหนึ่งแล้ว เสิ่นเฉียวจึงหันกลับมา พบว่ารถ คันนั้นยังคงไม่ไปไหน เธออดที่จะถอนหายใจออกมา ไม่ได้ แต่กลับไม่ได้หันกลับไปมองอีก หลังจากนั้นจึง เดินเข้าไปในบ้านตระกูลเสิ่นทันที
ประตูไม่ได้ล็อคไฟในบ้านยังคงสว่างอยู่ ตอนที่เสิ่นเฉียวผลักประตูเข้าไป สามีภรรยาตระกูลเสิ่นกำ ลังนั่งกันอยู่ตรงโซฟาพอดี ได้ยินเสียงนั้นทั้งสองคน จึงลุกขึ้นยืนพร้อมกัน : “โย่วโย่ว กลับมา….”
เอ่ยขึ้นมาได้เพียงแค่ครึ่งเดียว หลังจากที่เห็นว่า เป็นเสิ่นเฉียวแล้วนั้น ทั้งสองคนจึงชะงักไป
เดิมที่คุณแม่เสิ่นคิดว่าเป็นเสิ่นโย่วกลับมา ไม่คิด ว่าจะเห็นเสิ่นเฉียวเดินเข้ามาแทน หลังจากที่เธอมอง ไปยังเสิ่นเฉียวแล้ว จึงอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ : “ทำไม เป็นแก?”
ได้ยินแล้ว เสิ่นเฉียวที่กำลังปิดประตูลงนั้นจึงรู้สึก ตัวแข็งที่อไปหมด หลังจากนั้นเธอจึงยิ้มออกมา : “ทำไมถึงจะเป็นหนูไม่ได้ล่ะคะ หรือหนูจะกลับมาบ้าน หลังนี้ไม่ได้แล้วหรือ?”
ได้ยินแล้ว คุณแม่เสิ่นจึงหรี่ตาลงด้วยความ สงสัย : “แกพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?”
คนตระกูลหานมาหาเธอถึงที่แล้ว วันนี้เสิ่นเฉียว เองก็กลับดูมีลับลมคมในอีก กลัวว่าจะสมรู้ร่วมคิดกัน เนื่องจากรู้เรื่องนี้แล้ว
คิดแล้วนั้น คุณแม่เสิ่นจึงทำเสียงฮึดฮัดออกมา หลังจากนั้นจึงยิ้มเยาะขึ้นมา : “แกจะกลับมาบ้านนี้ หรือเปล่าฉันไม่เคยจะว่าอะไรแกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้แก ยังคิดอยากจะกลับมาบ้านหลังนี้อีกอย่างนั้นหรือ? แก ทำใจได้หรือที่จะออกมาจากบ้านที่สวยหรูแบบนั้น ได้?”
แววตาของเสิ่นเฉียวสั่นไหวเล็กน้อย “พูดแบบนี้ แม่ยอมรับแล้วใช่ไหมคะ?” “ยอมรับอะไร? แกอยากจะพูดอะไรกันแน่? ตอนนี้
ยังจะกลับมาทำไมอีก?”