เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 805
บทที่805 สัมผัสที่ใกล้ชิด
สัมผัสที่ใกล้ชิดงั้นเหรอ?
นอกจากเมื่อตอนกลางวันครั้งนั้น ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยสัมผัสอย่างใกล้ชิดเลย
หานมู่จื่อก็เก้อเขินที่จะพูดตรงๆ ก็เลยพูดไปลวกๆ พอซูจิ่วได้ยินแบบนั้นก็ถามออกมา “ถ้ายังงั้นตอนนั้นคุณรู้สึกว่าเขามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเป็นพิเศษไหมคะ? ”
เปลี่ยนแปลงไปเป็นพิเศษงั้นเหรอ?
วันนั้นหานมู่จื่อตื่นเต้นมาก เธอผลักเขาออกโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นก็ถูกเขาควบคุมอย่างเอาแต่ใจ ตอนนั้นเธอรู้สึกเขินมาก จะมีกะจิตกะใจอะไรไปคาดเดาว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?
ตอนนี้พอซูจิ่วเตือน หานมู่จื่อถึงได้รู้ตัว ว่าตัวเองควรจะสังเกตเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบสนองของเขาด้วย
“หรือว่าคุณลองย้อนกลับไปคิดดู? ตอนนั้นเขามีท่าทางอะไรเป็นพิเศษไหม? ”
หานมู่จื่อเม้มปาก พยายามคิดกลับไปอย่างละเอียด ตอนนั้นเหมือนกับว่าเธอรู้สึกได้ว่าการกระทำของเย่โม่เซินหยุดลงชั่วขณะ เธอถึงได้มีโอกาสที่ผลักเขาออก
ที่แท้……มันมีอะไรล้ำลึกยังงั้นเหรอ?
พอคิดได้แบบนี้ หานมู่จื่อก็ขมวดคิ้ว “ฉันรู้สึกว่าน่าจะมีนะ”
“ถ้ายังงั้นก็ถูกแล้ว”ซูจิ่วหัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้าเกิดว่าสัมผัสที่ใกล้ชิดจะสามารถกระตุ้นเขาได้ ถ้ายังงั้นฉันก็แนะนำให้สัมผัสกันเยอะๆ นะคะ”
หานมู่จื่อ :“……”
ซูจิ่วคนนี้ต้องมีพิษแน่ๆ ไม่ยังงั้นทำไมเธอถึงสัมผัสได้ถึงการหยอกล้อในคำพูดของซูจิ่วล่ะ?
หานมู่จื่ออดถามไม่ได้ “เลขาซู แบบนี้มันดีจริงๆ เหรอ? ”
“ทำไมล่ะ? ถ้าเกิดว่าไม่เกิดอุบัติเหตุ พวกคุณทั้งสองคนก็จะเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกหลักทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างตามที่คุณพูดมา ในเมื่อคุณชายเย่ยอมสัมผัสอย่างสนิทสนมกับคุณ นั่นก็แปลว่าเขาก็แค่จำเรื่องราวไม่ได้ แต่การกระทำหลายอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณ ถ้าเกิดว่าการสัมผัสใกล้ชิดสามารถกระตุ้นเขาได้ล่ะก็ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอคะ? อาจทำให้ความสัมพันธ์ของพวกคุณร้อนแรงขึ้น แล้วก็สามารถเรียกคืนความทรงจำของอีกฝ่ายได้ด้วย แล้วทำไมจะไม่ทำล่ะคะ? ”
ที่เธอพูดมันก็สมเหตุสมผล เธอไม่มีอะไรที่จะไปโต้เถียงได้เลย
หลังจากวางสาย หานมู่จื่อก็ถอนหายใจออกมา
หรือว่า……ต่อจากนี้เธอต้องสัมผัสอย่างสนิทสนมกับเย่โม่เซินให้มากขึ้นงั้นเหรอ? สัมผัสยังไง? พุ่งเข้าไปจูบเขาอย่างเอาแต่ใจเหมือนกับเสี่ยวเหยียนยังงั้นเหรอ??
แค่นึกถึงภาพนั้น หานมู่จื่อก็ส่ายหัวทันที เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้
เฮ้อ ช่างเป็นเรื่องแย่ๆ ที่กวนใจอย่างมาก
*
ตระกูลยู่ฉือ
“คุณปู่ยู่ฉือ ช่วงนี้งานที่บริษัทพี่เซินยุ่งมากเลยเหรอคะ? ทำไมถึงยุ่งจนป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก? เขาพึ่งหายจากอาการป่วยหนัก ทุ่มเททำงานขนาดนี้ร่างกายจะรับไม่ไหวรึเปล่า? ”
พอได้ยินดังนั้น ยู่ฉือจินก็ถอนหายใจยาวออกมา “เขาเป็นคนบ้างาน ช่วงนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร”
ตวนมู่เสว่คิดไปคิดมา “หรือว่างานที่บริษัทเยอะเกินไป หรือว่า……ให้หนูไปช่วยงานเขาที่บริษัทดีไหมคะ? ”
“เธอจะไปช่วยงานที่บริษัทงั้นเหรอ? ” ยู่ฉือจินเห็นตวนมู่เสว่เสนอตัว ก็รู้สึกดีใจ ถ้าเกิดว่าให้ตวนมู่เสว่ไปอยู่กับอาเซินที่บริษัท ไม่แน่ว่าอาจจะมีความรู้สึกอะไรต่อกันก็ได้
แต่ว่า……สิ่งที่ยู่ฉือเซินพูดในวันนั้นดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง และปฏิกิริยาที่เย็นชาของเขา
เด็กตวนมู่เสว่คนนี้ทั้งฉลาดและน่ารักน่าเอ็นดู แถมยังคล่องแคล่วว่องไว ฐานะทางบ้านก็ดี หน้าตาก็ถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง
ถ้าเกิดว่าตระกูลยู่ฉือสามารถแต่งงานปรองดองกับตระกูลตวนมู่ได้สำเร็จ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อกิจการในอนาคตของยู่ฉือเซิน
ผู้หญิงแบบนี้ ไม่มีทางที่จะมีใครไม่ชอบ
แต่แม้ว่าเจ้าอาเซินคนนั้นจะสูญเสียความทรงจำไป แต่ว่าก็กลับไม่สนใจหรือประทับใจในตัวของตวนมู่เสว่เลย
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกปวดหัวนิดหน่อย
“ใช่ค่ะคุณปู่ยู่ฉือ เมื่อก่อนหนูก็เคยตามพี่ชายหนูไปบ่อยๆ หลายๆ เรื่องหนูก็เข้าใจ ต้องช่วยพี่เซินได้แน่นอนค่ะ”
เรื่องนี้มันไม่เลวเลย แต่แค่ว่า……
ตอนที่ยู่ฉือจินกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น คนใช้ด้านข้างก็พูดขึ้นมา “คุณชายกลับมาแล้วค่ะ”
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น มองยู่ฉือเซินเดินเข้ามา
สายตาของเขาเย็นชา ไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้าของเขา เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ายู่ฉือจิน “คุณตา”
ยู่ฉือจินพยักหน้า “อืม พึ่งจะเลิกงานกลับมาเหรอ? ถ้าเกิดว่างานที่บริษัทมันเยอะเกินไปก็ให้เลขาแกทำบ้างก็ได้ ถ้าเกิดว่าไม่ได้จริงๆ ก็ให้พักไว้ก่อน แกพึ่งหายจากอาการร้ายแรง อย่าทำงานหนักเกินไป มากินข้าวก่อนเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก ผมกินมาแล้ว”
“กินมาแล้วเหรอ? ” ยู่ฉือจินหรี่ตา “ไปกินที่ไหนมา? กินอะไรมา? ”
น้ำเสียงแบบนี้ทำให้เย่โม่เซินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “คุณตา ผมเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ”
ความหมายโดยนัยของประโยคนี้ก็คือ เขามีอำนาจตัดสินใจว่าจะทำอะไร
ถึงแม้ว่ายู่ฉือจินจะเป็นตาของเขา แต่ว่าการอบรมสั่งสอนของเขาจะเหมือนกับสอนเด็กเล็กเกินไป ขนาดกินข้าวยังต้องถาม
ยู่ฉือจินอึ้งไป ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะกล้าเถียงตัวเองต่อหน้าตวนมู่เสว่ เสียหน้ามาก ยู่ฉือจินรู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาทันที ใบหน้าเคร่งขรึม “ทัศนคตินี่มันอะไรกัน? ฉันเป็นตาแท้ๆ ของแก จะเป็นห่วงหน่อยแล้วมันจะยังไง? แกควรจะพูดกับตาของแกแบบนี้เหรอ? ”
“คุณปู่ยู่ฉืออย่าโกรธไปเลยนะคะ พี่เซินน่าจะทำงานเหนื่อยก็เลยอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่านั้นเอง อย่าโมโหไปเลยค่ะ เดี๋ยวหนูบีบไหล่ให้นะคะ” ตวนมู่เสว่รีบลุกขึ้นมาบีบไหล่ให้ยู่ฉือจิน แล้วก็มองหน้าเย่โม่เซินพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่เซิน คุณปู่ยู่ฉือรอให้พี่กลับมาก็เลยยังไม่ได้กินข้าวเลย พี่รีบขอโทษคุณปู่ยู่ฉือเร็วค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นเย่โม่เซินก็ขมวดคิ้ว “ทำไมไม่กินข้าวเย็น? ต่อไปไม่ต้องรอผมแล้ว”
“หมายความว่ายังไง? นี่แกหมายความว่าแกจะทำงานล่วงเวลาทุกวันเลยเหรอ? ” ยังไงก็เป็นหลานแท้ๆ ของตัวเอง พอยู่ฉือจินได้ยืนว่าเขาถามถึงตัวเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ แล้วพูดว่า “หรือว่าแกจะทำงานล่วงเวลาทุกวัน? เมื่อกี้บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าร่างกายของแกพึ่งจะดีขึ้น อย่าทำงานหนักเกินไป? ทำไมถึงไม่เชื่อฟังขนาดนี้? ”
“คุณตา ผมรู้ร่างกายของผมดี ผมขึ้นไปก่อนนะ”
พอพูดจบ เย่โม่เซินก็หันหลังเดินออกไป
“พี่เซิน!”ตวนมู่เสว่เห็นดังนั้น ก็รีบตามเขาไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเย่โม่เซินก้าวยาวมาก เธอต้องวิ่งเหยาะๆ ถึงจะตามเขาทัน “พี่เซิน พี่เซิน หยุดก่อน ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยโอเคไหม? ”
เย่โม่เซินไม่หยุดเดิน พร้อมกับพูดอย่างเย็นชา “วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว มีอะไรก็ไว้พูดพรุ่งนี้”
เขาเดินขึ้นบันไดไป ตวนมู่เสว่จำใจต้องหยุดเดิน สีหน้าที่มองไปที่แผ่นหลังของเขาก็ดูทุกข์ใจ
ทำไมถึงไม่ได้?
ทั้งๆ ที่ตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าเขาบาดเจ็บ ก็มาเยี่ยมเขาทุกวัน ดูแลเขา แต่ว่าเขาเย็นชากับเธอขนาดนั้น แม้แต่มองเธอให้มากขึ้นยังไม่ยอมทำเลย ไม่แม้แต่ฟังเธอพูดด้วยซ้ำ
คนที่สูญเสียความทรงจำ ก็แสดงว่าในหัวของเขาตอนนี้ไม่มีใครแล้ว แล้วทำไมเธอถึงยังเข้าไปไม่ได้?
ตวนมู่เสว่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เธอกำหมัดแน่น ดวงตาก็ค่อยๆ แดงก่ำ
“เสี่ยวเสว่。”
เสียงของยู่ฉือจินดังขึ้นมาจากด้านหลัง ตวนมู่เสว่รีบจัดการอารมณ์ของตัวเอง แล้วก็หันไปยิ้มให้เขา “คุณปู่ หนูไม่ได้เป็นอะไรค่ะ คุณปู่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหมคะ? เดี๋ยวหนูกินเป็นเพื่อนเองค่ะ”
ยู่ฉือจินพยักหน้า หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ตวนมู่เสว่ก็กลับตระกูลตวนมู่ไป พอเปิดประตูเข้าไปก็ปาโทรศัพท์ทิ้งทันที
ตวนมู่อ้าวเทียนกับตวนมู่เจ๋อที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ก็หรี่ตาลง
“เป็นอะไรไป? ใครมายั่วให้หลานสาวของปู่โกรธ? ”
พอได้ยินเสียงของตวนมู่อ้าวเทียน ตวนมู่เสว่ก็รีบวิ่งเข้าไปทันที “คุณปู่ เรื่องงานหมั้นคุณปู่คุยไปถึงไหนแล้วคะ?