เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 625
บทที่ 625 ยังลวนลามไม่พอ
พนักงานไม่พูดอะไรต่อ เก็บเมนูกลับจากนั้นเดินออกไปเงียบๆ
ภายในห้องพิเศษยังคงอยู่ในความเงียบ แต่ความเงียบในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะอารมณ์ของเสี่ยวเหยียนเปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้หล่อนทั้งเขินอาย ตื่นเต้น แต่หลังจากที่หานชิงพูดเรื่องพวกนั้นออกมา หล่อนแค่รู้สึกว่าช่างขายหน้าและไร้ยางอายเหลือเกิน
เพราะหล่อนชอบหานชิงมากจริงๆ จึงอยากพยายามให้มากที่สุดเท่านั้น แต่ทำไม…เขาถึงไม่เปิดโอกาสให้หล่อนบ้างเลย?
หานชิงสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของหล่อน ทั้งสองต่างพากันนั่งเงียบ จนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะทีละจาน
เมื่อพนักงานนำเหล้าขาวมาวางลงบนโต๊ะ หานชิงเลิกคิ้วขึ้นทันที จากนั้นมองตรงไปที่เสี่ยวเหยียน
“คุณจะดื่ม?”
เสี่ยวเหยียนตกใจตะลึง จากนั้นพยักหน้าลง “ค่ะ…”
หานชิงนึกถึงสภาพตอนหล่อนดื่มจนเมาที่งานเลี้ยงครั้งก่อน เขาย่นคิ้วมากขึ้น “ห้ามดื่ม”
น้ำเสียงนี้ ราวกับกำลังออกคำสั่งหล่อน
ถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่พูดเรื่องพวกนั้น เสี่ยวเหยียนคงรู้สึกว่าเขาเป็นห่วงหล่อน แต่ตอนนี้ หล่อนกลับรู้สึกว่ากำลังโดนเยาะเย้ย
จากนั้นจึงพูดด้วยความคับแค้นใจ : “คุณหาน คุณไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย ฉันจะดื่มไม่ดื่ม ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับคุณหรอกใช่ไหม?”
หานชิง : “…”
แม่สาวคนนี้…
เขาเหลือบมองหล่อนอย่างเอือมระอา เม้มปากพูดขึ้น : “ถ้าเมาขึ้นมา ใครจะส่งเธอกลับบ้าน”
เสี่ยวเหยียน : “…”
หล่อนจ้องหานชิงอยู่สักพัก สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ก้มหน้าลงพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น : “สบายใจได้ ถึงตอนนั้นฉันจะโทรให้เพื่อนมารับฉันเอง คุณหานทานข้าวเสร็จก็กลับได้เลยค่ะ”
หล่อนคิดมากไปจริงๆ เขาเพียงแค่คิดว่าถ้าหล่อนดื่มจนเมาขึ้นมา เขาต้องลำบากไปส่งหล่อนอีก
แต่หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่?
ทันใดนั้นเสี่ยวเหยียนก็รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเป็นฝ่ายนัดเขาออกมาแท้ๆ แต่กลับทำขายหน้าเสียเอง
บรรยากาศภายในห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง เสี่ยวเหยียนรินเหล้าขาวลงในแก้วใบใหญ่ของตัวเอง อาหารยังไม่ทันลงท้อง กลับดื่มไปแล้วครึ่งแก้ว
ท่าทางอันห้าวหาญของหล่อนอยู่ในสายตาของหานชิง เขาหยุดชะงักทันที อยากจะห้ามหล่อนมาก
แต่เมื่อคิดถึงคำพูดที่เขาพูดกับหล่อน
เขาไม่ได้เป็นอะไรกับหล่อน ไม่มีสิทธิ์จะไปสั่งหล่อนให้ดื่มหรือไม่ให้ดื่มได้
คำพูดนี้ ถือเป็นเรื่องจริง
จากนั้นหานชิงจึงเงียบไป และไม่ได้จับตะเกียบอีกด้วย
เสี่ยวเหยียนไม่สนใจว่าเขาจะทานหรือไม่ทาน หลังจากที่ดื่มเหล้าขาวไปครึ่งแก้วก็เริ่มจับตะเกียบทานข้าวทันที เมื่อทานไปสักพักเห็นว่าหานชิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับนั่งอยู่เฉยๆ และคอยจ้องมองหล่อนอยู่ตลอด
หล่อนตะลึงไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้นหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดมุมปาก แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“คุณหาน คุณรีบทานหน่อยได้ไหมคะ แค่มองดูฉันทานคงไม่อิ่มหรอกค่ะ นี่ค่ะ”
หล่อนฝืนยิ้มตักอาหารให้หานชิง จากนั้นเริ่มทานต่อด้วยความรู้สึกขมขื่น
ไม่รู้ว่าระหว่างมื้ออาหารดื่มไปมากน้อยเท่าไหร่ เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่ายิ่งมึนหัวมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มจุกจนรู้สึกพะอืดพะอมไม่สบายตัว
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมา แทบจะมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัด
เห็นเพียงภาพอันเลือนรางของคนที่นั่งอยู่ เสี่ยวเหยียนพยายามตั้งสติ จากนั้นพูดขึ้น : “ฉะ…ฉันจะไปล้างหน้า”
จากนั้นยืนขึ้นมา เดินโซเซตรงไปด้านหน้า
หานชิงเลิกคิ้วขึ้น มองดูหญิงสาวที่เดินเซไม่ตรงทาง จนทนเห็นไม่ได้ ต้องเขาไปจับแขนหล่อนประคองขึ้นมา
“ดื่มไม่ได้ก็คือดื่มไม่ได้ ทำไมต้องก่อเรื่องวุ่นวายทุกครั้ง? ให้ผมคอยเก็บกวาดจัดการเรื่องแย่ๆพวกนี้ ภูมิใจมากนักเหรอ?”
เสียงอันดุดันของชายหนุ่มดังขึ้นจากด้านบน เสี่ยวเหยียนยังคงไม่ค่อยมีสติ แต่รู้ว่านี่เป็นเสียงของใคร จากนั้นหล่อนสะบัดมือของเขาออก: “ไม่ต้องสนใจฉัน”
“คุณคิดว่าผมอยากสนใจเหรอ?” หานชิงดึงข้อมือหล่อนกลับมา “ถ้าผมไม่ได้มากับคุณ ผมก็ขี้เกียจจะสนใจคุณ”
เสี่ยวเหยียนพูดด้วยความโมโห : “งั้นคุณก็ไม่ต้องสนใจฉันไง เมื่อครู่ฉันก็บอกไปแล้ว ฉันดื่มเมาแล้วเรียกเพื่อนมารับเอง ทำไมคุณยังอยู่ตรงนี้ล่ะ? รีบไปสิ”
เสี่ยวเหยียนผลักเขาออก หานชิงไม่ทันตั้งตัว ถูกหล่อนผลักไปข้างหน้าสองสามก้าว
เขาเริ่มโมโหขึ้นมา เดินเข้าไปพูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น : “จะเรียกเพื่อนที่ไหนอีก? ออกไปตอนนี้ ผมไปส่งคุณกลับบ้านเอง”
“ไม่ต้อง” เสี่ยวเหยียนจ้องหน้าเขา : “คุณอย่ามาอยู่กับฉันอีก ตอนนี้ฉันเมาแล้ว ถ้าคุณอยากจะอยู่กับฉัน ฉันไม่รับประกันนะว่าฉันจะทำอะไรคุณบ้าง”
เมื่อพูดจบ เสี่ยวเหยียนหันไปมองริมฝีปากอันเรียวบางของหานชิง จากนั้นเลียริมฝีปากของตัวเองด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ
หานชิง : “…”
เขามองผู้หญิงที่ตัวเล็กเท่าอกของเขาด้วยความปวดหัว สาวน้อยดื้อด้าน เขาหมดหนทางกับหล่อนจริงๆ
“หยุดพูดได้แล้ว ผมไปส่งคุณที่บ้านก่อน กลับไปแล้วอยากจะบ้าก็บ้าให้พอใจนะ”
หานชิงวางแผนไว้ว่าถ้าหล่อนไม่ฟัง เขาก็จะอุ้มหล่อนไปทันที ใครจะไปคิดว่าเขาเพิ่งจะก้มตัวลง เสี่ยวเหยียนก็เขยิบเข้ามาใกล้ โอบคอเขาไว้และบรรจงจูบลงที่ปากของเขา
ริมฝีปากทั้งสี่ประกบเข้าหากัน หานชิงยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม คิดไม่ถึงว่าจะถูกหล่อนขโมยจูบอีก
เสี่ยวเหยียนจูบเขาอย่างดูดดื่ม พูดด้วยความโมโห : “ฉันเคยบอกแล้วไง ถ้าคุณเข้ามาใกล้ ฉันก็จะลวนลามคุณทันที จะไปหรือไม่ไป?”
