เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 754
บทที่754 ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก
หานมู่จื่อรู้ดี ว่างานนักออกแบบของเธอจะทำให้เธอถูกวิจารณ์
ใครจะคิดว่านักออกแบบคนหนึ่งจะมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยเลขาล่ะ
ดังนั้นตอนที่เธอกรอกใบสมัครงาน เธอจึงเขียนแค่ว่าตัวเองมีประสบการณ์ด้านการออกแบบอยู่ช่วงหนึ่ง และผลงานออกแบบของเธอ เธอใช้ชื่อภาษาอังกฤษ
แต่ครั้งนี้เธอเขียนเป็นภาษาจีน ชื่อภาษาอังกฤษเธอก็แต่งขึ้นมามั่วๆ
หานมู่จื่อยิ้มบาง “ขอพูดตามจริงนะคะ เดิมทีดิฉันตั้งใจจะสมัครงานเป็นนักออกแบบค่ะ แต่ว่าทางบริษัทไม่เปิดรับพนักงานด้านนี้เพิ่มแล้ว อีกอย่าง… ก่อนหน้านี้ดิฉันก็เคยทำงานด้านการออกแบบแค่ช่วงสั้นๆ ไม่มีประสบการณ์มากพอ ก็เลยไม่กล้าสมัครตำแหน่งนักออกแบบ ก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นตำแหน่งใหม่ มาสมัครงานตำแหน่งผู้ช่วยเลขาแบบนี้ค่ะ”
ไอ้หัวล้านรู้สึกสนใจคำพูดของเธอมาก “อ๋อ คุณหมายความว่า ที่จริงแล้วคุณพุ่งเป้าหมายไปทางด้านนักออกแบบมากกว่าอย่างนั้นเหรอครับ”
หานมู่จื่อพยักหน้ารับ
“ใช่ค่ะ บริษัทของตระกูลยู่ฉือถึงแม้จะครอบคลุมทุกวงจร แต่งานด้านการออกแบบจะโดดเด่นที่สุด”
หานมู่จื่อยกตัวอย่างผลงานการออกแบบของบริษัทที่สร้างชื่อเสียงในงานแฟชั่นวีคขึ้นมา แล้วยังบอกด้วยว่าตัวเองชื่นชอบนักออกแบบท่านนี้มาก
พอพูดถึงช่วงสุดท้าย หานมู่จื่อก็ถอนหายใจออกมา
“น่าเสียดายที่ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีโอกาสทำความรู้จักกับนักออกแบบที่มีความสามารถโดดเด่นท่านนี้ ถ้าหาก… ให้ฉันได้เจอเขาสักครั้ง ได้ลายเซ็นของเขา แค่นี้ก็พอแล้ว”
ผู้หญิงใส่ชุดสูท “…”
ไอ้หัวล้านกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะมองไปที่ผู้หญิงใส่ชุดสูทด้านข้าง “นักออกแบบที่เธอกำลังพูดถึง ดูเหมือนจะเป็นคุณนี่นา”
“ฮ๊ะ” หานมู่จื่อตกตะลึง “คุณคือนักออกแบบคนนั้นจริงๆเหรอคะ”
ผู้หญิงใส่ชุดสูทที่ก่อนหน้านี้ดูไม่ชอบหานมู่จื่อ ตอนนี้กลับทำตัวไม่ถูก เดิมทีเธอไม่ชอบอีกฝ่ายมาก เพราะช่วงนี้คนที่มาสมัครงานจะมาเพราะยู่ฉือเซิน แต่ตอนตอนนี้กลับมีแฟนคลับของเธอโผล่ออกมา
และแฟนคลับคนนี้ยังไม่รู้จักเธอ แต่กลับแสดงท่าทางชื่นชอบและนับถือเธอต่อหน้าเธออีกต่างหาก
หานมู่จื่อขยับตัวอย่างรวดเร็ว เธอรีบเปิดกระเป๋าออก แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยุดมือไป
ผู้หญิงใส่ชุดสูทที่จ้องมองการกระทําของเธออยู่รีบพูดขึ้น “เธอจะทำอะไรของเธอ”
หานมู่จื่อยกยิ้ม “ฉันอยากขอลายเซ็นคุณหลังจากสัมภาษณ์งานเสร็จจะได้ไหมคะ ฉันชื่นชอบผลงานออกแบบของคุณมากจริงๆ”
คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง
เธอชื่นชอบผลงานของผู้หญิงใส่ชุดสูทคนนี้จริงๆ ตอนที่เธอเห็นเป็นครั้งแรก เธอก็รู้สึกชื่นชอบมาก แล้วยังค้นหาข้อมูล ทั้งผลงานที่ผ่านมาและทำความรู้จักเธอด้วย
ที่จริงแล้วหานมู่จื่อเตรียมข้อมูลมาอย่างดี ในเมื่อเธอตั้งใจจะใช้แผนการนี้ เธอก็จะต้องไม่ปล่อยให้ความหวังนี้หลุดมือไปได้
“ฉันคิดว่าเธอจะขอลายเซ็นตอนนี้เลยซะอีก”
หานมู่จื่อส่ายหน้า “ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉันลืมตัวไปเลย ว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย ต้องขอโทษทุกท่านด้วยนะคะ แต่ว่า… ดิฉันชื่นชอบการออกแบบมากจริงๆ ได้โปรดให้โอกาสดิฉันได้ฝึกฝนจะได้ไหมคะ”
ไอ้หัวล้านปิดเรซูเม่ของเธอลง
และหญิงวัยกลางคนด้านขวาที่นั่งเงียบมาตลอด เริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เธอเปิดเรซูเม่ขึ้นมาดู ก่อนจะถาม “คุณคิดว่าความสำคัญของหน้าที่ผู้ช่วยเลขาอยู่ตรงไหน”
ความสำคัญของหน้าที่ผู้ช่วยเลขาอย่างนั้นเหรอ
หานมู่จื่อคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามนี้ เธอพลิกความคิดทั้งหมดในสมอง ก่อนจะพูดออกมาตามที่คิด
“ที่จริงแล้ว… ฉันคิดว่าความสำคัญของหน้าที่ผู้ช่วยเลขามีไม่มากค่ะ”
“เป็นตำแหน่งที่ไม่ถึงขั้นว่าไม่มีไม่ได้ แค่ว่าในบางครั้ง เรื่องหลายๆเรื่องต้องมีคนเข้ามาช่วยเพิ่มหนึ่งคนถึงจะทำได้สำเร็จก็เท่านั้นเอง”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หญิงวัยกลางคนปิดเอกสารเรซูเม่ของเธอลง ก่อนจะเลื่อนไปไว้ด้านข้าง
หานมู่จื่อชะงักไปเล็กน้อย เธอเม้มปาก ไม่รู้ว่าคำตอบของเธอจะเหมาะสมกับความต้องการของอีกฝ่ายหรือเปล่า
ตำแหน่งของคนคนนี้เธอรู้อยู่แล้ว อีกฝ่ายเป็นเลขาของประธานบริษัท และเป็นเลขามานานหลายปีแล้ว ถึงแม้จะพูดว่าเป็นแค่เลขา แต่อีกฝ่ายได้รับความไว้วางใจจากยู่ฉือจินมาก เป็นคนที่มีอำนาจในการพูด
การสมัครผู้ช่วยเลขาในครั้งนี้ ก็เป็นข้อเสนอที่เธอพูดขึ้นมาเอง
สาเหตุเป็นเพราะว่า เธออายุมากแล้ว มีหลายเรื่องที่กำลังไม่เพียงพอที่จะทำ
คนแบบนี้ ต้องไม่ชอบให้มีคนมาแย่งความโดดเด่นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น… หน้าตา หรือว่าความสามารถด้านการทำงาน
ดังนั้นหานมู่จื่อจึงต้องพูดถ่อมตน เพื่อลดการมีตัวตนของตัวเองลง
หวังว่า… คงจะสำเร็จนะ
“เอาล่ะ จบการสัมภาษณ์ คุณออกไปได้”
หานมู่จื่อพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกไป เธอหันกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้าผู้หญิงใส่ชุดสูท แล้วพูด “ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ”
ผู้หญิงใส่ชุดสูทหยิบสมุดโน้ตมาจากมือเธอ ก่อนจะกระแอมเบาๆ แล้วเซ็นลายเซ็นของตัวเองลงไปในสมุดโน้ต
