เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 101 การเผชิญหน้าที่โต๊ะอาหาร
เมื่อมาถึงห้องอาหาร หญิงสาวทั้งสามมองซั่งกวนเจวี๋ยด้วยสายตาร้อนผะผ่าว หวังว่าตนจะได้นั่งข้างซั่งกวนเจวี๋ย แต่ก่อนที่พวกนางจะพูดอะไร สาวใช้คนหนึ่งก็เชิญให้นั่งลง แม้พวกนางจะไม่ได้อยู่ห่างกันหลายพันลี้ก็ตาม แต่ไม่ได้อยู่เคียงข้างซั่งกวนเจวี๋ย ทว่าจู่ๆ พวกนางก็รู้สึกมีความหวัง คือยังมีที่นั่งว่างอยู่ข้างๆ ซั่งกวนเจวี๋ย
“อนุภรรยาหนิง หมู่นี้ฮูหยินใหญ่มีอาการร้อนในอยู่บ้าง เตรียมทำน้ำแกงบำรุงสุขภาพใช้ไฟอ่อนเป็นพิเศษแล้วชักชวนให้ฮูหยินใหญ่ดื่มมากขึ้นหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างราบเรียบ สามารถมองออกถึงสีหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ มีอาการร้อนในอยู่บ้างจริงๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” อนุภรรยาหนิงตอบอย่างไม่เต็มใจ แต่ใบหน้ายังต้องแสดงท่าทีเคารพ
“ท่านพ่อเพิ่งกินของมันเลี่ยนๆ มากไปหน่อย ผักสดวันนี้ค่อนข้างดี ถั่วงอกสดใหม่นุ่มมาก อย่าลืมทานเยอะๆ นะเจ้าคะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดกับซั่งกวนฮ่าว ซั่งกวนฮ่าวชอบกินเนื้อ กินผักไม่ค่อยบ่อยนัก หลังจากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พบปัญหานี้ ก็จะแนะนำผักให้เขาเกือบทุกมื้อ และซั่งกวนฮ่าวก็จะกินเพิ่มอีกสองสามคำเพื่อรักษาหน้า
“อื้ม…” ซั่งกวนฮ่าวพยักหน้า นับตั้งแต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยๆ รวมเข้ากับครอบครัว ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดหวงฝู่เยวี่ย เอ้อถึงรักเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดั่งลูกสาว อาจเพราะลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนสองคนของเขาก็ไม่เคยเอ่ยคำพูดกระซิบกระซาบที่เอาใจใส่เช่นนี้มาก่อน
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้ม ยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ จัดอาหารให้นางอย่างระมัดระวัง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อภาคภูมิใจและมีความสุข ตั้งใจมองผู้หญิงสามคนที่ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูก
ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มเล็กน้อย เฝ้าดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์และผู้อาวุโสอย่างเบิกบานใจ ในเวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าทั้งฉลาดและมีคุณธรรมคืออะไร เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะเป็นคนแรกในตระกูลซั่งกวน
หลังจากส่งแขกทุกคนออกไปนี่คือการทานอาหารมื้อแรก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้ามาแทนที่อนุภรรยาหวังอย่างรู้สึกได้ จัดอาหารอะไรทำนองนั้นให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ในเวลานั้นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงอิ่มอกอิ่มใจมาก บอกว่าไม่จำเป็นต้องทำตามกฎ ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์เอ่ยประโยคเดียวก็ขจัดความหนักแน่นของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้
ซั่งกวนเจวี๋ยจำได้แม่นยำ เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดในเวลานั้นว่า ‘ข้ารู้ว่าท่านแม่รักข้า ไม่อยากให้ข้ายืนอยู่แบบนี้ แต่ท่านแม่และมี่เอ๋อร์ทำเช่นนี้เพราะอยากให้น้องสาวทั้งสองรู้แต่เนิ่นๆ ว่าเป็นเจ้าสาวควรทำอะไรบ้าง หลังจากพวกนางแต่งงานแล้วก็จะไม่เสียมารยาท’
