เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 907
บทที่907 พูดเสียๆหายๆ
เย่โม่เซินมองหน้าเธออยู่ในท่าเดิม
หานมู่จื่อรู้สึกได้ว่าในแววตาของเขามีความโกรธแค้นอยู่ในนั้นด้วย เธอจึงเริ่มไม่แน่ใจ หรือว่าเธอจะพูดเล่นแรงเกินไป ทำให้เขาโมโหซะแล้ว
พอคิดได้แบบนั้น หานมู่จื่อก็ดึงชายเสื้อของเขา แล้วพูดเสียงเบา “คุณเป็นอะไรไปคะ”
เย่โม่เซินได้สติกลับมา พอเห็นแววตาที่น่าสงสารของเธอกำลังมองตนเองอยู่ ความคิดต่างๆที่อยู่ในสมองก็หายไปในพริบตา
ช่างเถอะ จะคิดเรื่องพวกนั้นไปเพื่ออะไรกัน
ขอแค่เธออยู่ข้างกายเขาก็เพียงพอแล้ว แววตาที่เธอมองมาที่เขาไม่สามารถโกหกได้ ไม่ว่าเมื่อก่อนเธอจะเคยรักใครมาก่อน ก็ไม่สำคัญ
เพียงแค่ว่า ตอนนี้เขาอิจฉาคนคนนั้นจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว
เด็กที่อยู่ในท้อง…
ความรู้สึกถูกสัมผัสบริเวณใบหน้า ทำให้เย่โม่เซินได้สติกลับมา แล้วมองไปทางหานมู่จื่อ”คุณเป็นอะไรไปคะ เหม่อตลอดเลย หรือว่าจะเป็นเพราะคำพูดของฉันเมื่อตะกี้คะ”
เย่โม่เซินตอบกลับ “อย่าคิดมาก”
เป็นเธอที่คิดมากจริงๆเหรอ หานมู่จื่อกัดริมฝีปากล่าง “แต่ฉันรู้สึกว่า ช่วงนี้คุณดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ”
คงจะเป็นเพราะเธอได้ใจจนเกินไป ถึงทำให้เธอเผลอทำตัวได้ใจไป ถ้ารู้ว่าเขาไม่ชอบ เธอจะไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาดเลย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด เย่โม่เซินก็ยื่นมือออกมา แล้วแตะลงบนจมูกของหานมู่จื่อเบาๆ
หานมู่จื่อมองไปทางเขา ก่อนจะได้ยินเขาพูด “อย่าคิดมากไปเองสิ ที่ผมอารมณ์ไม่ดี ก็เพราะว่าคุณต้องเข้าโรงพยาบาล คุณคิดว่าผมจะดีใจได้ยังไงกัน”
พูดแบบนี้ ดูเหมือนจะมีเหตุผล
เธอเข้าโรงพยาบาล ถูกจับตัวไป แล้วยังเกือบถูกผลักตบบันได จะให้เขาอารมณ์ดีได้ยังไงกัน
หรือว่าเธอจะคิดมากไปเอง
“รีบเก็บของ แล้วเรากลับบ้านกันเถอะ”
เย่โม่เซินเดินจูงมือเธอเข้าไปในห้องพักคนไข้
ทั้งสองคนช่วยกันเก็บของ ส้งอานได้ข่าวว่าหานมู่จื่อจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว จึงรีบไปที่คอนโด ตั้งใจจะเข้าครัวทำอาหารบำรุงร่างกายให้หานมู่จื่อเอง
หานมู่จื่อขึ้นมานั่งบนรถ พอคิดว่าคืนนี้ก็จะเป็นวันปีใหม่แล้ว
เดิมทีวันปีใหม่ควรจะเป็นวันที่ครอบครัวได้อยู่รวมกันถึงจะถูก
แต่ตอนนี้ความทรงจําของเย่โม่เซินยังไม่กลับมา เธอจะรับเสี่ยวหมี่โต้วมาเลี้ยงฉลองด้วยก็ไม่ได้ แต่ว่า เธอล้างรูปของเสี่ยวหมี่โต้วมาใส่กรอบรูปวางไว้ในลิ้นชักแล้ว
ถ้าหากเอากรอบรูปนี้ไปด้วย ก็ถือว่าได้ฉลองด้วยกันแล้ว
ถือว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเอง
หานมู่จื่อเอ่ยปากพูด “ฉันอยากจะกลับไปที่ห้องเช่าก่อน ได้ไหมคะ”
หลังจากที่เธอย้ายมาพักกับเย่โม่เซิน ห้องเช่าที่พักก่อนหน้านี้จึงปล่อยว่าง ข้าวของของเธอยังไม่ได้ขนย้ายออกมา ดังนั้นเธอจึงยังไม่ได้คืนห้องให้เจ้าของตึก
เย่โม่เซินพยักหน้าให้ “โอเค”หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเส้นทาง
หลังจากผ่านไปสิบห้านาที
รถก็มาหยุดจอดตรงหน้าตึก หานมู่จื่อเปิดประตูรถเดินลงมา เย่โม่เซินตั้งใจจะเดินขึ้นไปกับเธอด้วย แต่กลับถูกห้ามไว้ก่อน
“ฉันขึ้นไปเอาของเดี๋ยวเดียวค่ะ คุณรอฉันอยู่ในรถ ไม่กี่นาทีฉันก็ลงมาแล้วค่ะ”
เธอจะขึ้นไปหยิบกรอบรูปของเสี่ยวหมี่โต้ว ถ้าให้เย่โม่เซินขึ้นไปด้วย แล้วเขาเห็นรูปขึ้นมาจะแย่เอาได้
เย่โม่เซินมองหน้าเธอนิ่ง “จะไม่ให้ผมขึ้นไปด้วยจริงๆเหรอ”
หานมู่จื่อส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันจะรีบกลับลงมาให้เร็วที่สุดนะคะ ฉันแค่ขึ้นไปหยิบของสำคัญ และมันไม่ใช่ของหนักด้วย”
พอเห็นว่าเธอเหมือนไม่อยากให้เขาขึ้นไปด้วย เย่โม่เซินจึงไม่ดึงดันอีก เขาพยักหน้าให้ แล้วพูด “มีอะไรตะโกนเรียกผมนะ”
“ได้ค่ะ”
หานมู่จื่อเดินขึ้นตึกไป ก่อนจะหยิบกุญแจมาเปิดประตู ผู้หญิงห้องข้างๆถือถุงขยะออกมาพอดีพอเห็นหน้าเธอจึงมองด้วยสายตาสงสัย
“เธอเองเหรอ ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ”
พอเห็นหน้าเธอ หานมู่จื่อก็ชะงักไปเล็กน้อย พอนึกถึงคำพูดที่เธอเคยพูดกับตนเองไว้ จึงไม่อยากจะสนใจเธออีก จึงแค่พยักหน้าทักทาย ก่อนจะเปิดประตูต่อ
ผู้หญิงห้องข้างๆเห็นท่าทางของหานมู่จื่อ ในใจทั้งโกรธทั้งอิจฉาตาร้อน จึงพูดแขวะออกมา “หรือว่าผู้ชายมีเงินคนนั้นไม่เอาเธอแล้ว ก็เลยต้องกลับมาอยู่ที่นี่ ฉันก็ว่าแล้วไง ออกไปแต่ไม่คืนห้อง จะต้องเหลือเส้นทางสุดท้ายไว้ให้ตัวเอง ถ้าหากวันไหนผู้ชายเขาไม่เอาแล้ว จะได้มีที่พักอาศัย เฮ้อ แล้วคุณได้เงินจากผู้ชายคนนั้นมาเท่าไหร่ ดูจากรถที่เขาขับ คงจะรวยน่าดูเลยนี่นา”
แกร๊ก
หานมู่จื่อเปิดประตูออกมา ก่อนจะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบ แววตาเย็นชา เหมือนกำลังมองคนตาย
ผู้หญิงห้องข้างๆถูกสายตาของเธอมองจนตกใจกลัว ก่อนจะเบะปาก “ฉัน ฉันไม่ได้พูดผิดนี่นา ผู้หญิงอย่างเธอ มาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็ตกคนมีเงินได้แล้ว ไม่รู้ว่าใช้มารยาแบบไหนกัน”
หานมู่จื่อขยับริมฝีปาก “แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยไม่ทราบ”
ผู้หญิงห้องข้างๆ “นี่ นี่เธอ… พูดอย่างนี้ได้ยังไงกัน”
“ทำไม คิดว่าฉันพูดไม่น่าฟังสินะ”
หานมู่จื่อดึงกุญแจออกมา ก่อนจะเดินไปหยุดยืนตรงหน้าผู้หญิงข้างห้อง “ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าคุณก็เตรียมเครื่องอัดเสียงไว้ด้วย จะได้เอาไปฟังให้ชัดๆ ว่าตัวเองพูดอะไรพล่อยๆออกมาบ้าง”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งๆที่เธอตัวสูงกว่าหานมู่จื่อ แต่พอต้องมาเผชิญหน้ากัน เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าอีกฝ่าย
“ฉัน ฉันไม่ได้พูดพล่อยๆสักหน่อย ฉันก็แค่พูดไปตามความจริง”
“ความจริงอะไรเหรอ คุณเห็นกับตาแล้วหรือไง ฉันยังไม่ได้ไปร้องเรียนเรื่องที่คุณส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นในยามวิกาลเลย แต่คุณกลับยังแอบพูดถึงฉันในด้านเสียๆหานๆลับหลัง ถ้าหากรู้สึกอิจฉา คุณก็ลองไปยั่วมาสักคนสิ ดูสิว่าคุณจะมีปัญหายั่ว จนอีกฝ่ายยอมพาคุณไปจากที่นี่ได้ไหม”
คำพูดสุดท้ายบาดลึกเข้าไปในใจของผู้หญิงห้องข้างๆ เธอถลึงตาโต “นี่เธอ เธอพูดบ้าอะไรของเธอ ไม่คิดเลยว่าเธอจะภาคภูมิใจกับความไร้ยางอายของตัวเองถึงขนาดนี้”
“ทำไมฉันจะต้องอายด้วย ในเมื่อมีคนอิจฉาตาร้อนจนแทบจะบ้าไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำตัวเหมือนสุนัขไล่กัดคนอื่นเขาไปทั่วแบบนี้”
ตอนที่หานมู่จื่อตอกกลับอีกฝ่าย เธอไม่มีท่าทางโมโหเลย สายตาของเธอเยือกเย็น น้ำเสียงที่ใช้พูดก็เรียบนิ่ง แต่ทุกคำพูดของเธอกลับทิ่มแทงใจของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงผู้หญิงห้องข้างๆเซถอยหลัง ก่อนจะถลึงตาใส่หานมู่จื่ออย่างแค้นเคือง
หานมู่จื่อยกยิ้ม “แค่นี้ก็ถอยหลังแล้วเหรอ ทุกครั้งที่มาหาเรื่องฉัน ฉันนึกว่าคุณจะเก่งกว่านี้ซะอีก แค่ฉันพูดไม่กี่ประโยคก็ตอบโต้ไม่ได้แล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ จากนี้ไปก็ห้ามมาหาเรื่องฉันอีก ไม่อย่างนั้น… แม้แต่ที่พักราคาถูกแห่งนี้ฉันจะทำให้คุณอยู่ต่อไปไม่ได้”
ความจริงแล้ว ที่นี่ไม่ได้ดูยากจนถึงขนาดนั้น
แต่ในสายตาของผู้หญิงห้องข้างๆ เธอรังเกียจที่นี่มาก เธออยากจะอยู่ห้องพักใหญ่ๆมาตลอดดังนั้นพอเห็นว่าหานมู่จื่อถูกเย่โม่เซินพาไปอยู่ด้วย จึงยิ่งอิจฉาตาร้อนมากขึ้น แล้วยังรู้สึกว่าแฟนของตัวเองไม่ได้ความ และตัวเองก็ไม่ได้เรื่อง รู้อย่างนี้ เธอก็จะทำเหมือนหานมู่จื่อ ไปยั่วคนมีเงินแล้วยังหน้าตาหล่อเหลามีอิทธิพลดีกว่า ทำไมเธอจะต้องเสียเวลาของตัวเองมาอยู่กับผู้ชายจนๆแบบนี้ด้วย
ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจในชีวิตตัวเอง ทุกครั้งที่ทะเลาะกับแฟนเพื่อระบายอารมณ์ แฟนก็จะรู้สึกว่าเธอน่ารำคาญ แล้วออกไปดื่มเหล้านอกบ้าน เธอไม่มีที่ระบาย พอเห็นหานมู่จื่อกลับมา จึงเข้าไปหาเรื่องอีกฝ่าย