หานมู่จื่อรับสมุดโน้ตกลับมากอดไว้ แล้วเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่เธอออกไปแล้ว ไอ้หัวล้านก็มองไปทางผู้หญิงใส่ชุดสูท แล้วกระแอมออกมา “คนนี้ร้ายกาจมาก ที่สามารถเอาชนะใจคุณได้”
“เอาชนะใจอะไรกัน” ผู้หญิงใส่ชุดสูทได้ยินแล้วเริ่มไม่พอใจ “คุณจะบอกว่าเธอแสดงละครว่าเป็นแฟนคลับของฉันอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเธอถึงไม่แสดงละครว่าเป็นแฟนคลับของคุณแทนล่ะ”
ไอ้หัวล้านทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “มีใครไม่รู้ว่าคุณเฉียวซือเออเย่อหยิ่งและเอาชนะยากแค่ไหน คนที่มาสัมภาษณ์งานก่อนหน้านี้ถูกคุณด่าจนร้องไห้ไปกี่คน คุณไม่รู้หรือไง”
เฉียวซือเออ “… คุณอย่ามาพูดบ้าๆ แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ร้องไห้ อีกอย่าง ถ้าเธอไม่ใช่แฟนคลับของฉัน เธอจะรู้จักผลงานของฉันได้ยังไงกัน คุณพูดแบบนี้ เพราะคุณอิจฉาฉันล่ะสิ”
หญิงวัยกลางคนอีกคนได้ยินทั้งสองคนทะเลาะกัน จึงยิ้มออกมา “เธอร้ายกาจจริงๆนั่นแหละ เพราะสามารถทำให้พวกคุณสองคนทะเลาะกันได้แบบนี้”
หานมู่จื่ออยู่ในห้องสัมภาษณ์ได้สิบกว่านาทีเต็มๆ
ตอนที่เดินออกมา คนที่นั่งรอสัมภาษณ์อยู่ข้างนอกต่างพากันตกตะลึง
“โอ้โห เธอเข้าไปนานจัง กรรมการสัมภาษณ์งานเป็นยังไงบ้าง ดุไหม”
เพราะเธอเป็นคนเดียวที่แตกต่างกับคนอื่น ทำให้พอหานมู่จื่อเดินออกมา ก็ถูกคนที่เหลือเดินเข้ามาล้อม หานมู่จื่อชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเก็บอาการ แล้วพูดออกมาเสียงเรียบ “ก็พอได้นะ”
“พวกเขาถามอะไรบ้างเหรอ ทำไมคนอื่นถึงเข้าไปไม่ถึงสองนาทีก็ออกมา แต่เธอกลับอยู่ในนั้นตั้งสิบกว่านาที”
หานมู่จื่อกระพริบตาปริบๆ “อย่ากังวลใจเลย เดี๋ยวก็ถึงคิวพวกเธอแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะรู้เองว่ากรรมการสัมภาษณ์งานถามอะไรบ้าง”
ทุกคน “…”
ทุกคนมองออกว่าหานมู่จื่อไม่อยากจะพูด พวกเธอจึงไม่บังคับ ก่อนจะพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค ก็แค่สิบนาที ทำเป็นได้ใจไปได้ ก่อนจะแยกย้ายกันไป
หลัวลี่เดินมาคล้องแขนเธอไว้ “สัมภาษณ์งานเสร็จแล้วใช่ไหม พวกเรากลับกันเถอะ”
หานมู่จื่อ “เธอรอฉันอยู่เหรอ”
หลัวลี่พยักหน้า
“รอฉันทำไมกัน”
หญิงสาวคนนี้ เป็นอะไรกันแน่
“รอกลับพร้อมกับเธอไง”
เธอไม่มีท่าทางอึดอัดใจอะไรเลย แต่สักพักเธอก็นึกขึ้นได้ “อ๊ะ หรือว่าเธอจะไม่สะดวก งั้น… พวกเราลงไปข้างล่างพร้อมกันได้ไหม”
หานมู่จื่อตอบปฏิเสธไป “ไม่ล่ะ ก่อนหน้านี้ฉันยืนจนเหนื่อย อยากจะนั่งพักสักหน่อย เธอกลับไปก่อนเถอะ”
หลัวลี่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้ “งั้นก็ได้ ฉันไปก่อนนะ ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก”
“อืม ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก”