เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 744
บทที่ 744 นี่ไม่ใช่เรื่องสมมุติ มันคือเรื่องจริง
ที่โรงแรม
หานมู่จื่อใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงอย่างจริงจังในการอาบน้ำ สระผม จัดการตัวเองให้สะอาดสะอ้าน สดชื่นมีชีวิตชีวา
เพราะกลัวว่าเครื่องสำอางจะเละเทะอีก ดังนั้นหลังจากอาบน้ำแล้วเธอก็ไม่ได้แต่งหน้าอีก
แต่ต่อให้เธออยากแต่ง ก็แต่งไม่ได้
เพราะออกเดินทางด้วยความเร่งรีบ ตอนนั้นเธอจึงไม่ได้เตรียมเครื่องสำอางอะไรมาเลย
ขนาดซูจิ่วบอกเธอว่ามีเวลายี่สิบนาทีในการเตรียมตัว แต่หลังจากที่เธอหยิบกระเป๋าเดินทางออกมา ก็จับเสื้อผ้าหลายชิ้นยัดเข้าไป เวลาที่เหลือ……
ดูเหมือนจะใช้ตอนที่เฝ้ารออยู่ที่ประตู
ท่าทางแบบนี้ ก็เหมือนผีเข้า
หานมู่จื่อยืนเหม่ออยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ พอได้สติ ก็ยื่นมือออกมาตีหน้าตนเองเบาๆ
จากนั้น ท่าทางของเธอหยุดชะงักไปเล็กน้อย ไม่นานก็เปลี่ยนอิริยาบถ กลายเป็นสองมือทำท่าเหมือนคีมคีบ จากนั้นก็หนีบที่หน้าของตนเอง
“ฟิ้ว——”
หานมู่จื่อเจ็บจนต้องสูดอากาศเย็นเยือกเข้าไป ไม่นานก็เห็นใบหน้าตนเองใจกระจก เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาในทันที
เจ็บมาก
คือเรื่องจริง
ไม่ใช่เรื่องสมมุติ
แม้ว่าจะเจ็บแผลจนเธอต้องสูดลมหายใจเฮือก แต่ครั้งนี้เห็นใบหน้าที่แดงแบบนั้น มุมปากของหานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
หานชิงส่งข้อความมาในวีแชทของเธอ ให้เธอนอนพักสักสองสามชั่วโมงก่อน แล้วจะพาเธอไปพบเย่โม่เซิน
หานมู่จื่อคิดทบทวนดูแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ตอบไปคำเดียวว่าค่ะ จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปพักผ่อน
เธอเองก็เหน็ดเหนื่อยแน่นอนแล้ว พยายามฝืนตัวตั้งสติอยู่นานขนาดนั้น ตัวเธอเองไม่เท่าไหร่ แต่เป็นเพราะว่าตั้งท้องอยู่ ดูเหมือนว่าเด็กน้อยที่อยู่ในท้องเธอนั้นกำลังต่อต้าน บอกว่าตนเองต้องการพักผ่อน
หานมู่จื่อจึงนอนหลับ มารู้ตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่ซูจิ่วมาเคาะประตูที่หน้าห้อง
“คุณหนูมู่จื่อ พวกเรายังมีเวลาอีกประมาณสิบนาทีจะออกเดินทางค่ะ”
“ได้”
หานมู่จื่อรีบไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ทะมัดทะแมง ผมยังไม่ทันได้มัด ก็ตามซูจิ่วออกจากห้องไป
ตอนที่หารชิงเห็นเธอ ก็อึ้งไปเล็กน้อย
ความจริงแล้วน้องสาวของตนคนนี้น้อยมากที่จะปล่อยผมยาวสยาย แต่ให้จะรีบร้อนอย่างไรก็จะมวยผมไว้ด้านหลัง
แต่ว่าตอนนี้ เธอกลับปล่อยผมพลิ้วยาวสยาย ลงมาปรกใบหน้าครึ่งหนึ่ง ยิ่งทำให้ดูผอมดูตัวเล็กขึ้นอีก
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่าทางแบบนี้เหมือนคุณแม่ตอนยังสาวมากๆ เหมือนเป็นพิเศษ
เห็นหานมู่จื่อในสภาพนี้ หานชิงก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
จนกระทั่งเธอเดินมาถึงตรงหน้าตน เรียกเขาว่าพี่ หานชิงจึงได้สติกลับมา
เพราะนึกถึงแม่ที่จากไปก่อนเวลาอันควร หานชิงก็รู้สึกหดหู่ ส่งเสียงอืมออกมาหนึ่งครั้ง น้ำเสียงค่อนข้างเคร่งเครียด
หลังจากขึ้นรถแล้ว หานมู่จื่อก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนคะ”
ตอนที่ออกมาเธอดูเวลา ตอนนี้ดึกมากแล้ว
ซูจิ่วที่นั่งข้างคนขับ ได้ยินแล้วก็หันมาส่งยิ้ม“ถึงแล้วคุณหนูมู่จื่อก็จะรู้เองค่ะ”
หานมู่จื่อ“……”
เธอรู้สึกว่า เหมือนมีบางเรื่องที่ตนเองไม่รู้
แต่ว่าอีกไม่นานก็จะได้พบเย่โม่เซินแล้ว หานมู่จื่อก็เลยคิดว่า ข้อสงสัยเหล่านี้รอให้พบเย่โม่เซินแล้วทุกอย่างก็จะกระจ่างชัดเอง
ไม่รู้ว่ารถขับมานานแค่ไหนแล้ว หานชิงที่นั่งอยู่ข้างเธอจู่ๆก็เอ่ยปากถามว่า
“พี่มีเรื่องจะถาม”
หานมู่จื่อมองเขา“อะไรคะ”
หานชิงไม่ได้หันหน้ามา ดวงตามองไกลออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากบางเม้มแน่น ไม่ได้เอ่ยออกมาในทันที
พักใหญ่ หานชิงจึงเอ่ยปาก
“สมมุตินะ ว่าเจอตัวเขาแล้ว แต่เขากลับจำเธอไม่ได้แล้ว ต่อไปน้องจะทำอย่างไร”
หานมู่จื่อ“???”
พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร อะไรที่บอกว่าเจอเย่โม่เซิน แต่เขากลับจำตนเองไม่ได้
“พี่ ฉัน……ไม่เข้าใจที่พี่พูด อะไรที่ว่าไม่รู้จักฉันคะ เย่โม่เซินทำไมจะไม่รู้จักฉัน”
หานชิงหันกลับมา สายตาทอดมองมาที่ใบหน้าของเธอ
“ก็แค่สมมุติ”
หานมู่จื่อสีหน้าเจื่อนเล็กน้อย ไม่ได้ตอบเขา ราวกับว่ารับไม่ได้กับคำถามนี้
เธอที่เป็นแบบนี้ ทำให้หานชิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเย็นว่า“พี่แค่พูดถึงสมมุติ เธอก็รับไม่ได้แล้วเหรอ แล้วถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงล่ะ”
“ไม่!”
หานมู่จื่อส่ายหน้าอย่างแรง โต้แย้งแทนเย่โม่เซินอย่างเต็มที่
“นี่มันเป็นไปไม่ได้ สมมุติก็คือสมมุติ ไม่มีทางเป็นเรื่องจริง โม่เซินจะไม่รู้จักฉันได้ยังไง พี่ อย่าล้อเล่นนะคะ”
พูดจบ เธอก็หันหน้าหนีอย่างไม่พอใจ ไม่อยากสนใจหานชิงอีก
หานชิงเม้มริมฝีปากบาง“ถ้าพี่บอกว่า พี่ไม่ได้ล้อเล่นล่ะ”
หานมู่จื่อหันหน้ากลับมา เบิกตาโพลงสบตามองหานชิง
ซูจิ่วที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความไม่สบายใจที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศ แต่หล่อนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศดี
ในเมื่อสิ่งที่หานชิงพูด เป็นความจริง
และพวกเขา ก็กำลังจะไปพิสูจน์เรื่องนี้ในไม่ช้านี้แล้ว ตอนนี้หากไปพูดถึงเรื่องอื่น ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์
“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ เมื่อกี้ที่พูดไม่ได้สมมุติ แต่เป็นเรื่องจริง”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสียงของหานชิงก็ดังขึ้นภายในรถอีกครั้ง
ซูจิ่วเหมือนกับได้กลิ่นไอของความโศกเศร้าอยู่ในอากาศ มองผ่านกระจกมองหลังเห็นสีหน้านิ่งไร้ความรู้สุขของหานมู่จื่อ แต่ขอบตากลับแดง
เธอรู้ว่าหานชิงไม่มีทางโกหกเธอ ตั้งแต่ที่เขาเริ่มบอกว่าเป็นเรื่องสมมุติ หานมู่จื่อก็ระแคะระคายแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่คิดไม่ถึงว่า….จะเป็นเรื่องจริง
เธอมองหานชิงด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงสมเพชตัวเองเล็กน้อย“ดังนั้น ที่พวกคุณสงสัย ก็คือเรื่องนี้”
หานชิงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ซูจิ่วที่อยู่ด้านหน้าจึงต้องเป็นคนตอบว่า
“คุณหนูมู่จื่อ พวกเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังคุณนะคะ แต่แค่พวกเราตอนที่พวกเรารู้เรื่องนี้ก็สงสัยจริงๆ ดังนั้น…จึงคิดว่าจะให้คุณมู่จื่อมาดูด้วยตนเอง รอให้คุณพบคุณชายเย่ ก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเอง”
“อย่างนั้นตอนนี้พวกเรา……จะไปพบเขาที่ไหน”หานมู่จื่อไม่รู้ว่าตนเองใช่เวลานานแค่ไหนที่จะรับรู้เรื่องนี้ ได้แค่ถามไปตามสัญชาตญาณ
ซูจิ่วมองจีพีเอส ถอนหายใจ“กำลังจะถึงแล้วค่ะ”
ไม่กี่นาที รถก็มาจอดที่ด้านหน้าอาคารสูงตระหง่าน อาคารสูงตระหง่านแบบนี้หานมู่จื่อเคยเห็นมาไม่น้อยตอนใช้ชีวิตที่อยู่ต่างประเทศ มองแวบเดียวก็จำได้
“นี่……นี่คือ……”
“นี่คือบริษัทตระกูลยู่ฉือที่มีชื่อเสียงระดับโลกของประเทศA”ซูจิ่วเอ่ยต่อจากเธอ ค่อยๆมองไปยังหานมู่จื่อ“คนของพวกเรา พบคุณชายเย่ที่นี่ ดังนั้น….ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ฉันก็ให้คนสืบหาข้อมูลมาแล้ว”
ซูจิ่วเปิดกระเป๋าเอกสาร ส่งเอกสารชุดหนึ่งให้หานมู่จื่อ
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากล่าง รับเอกสารไป แต่กลับไม่เปิดดู
“ตอนแรก พวกเราไม่รู้ว่าทำไมคุณชายเย่ถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ได้ แต่ต่อมา….พวกเราพบว่าส้งอานน้าของคุณชายเย่ ความจริงก็คือยู่ฉืออานลูกสาวคนเล็กของตระกูลยู่ฉือ และพี่สาวของหล่อน ก็คือส้งซินแม่ของคุณชายเย่ ชื่อเดิมก็คือยู่ฉือซิน ทั้งสองคนพี่น้องเป็นสองคนพี่น้องตระกูลยู่ฉือที่สวยสะดุดตาในตอนนั้น แต่ทำไม….ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อแซ่จากตระกูลยู่ฉือมาที่เมืองเป่ย ข้อนี้พวกเราก็ยังไม่มีคำตอบค่ะ”