“พี่ใหญ่เจวี๋ย ข้าขอนั่งที่ว่างข้างๆ เจ้าได้หรือไม่?” สือหย่าฉีไม่ได้สนใจการกระทำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากนัก เป็นฝ่ายเสนอตัวร้องขอเอง แล้วพบโดยบังเอิญว่า ผู้หญิงอีกสองคนยิงสายตาพิฆาตส่งมา
“เป็นที่นั่งของมี่เอ๋อร์” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดเรียบๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสือหย่าฉีไม่ได้ไร้เดียงสาและจิตใจเอื้ออารี แต่เป็นความโฉดเขลา นางไม่รู้กฎหรือ? ถึงได้เอ่ยคำขอที่หยาบคายเยี่ยงนี้
“เป็นที่นั่งของพี่สะใภ้!” ซั่งกวนอิงพูดอย่างไม่เกรงใจ เขาไม่ชอบผู้หญิงสามคนนี้จริงๆ ตอนอยู่ที่ตระกูลหวงฝู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาได้เห็นอนุภรรยาเฟยเสวี่ยของลูกผู้พี่ที่พูดคำเสียดสีมามาก จึงรู้สึกไม่ดีกับแม้แต่จอมยุทธ์หญิงคนอื่นๆ แน่นอนว่าไม่ได้ปฏิเสธหลิงหลงกับจิงอิ๋งที่กำชับกำชาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนออกจากบ้าน หากมีคนพูดไม่ดีกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต่อหน้าเขา ก็จะต้องปกป้องเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“แต่ว่า พี่มี่เอ๋อร์ไม่นั่งมิใช่หรือ?” สือหย่าฉีพึมพำเสียงต่ำ ค่อนข้างไม่ยอมแพ้ นางรู้ดีว่าครอบครัวใหญ่จะพิถีพิถันในเรื่องการรับประทานอาหาร แต่ไม่จำเป็นต้องจัดที่นั่งให้คนที่ไม่ได้เข้าร่วมโต๊ะกระมัง
“มี่เอ๋อร์ไม่ใช่ไม่นั่ง แต่ต้องรอท่านแม่ก่อน รอให้ท่านแม่นั่งก่อนนางถึงจะนั่งได้” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างเมินเฉย สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย โดนพวกนางขัดจังหวะโลกที่มีแค่สองคนอันอบอุ่นจรุงใจกับมี่เอ๋อร์ อดทนอยู่กับพวกนางมาเกือบครึ่งบ่ายแล้ว พวกนางก็ยังคิดได้คืบจะเอาศอกไปถึงขั้นนั้น
“โอ้…” สือหย่าฉีรู้ด้วยว่าซั่งกวนเจวี๋ยไม่พอใจเล็กน้อย จึงขานกลับเสียงอู้อี้ รอยยิ้มที่เอ่อท้นบนใบหน้าก็เลือนหายไปทันที ใช้ตะเกียบจิ้มข้าวในชามอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านแม่ ท่านลองชิมดู…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะในใจแล้ว ไม่เคยเห็นคนที่ตะลึงขนาดนี้มาก่อนจริงๆ ต่อให้นางจะไม่เข้าใจกฎเหล่านี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้ทุกคนรู้หรอก เวลาทานข้าวและนอนหลับไม่พูดคุย นางไม่พูดอะไร สังเกตอย่างเงียบๆ ก็ไม่ได้ ต้องพูดให้มากความเพื่อให้คนอื่นรู้ว่านางเขลา
“นี่คืออะไร? หวงฝู่เยวี่ยเอ้อสงสัยนิดหน่อย อาหารจานนี้สีดูธรรมดา เนื้อขาหมูสีแดง พริกหยวกสีเขียว ยังมีวัตถุดิบที่ไม่รู้จักสีเหลืองน้ำตาล แต่กลิ่นหอมแรงมาก ทั้งกลิ่นหอมของขาหมูก็มีกลิ่นดอกไม้บางชนิดอีกด้วย
“มีต้นสาลี่สองต้นในเรือนมีคู่มิใช่หรือ?” มี่เอ๋อร์พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “มี่เอ๋อร์โค่นที่เรือนมีคู่ไปแถบหนึ่ง ต้นสาลี่ไม่จำเป็นอีกต่อไป ปลูกดอกถานฮวาแทน สองสามวันนี้เป็นช่วงที่ดอกสาลี่บานเต็มที่ มี่เอ๋อร์ให้พวกสาวใช้เลือกเด็ดดอกตูมทั้งหมดที่ยังไม่บานนำไปลวกในน้ำเดือด แล้วแช่ล้างด้วยน้ำเย็นหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อขจัดความฝาด ใส่เนื้อขาหมูหั่นเป็นรูปลูกเต๋าและพริกหยวกลงไปผัดให้เข้ากัน ก็ได้แล้ว”
