เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 996
บทที่ 996 นี่เป็นความต้องการของคุณตา
“เอาเถอะ ที่จริงฉันก็เห็นว่านายซื่อๆ ก็เลยคิดอยากจะช่วยเหลือน้องชายก็เท่านั้น” เฉียวจื้อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ฉันจีบหญิงเก่งมากเลยนะ ในเมื่อพวกเราเป็นพี่น้องกันแล้ว ให้ฉันสอนนายสักหน่อยเอาไหม”
เฉียวจื้อขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้จักอายอีกครั้ง โอบไหล่ของเขา ทำท่าทางเหมือนทั้งสองสนิทกันมาก
เซียวซู่ไม่ชินกับการที่ถูกผู้ชายมาโอบไหล่แบบนี้ แต่เฉียวจื้อกลับเป็นมิตรเกินเหตุจริงๆ เขาเลยต้องผลักเขาออกแล้วยืนขึ้น “ไม่จำเป็น”
“ทำไมถึงไม่จำเป็นล่ะ หรือว่านายจีบเขาติดแล้ว น้องชายฉันพูดจริงๆนะ ถึงแม้ฉันจะดูเจ้าชู้ แต่ที่จริงฉันเป็นคนหนักแน่นมาก วิธีที่ฉันสอนให้นาย……จะต้องได้ผลแน่นอน”
เซียวซู่เดินตรงไปทางระเบียบ เฉียวจื้อเห็นแบบนั้น ก็รีบเดินตามไป
จนถึงเวลาอาหารเที่ยง เซียวซู่ก็ถูกเฉียวจื้อตื๊อจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว สีหน้าน่าเวทนา
เย่โม่เซินเองก็เลิกงานกลับมา คนกินข้าวก็เลยเพิ่มเป็นห้าคน
พอเขาเข้ามาในบ้านแล้วเห็นเฉียวจื้อก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกออก แล้วมองเฉียวจื้อด้วยสายตาเรียบเฉยทีหนึ่ง
“นายมาได้ยังไง”
คำพูดนี้ไปกระตุ้นเฉียวจื้อเข้า เขาเลยรีบกระโดดขึ้นมา “ฉันมาไม่ได้เหรอ”
เย่โม่เซินไม่ได้ตอบ ริมฝีปากบางเม้มเบาๆทีหนึ่ง แล้วแขวนเสื้อนอกไว้บนราว เฉียวจื้อเดินเข้ามาแล้วเริ่มกล่าวหาเขา “ที่ฉันยังไม่ว่าอะไรนายเลย ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้บอกฉันว่าพวกนายกำลังจะกลับประเทศ นายก็คงไม่คิดจะบอกฉันใช่ไหม แล้วหลังจากที่ฉันรู้เรื่อง พวกนายก็คงกลับประเทศไปแล้ว ยู่ฉือ พวกเราสองคนยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันหรือเปล่า”
เย่โม่เซิน “……นายรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้นายทำตัววุ่นวายเหมือนอะไร”
เฉียวจื้อสีหน้าบึ้งตึง “นายกำลังจะบอกว่าฉันวุ่นวายเหมือนคุณแม่สินะ”
เย่โม่เซินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดูท่าว่านายจะยังรู้ตัวอยู่บ้าง”
เฉียวจื้อแทบจะระเบิดทันที
ตอนนั้นหานมู่จื่อก็ตื่นมาพอดี เมื่อเห็นหานมู่จื่อ เฉียวจื้อก็รีบเข้าไปหาเธอเพื่อขอความเป็นธรรมทันที “พี่สะใภ้ เธอมาพอดีเลย รีบช่วยฉันแก้ตัวหน่อยสิ ยู่ฉือเจ้าหมอนี่หาว่าฉันวุ่นวายเหมือนคุณแม่ มีใครเขากล่าวหาพี่น้องตัวเองแบบนี้บ้าง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หานมู่จื่อก็มองเขาอย่างประหลาดใจทีหนึ่ง ก่อนจะเม้มปาก แล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า
“แต่ว่า……ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนะ”
เฉียวจื้อ “……พี่สะใภ้ เธออย่าทำกับฉันแบบนี้สิ ก่อนหน้านี้ฉันพยายามอย่างหนักขนาดไหนเพื่อทำให้พวกเธอได้ปรับความเข้าใจกัน ตอนนี้พวกเธอสองคน จะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ”
หานมู่จื่อกะพริบตาปริบๆ แล้วลองคิดดูอีกครั้ง เฉียวจื้อช่วยพวกเธอไว้มากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตัวเองก็คงไม่ได้มาเจอเย่โม่เซินอย่างราบรื่นขนาดนี้
ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นเลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็หันไปทางเย่โม่เซิน “ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าไปรังแกเขาเลย เขาถูกคนที่บ้างบังคับให้ไปดูตัวมาทั้งอาทิตย์ ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกันนะ”
เย่โม่เซินพยักหน้า “ก็ได้ ฟังที่คุณนายเย่ว่าแล้วกัน”
เฉียวจื้อ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนตอกหน้าไปทีหนึ่งทำอย่างไรดี
ตอนนั้นเองประตูห้องครัวก็เปิดออกพอดี เสี่ยวเหยียนยกหม้อซุปเดินออกมา “กินข้าวได้แล้ว”
เซียวซู่เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ฉันยกเอง”
จากนั้นก็ยกหม้อซุปออกมาจากมือเธอ เสี่ยวเหยียนเลยหันหลังกลับไปยกอย่างอื่นต่อ
ทุกคนต่างก็เริ่มเข้ามาช่วยอีกแรง เพียงไม่นานอาหารที่เสี่ยวเหยียนทำก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะจนครบ ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารอย่างรวดเร็ว เฉียวจื้อได้กลิ่นหอมของอาหารก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขึ้นสวรรค์
หลังจากได้ชิมไปหลายคำแล้ว เฉียวจื้อก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“โอ้โห พี่สะใภ้ ฝีมือนี้ดีกว่าเธออีกนะเนี่ย”
หานมู่จื่อเหลือบมองเขาทีหนึ่ง แล้วอธิบายว่า “เสี่ยวเหยียนฝีมือทำอาหารอยู่ในระดับสูงเชียวนะ ส่วนฉัน ก็แค่ทำตอนที่ว่างเท่านั้น เทียบกับเธอไม่ได้หรอก”
“อ๋อ” เฉียวจื้อหันไปมองเสี่ยวเหยียนทีหนึ่ง “ถ้าได้แต่งเสี่ยวเหยียนเข้าบ้าน คงจะมีความสุขมากเลยสินะ” พอพูดจบ ก็แอบเหลือบไปมองทางเซียวซู่
เซียวซู่ “……”
เขาก้มหน้าทานข้าวเงียบๆ แต่ใบหูกลับค่อยๆแดงขึ้น เผยให้เห็นถึงความในใจของเขา
เฉียวจื้อเห็นท่าทางของเขา ก็แอบถอนหายใจในใจ ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นน้องชายของเขาก็อายขนาดนี้แล้วหรือ แบบนี้จะไปจีบผู้หญิงติดได้อย่างไร
ส่วนเสี่ยวเหยียนก็ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เฉียวจื้อสื่อ เลยลึกขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อยว่า “ฉันขอไปดูก่อนว่าปิดไฟหรือยัง”
จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องครัวทันที
ทุกคน “……”
เฉียวจื้อกลืนข้าวลงคอ แล้วมองหานมู่จื่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “พี่สะใภ้ สิ่งที่ฉันพูดเมื่อกี้……ไปทำให้เธอเดือดร้อนเข้าเหรอ ?”