หานชิงจับปากของตัวเอง มองคนตรงหน้าด้วยความเหลือทน
“ตอนนี้จูบเสร็จแล้ว ไปได้แล้ว?”
เสี่ยวเหยียนกระพริบตาถี่
“ไม่ได้สิ ฉันยังลวนลามไม่พอ!”
หล่อนยังกล้าจูบเขาอีกรอบหนึ่ง หานชิงเลิกคิ้วขึ้นพยายามหลีกตัวออกไม่ให้หล่อนแตะต้อง แต่เสี่ยวเหยียนกลับหันไปอีกข้าง จากนั้นหันไปจูบตรงลำคอของเขา
ซึ่งเป็นที่ขนานนามกันว่าเป็นจุดที่ผู้ชายอ่อนไหวที่สุด วันนี้หล่อนจึงอยากลอง ยังไงวันนี้หล่อนก็ขายหน้าจนไม่เหลืออะไรแล้ว หล่อนไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอีกต่อไป
ตามที่คาดไว้ เมื่อหล่อนจูบลงที่ลำคอของเขาเบาๆ ได้ยินเสียงอ่อนระทวยดังขึ้นจากเขา มือที่จับแขนของหล่อนอยู่สั่นคลอนทันที
หรือว่าวิธีได้ผลจริงๆ?
เสี่ยวเหยียนแอบดีใจ จากนั้นตวัดลิ้นเลียปาก หานชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นผลักหล่อนออกไปทันที
เมื่อเสี่ยวเหยียนเงยหน้าขึ้นมา เห็นหูของเขาแดงฉาด แต่หล่อนกลับกระโดดเข้าหาเขาอย่างไม่สนใจอะไร กอดคอเข้าไว้แน่น ขาทั้งสองข้างโอบเอวของเขาไว้
“ฉันไม่สนว่าคุณจะพูดอะไร เพราะถึงยังไงฉันชอบคุณแล้ว เรื่องที่คุณบอกฉันเมื่อครั้งที่แล้วฉันจำได้ทั้งหมด แล้วยังไงต่อล่ะ? ฉันก็จะบอกคุณให้ ฉันไม่ได้สารภาพรักกับคุณ ดังนั้นที่คุณปฏิเสธถือว่าไม่มีผลอะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เสี่ยวเหยียนดื้อดึงเอาแต่ใจเหมือนคนบ้า เมื่อพูดจบก็บรรจงจูบไปที่หน้าของเขาอย่างเร่าร้อน ถ้าเพียงแค่จูบปาก หานชิงยังพอหลบได้ แต่เสี่ยวเหยียนกลับจูบมั่วไปทั่วทั้งหน้า เขาไม่มีทางหลบหลีกได้จริงๆ
ทันใดนั้นพนักงานเดินเข้ามาหยิบของพอดี เมื่อเดินเข้ามาเห็นฉากนี้ หล่อนหน้าแดงและเดินออกไปทันที
หานชิงออกแรงอยู่นานจึงจะผลักตัวหล่อนที่เกาะเป็นปลิงออกมาได้ และโยนหล่อนลงไปที่โซฟาด้านข้าง พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เป็นผู้หญิง ควรสำรวมกิริยามารยาทไม่ใช่หรือไง? ทั้งจูบทั้งกอดผู้ชายแบบ คือสิ่งที่เธอชอบ?”
เสี่ยวเหยียน : “…”
“คุณคิดว่า ลวนลามผมแบบนี้ต่อไป แล้วจะทำให้ผมหลงใหลคุณงั้นเหรอ?”
“เปล่า!” เสี่ยวเหยียนตาแดง ลุกขึ้นยืนพูดเสียงดัง: “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย และฉันก็ไม่ได้มั่นใจจะอวดดีขนาดนั้น แต่ฉันอยากเจอคุณนี่นา ฉันอยากทำแค่นี้จริงๆ…”