“ที่แท้เป็นดอกสาลี่นี่เอง มิน่าเล่าจึงมีกลิ่นหอมรัญจวนใจของดอกสาลี่ ข้ายังคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาเสียด้วยซ้ำ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากมี่เอ๋อร์แล้ว มีดอกไม้จำนวนไม่มากที่สามารถใช้ทำอาหารได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าดอกสาลี่ยังกินได้ด้วย แล้วเจ้าสีทองตรงนั้นคืออะไรเอ่ย?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใส่กลีบสีเหลืองทองที่ดูเหมือนจะใช้ตกแต่งชิ้นหนึ่งให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพลางยิ้มกล่าวว่า “นี่คือดอกอวี้หลัน ใช้แป้ง ไข่ที่ตีแล้วผสมน้ำเล็กน้อย ทำเป็นแป้งที่นิ่มและร่วน จุ่มกลีบดอกอวี้หลันสดคลุกให้ทั่วแป้ง จากนั้นนำไปทอด ท่านแม่ลองชิมเป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นดอกไม้เหมือนกันหรือ? เป็นดอกอวี้หลันเสียด้วย?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อชิมไปคำหนึ่งอย่างชื่นใจ รู้สึกเต็มไปด้วยกลิ่นหอมกรอบแล้วกล่าวชมว่า “มี่เอ๋อร์เป็นคนจิตใจละเอียดอ่อน แม้แต่ดอกอวี้หลันก็เอามาทำเป็นอาหารอยู่ในจานได้”
“กินดอกไม้ก็บำรุงให้หน้าสวยงดงามได้ ท่านแม่ทานมากๆ นะเจ้าคะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้มพรายว่า “ได้เก็บส่วนหนึ่งไว้ให้อนุภรรยาทั้งสามในครัวแล้ว อนุภรรยาทั้งสามจะได้ลิ้มรสชาติของดอกไม้ด้วย!”
“เจ้ากลับไปนั่งเถอะ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นพูดกับซั่งกวนฮ่าวว่า “มี่เอ๋อร์เป็นคนละเอียดอ่อน รู้จักสิ่งต่างๆ มากมาย ข้าคิดว่าเรื่องงานครัวก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมี่เอ๋อร์!”
“อือ…” ซั่งกวนฮ่าวพยักหน้า พ่อบ้านในครัวก็พูดเช่นกัน แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ได้ทำเอง แต่ก็ค่อนข้างรู้จักงานบ้านงานเรือนในครัว มีการกำหนดสูตรอาหารทุกวันในมื้อแรก ทั้งคำนึงถึงรสปากของแต่ละคนในจวน ยังคำนึงถึงการผสมผสานของโภชนาการ และยังคำนึงถึงปัจจัยตามฤดูกาลด้วย ซึ่งเปรียบเสมือนคุณหนูที่มาจากวงศ์ตระกูลใหญ่
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขอบคุณหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ จื่อหลัวก้าวไปข้างหน้า นางจับมือของจื่อหลัวแล้วไปนั่งข้างซั่งกวนเจวี๋ย ซั่งกวนเจวี๋ยพอใจมากพลางส่งยิ้มให้นาง ส่วนนางก็ยิ้มกลับอย่างรู้ใจกัน
“พี่มี่เอ๋อร์ยังเข้าครัวด้วยหรือ?” สือหย่าฉีไม่อาจควบคุมปากของนางได้ เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามานั่ง จึงกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจว่า “ห้องครัวเต็มไปด้วยควันไฟและความมัน พี่มี่เอ๋อร์ต้องลำบากมากเป็นแน่!”
ดูท่าการมีหงหลัวซาคนนี้ที่ไม่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารอยู่ จะไม่มีทางได้กินอย่างสงบ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาที่สุดในชีวิต มีเพียงซั่งกวนเจวี๋ยซึ่งนั่งอยู่ข้างนางเท่านั้นที่ได้ยิน มองเห็นถึงความจนใจในดวงตาของนาง เมื่อรู้ว่าการพูดคุยที่โต๊ะอาหารเช่นนี้ทำให้นางอึดอัดมาก จึงหัวเราะเบาๆ ว่า “มี่เอ๋อร์ คุณหนูสื่อและคนอื่นๆ ล้วนเคยท่องยุทธภพ ไม่ได้มีพิธีรีตองมากนัก การพูดคุยกันที่โต๊ะอาหารก็ติดเป็นนิสัยไปแล้ว”
นี่ถือเป็นคำอธิบายใช่ไหม? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ มองสือหย่าฉีแล้วพูดว่า “ข้าเรียนทำอาหารมาตั้งแต่ยังเด็กตัวเท่าเมี่ยง แม้ข้าจะทำอาหารจานใหญ่ไม่ได้ ทว่าก็ยังทำกับข้าวเองได้นิดหน่อย แต่มีหลายคนในครัวของตระกูลซั่งกวน ข้าจึงเพิ่งเริ่มเข้ามาจัดการในครัว เพียงแค่ดูๆ เท่านั้น มีโอกาสลงมือทำน้อยมาก!”
“ที่แท้พี่มี่เอ๋อร์ทำอาหารเป็นจริงๆ!” สือหย่าฉีกล่าวอย่างประหลาดใจ “ไม่คาดคิดเลยว่าพี่มี่เอ๋อร์จะมีความสามารถมากขนาดนี้! ข้าไม่เอาไหนเลย ตั้งแต่ยังเล็กนิ้วมือทั้งสิบนิ้วไม่เคยสัมผัสแสงแดด ต้องรอให้สาวใช้ปรนนิบัติทุกเรื่อง สาวใช้ส่วนตัวของข้าชื่อชุนเยี่ยน นางทำเป็นทุกอย่างและเก่งมาก!”
ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แข็งทื่อเล็กน้อย นัยน์ตาเต็มไปด้วยท่าทางที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มองสีหน้าของสือหย่าฉีที่หยิ่งผยอง แล้วยิ้มพูดว่า “คุณหนูสื่อกล่าวถูกต้อง!”
ยังไม่มีใครตอบโต้กลับ หวงเซียวเซียงอดกระแอมไอไม่ได้ ปกปิดที่เผลอยิ้มออกมา ตอนนี้นางรู้สึกขอบคุณบิดาที่ยามนั้นยืนกรานส่งนางไปสำนักดรุณีที่เซิ่งจิง มิฉะนั้นจะโง่เขลาเหมือนกับสือหย่าฉี คิดว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลผู้ดีที่นิ้วทั้งสิบไม่ได้สัมผัสกับแสงแดดเลยจริงๆ ต้องรอให้สาวใช้ปรนนิบัติทุกอย่าง ทั้งยังเป็นสาวใช้ใหญ่ที่เก่งรอบด้าน ควรรู้ไว้ว่ายิ่งเป็นคนพิถีพิถันมากเท่าใด ความเรื่องมากของบรรดาคุณหนูก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึงพิณหมากล้อมการเขียนอักษรและภาพวาด งานเย็บปักถักร้อย การทำอาหารและการทำบัญชีก็ต้องได้ศึกษาเช่นกัน เพียงแต่มีไม่กี่ครอบครัวที่ใช้ยุทธภพเป็นเกณฑ์มาตรฐานก็จะไม่เข้มงวดเรื่องพวกนี้มากนัก แต่คุณหนูอย่างพวกนางก็ต้องเรียนรู้ทำอาหารดีๆ สักสองสามอย่างก่อนจะแต่งงาน สาวใช้แต่ละคนจะมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ส่วนใหญ่จะไม่ได้เก่งรอบด้าน
“พี่มี่เอ๋อร์ต้องเป็นกังวลมากแน่ๆ เชียว” สือหย่าฉียังไม่ได้ตระหนักว่านางทำผิด จึงกล่าวอย่างสุภาพว่า “ถ้ามีอะไรที่ทำไม่ได้ มาให้ข้าช่วยก็ได้ เอ่อ ข้าถูกอาจารย์ตามใจจนเหลิง ทำอะไรไม่เก่ง แต่ชุนเยี่ยนจะช่วยเจ้าได้แน่นอน!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเกรงใจพลางกล่าวว่า “ขอบคุณคุณหนูสื่อที่หวังดี มี่เอ๋อร์ยังพอจัดการได้!”
ซั่งกวนเจวี๋ยพูดไม่ออก สือหย่าฉีโอ้อวดหรือ? แต่นางรู้หรือไม่ว่าโอ้อวดผิดที่ผิดทาง?
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก!” สือหย่าฉีกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งแล้วยิ้มพูดว่า “ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะพาชุนเยี่ยนไปเยี่ยมเจ้า ตอนนี้นางทำความสะอาดห้องให้ข้าอยู่ ไม่ได้มาด้วย!”
“สาวใช้ข้างกายพี่สะใภ้มีให้เรียกใช้เพียงพอแล้ว ไม่ต้องรบกวนคุณหนูสื่อ!” ซั่งกวนอิงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยท่าทีอยากจะหัวเราะและกระดากอาย จึงพูดทะลุกลางปล้องว่า “คุณหนูสื่อมีสาวใช้คนเดียว ควรเก็บไว้ใช้เองจะดีกว่า! ถ้าสาวใช้ข้างกายเจ้าไม่เพียงพอ ให้แม่บ้านที่รับผิดชอบย้ายเข้าจวนอีกสักสิบกว่าคนก็ได้”
ย้ายอีกสักสิบกว่าคน? สือหย่าฉีพลันตกตะลึง นั่นหมายความว่าอย่างไร? นางลองหยั่งเชิงถาม “พี่มี่เอ๋อร์ เจ้ามีสาวใช้อยู่รอบตัวกี่คน?”
“ข้าไม่ได้นับละเอียด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ แล้วหันหน้าเล็กน้อยไปถาม “จื่อหลัว มีคนรับใช้อยู่ที่เรือนกี่คน? พอใช้หรือไม่?”
นางถามอย่างจงใจเช่นนี้ แต่ไม่มีใครบอกว่านางทำผิด ใครใช้ให้สือหย่าฉีซึ่งมีสาวใช้ ‘คนเดียว’ และ ‘เก่งรอบด้าน’ มาคอยพูดฉอดๆ ว่าจะยกสาวใช้ของตนมาช่วยนาง
“เรียนสะใภ้ใหญ่ แม่นมสาวใช้ในเรือนก็มีใช้งานเพียงพอแล้วเจ้าค่ะ” จื่อหลัวกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “สาวใช้ชั้นหนึ่งมีเพียงบ่าวกับม่านเหอ สาวใช้ชั้นสองมีสี่คน สาวใช้ชั้นสามแปดคน สาวใช้ตัวน้อยยี่สิบสองคน แม่นมฉินกับแม่นมจ้าวนอกจากชิงหลัวและฉี่เซียงที่เป็นสินเดิมติดสอยห้อยตามท่านมาแล้ว ยังมีสาวใช้ตัวน้อยอีกหกคนไว้คอยรับใช้อยู่ สาวใช้และแม่นมจะต้องได้รับอนุญาตถึงจะเข้าไปในเรือนได้เมื่อต้องการเท่านั้น ไม่มีจำนวนคนที่เฉพาะเจาะจง แต่ในวันก่อนๆ แม่นมฉินเคยเอ่ยให้จินหรุ่ยรับสาวใช้ตัวน้อยไม่กี่คนมา จะได้มีลูกมือเย็บปะซ่อมแซมในอนาคตได้เพียงพอเจ้าค่ะ”
มีคนรับใช้นางมากมายขนาดนั้น? สือหย่าฉีตกตะลึง จึงยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมนางยังต้องทำลงครัวด้วยตัวเอง แต่ในที่สุดนางก็รู้ว่าตนไม่ควรพูดอะไรเกี่ยวกับปัญหานี้อีก ตอนนี้พูดผิดมากเกินไป ดังนั้นในที่สุดทุกคนก็เงียบลง…
บนใบหน้าของอวี้เมิ่งเหยาก็ปรากฏความอิจฉาขึ้น มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง นางด้อยกว่าสือหย่าฉี มีเพียงชายชราที่เฝ้าประตู มีสาวใช้คนเดียวที่รับใช้นางกับแม่ ยังมีหญิงแก่ที่รับผิดชอบเรื่องภายในภายนอก ดูเหมือนจะเชิดหน้าชูตาได้ แต่ก็ยังต้องทำหลายอย่างด้วยตัวเอง เหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นเพียงลูกสาวพ่อค้าคนหนึ่ง ยังจะได้เสวยสุขกับชีวิตที่นางไม่กล้าเพ้อฝัน
หวงเซียวเซียงเป็นคนพาซื่อ จึงเพียงแค่ยิ้มแล้วครุ่นคิดกับตัวเอง เพื่อจะทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยตกหลุมรักตนในอนาคต ดูท่าจะต้องจัดการกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งดูเหมือนจะยิ้มและอ่อนน้อมเท่านั้นคนนี้ก่อน
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยิ้มจางๆ นางไม่ต้องทำอะไรตอนนี้ และไม่จำเป็นต้องทำด้วย เพียงแค่รอดูการแสดงก็พอ…
——————–