หานมู่จื่อกวาดตาไปมองเฉียวจื้อทีหนึ่ง แล้วยักไหล่ เพื่อบอกว่าตัวเองก็ไม่เข้าใจ จากนั้นก็เตรียมจะยื่นมือไปคีบกระดูกหมูที่อยู่ไกลตัว เพียงแต่ว่ากระดูกหมูอยู่ไกลเกินไป การที่เธอจะคีบเลยจำเป็นต้องยืนขึ้นก่อน
แต่ตอนนี้หานมู่จื่อรู้สึกขี้เกียจขึ้นมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้มเลิกความพยายาม แล้วถอยกลับไปคีบอาหารที่อยู่ตรงหน้าแทน
ตอนนั้นเองเย่โม่เซินกลับคีบกระดูกหมูชิ้นหนึ่งไปวางในถ้วยเธอ หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมองเย่โม่เซินอย่างตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะสังเกตเห็น
ทั้งสองคนอวดความหวานชื่นอยู่ตรงหน้า เฉียวจื้อที่อยู่ข้างๆก็ร้องทุกข์ขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าแค่จะกินข้าวสักมื้อยังต้องถูกตอกหน้าแบบนี้ แต่ก็คิดขึ้นได้ว่ามีคนที่สภาพแย่กว่าตัวเอง นั่นก็คือเซียวซู่ที่นั่งอยู่ข้างๆเขา
คำพูดที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ ก็แค่พูดเพื่อให้ปรับบรรยากาศ แต่คิดไม่ถึงว่าจะไปเหยียบหางของผู้หญิงคนนั้นเข้า
ตอนนี้……เซียวซู่คงช้ำใจกว่าเดิม
เฉียวจื้อค่อยขยับเข้าไปใกล้เซียวซู่ แล้วพูดเสียงต่ำว่า “น้องชาย ฉันไม่ได้ตั้งใจก่อกวนจริงๆนะ ฉันเห็นนายเป็นพี่น้องจริงๆ ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซียวซู่ก็แทบไม่เงยหน้าขึ้น แล้วตอบรับเสียงเรียบว่า
“ผมรู้”
“งั้นก็ดี” เฉียวจื้อรู้สึกโล่งอก เลยตบอกตัวเอง “นายวางใจได้เลย ขอแค่มีฉันอยู่ ฉันจะต้องช่วยน้องชายอย่างนายแน่นอน”
เซียวซู่ “……”
เงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ชำเลืองไปมองคนข้างๆทีหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอก ผมกลัวว่าคุณจะยิ่งช่วยยิ่งวุ่น”
เหตุการณ์แบบเมื่อครู่ ก็ช่วยยืนยันแล้วไม่ใช่หรือ
รอยยิ้มบนปากของเฉียวจื้อแข็งทื่อไปทันที บอกว่าเขายิ่งช่วยยิ่งวุ่น ให้ตาย รู้สึกเหมือนถูกมีดปักลงกลางใจเลย
จากนั้นเสี่ยวเหยียนก็กลับมา ครั้งนี้เฉียวจื้อไม่กล้าพูดอะไรอีก ถ้าทำให้ผู้หญิงคนนี้โกรธเข้าอีก คิดว่าเซียวซู่คงจะแค้นเขาไปจนตาย
เมื่อทานข้าวมื้อนี้เสร็จ เฉียวจื้อยังไม่ทันได้นั่งทานผลไม้ ปู่ของเขาก็โทรมาพรากชีวิตเขาไปเสียก่อน
หลังจากเฉียวจื้อไปแล้ว เซียวซู่ก็ดูเหมือนจะโล่งอกขึ้นมาทันที
ช่วงบ่าย ลุงหยูก็พาเสี่ยวหมี่โต้วมาส่ง
หลายวันมานี้ เสี่ยวหมี่โต้วอยู่ที่ยู่ฉือจินเป็นเพื่อนคุณตาของเขามาตลอด พอหานมู่จื่อ ก็รู้สึกคิดถึงมาก ทั้งสองคนกอดกันแน่น
หยูโปเห็นฉากนี้เข้า ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “นายท่านบอกว่า วันที่เหลือจากนี้ไป ก่อนที่คุณกับคุณชายเย่จะกลับประเทศ ให้เสี่ยวหมี่โต้วอยู่ที่นี่กับพวกคุณครับ”
หานมู่จื่อชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหยูโป “นี่เป็นความต้องการของคุณตาเหรอคะ”