เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 113 ตกน้ำ
“สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าคุณหนูอวี้ผู้เย่อหยิ่งคนนั้นมีเจตนาอะไรอยู่เจ้าคะ เป่าขลุ่ยชื่นชมธรรมชาติที่ศาลาริมน้ำอะไรกัน นางคิดว่าท่านก็เหมือนนางหรืออย่างไร ทุกวันกินอิ่มแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร แค่ทำตัวเพลิดเพลินไปกับศิลปะพวกนั้นกระมัง?”
จื่อหลัวกล่าวอย่างหงุดหงิดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เอาแต่เผยท่าทีเรียบนิ่ง
“นางน่าจะแทบไม่มีความอดทน อยากจะบอกกับข้าว่านางมีความรู้สึกลึกล้ำต่อสามีของข้าถึงขนาดไหน ให้ข้าอย่าได้ขัดขวางความสุขของนางเสียมากกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง เผยแววตาเย็นเยียบ เมื่อวานอวี้เมิ่งเหยาได้รับจดหมายตอบกลับจากโยวโจว อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นจดหมายที่เฉินเยียนอวี่คนนั้นตอบกลับมา ในนั้นบางทีคงจะเป็นคำชี้แนะที่ว่าอวี้เมิ่งเหยาควรจะจัดการกับตนอย่างไร วันนี้นางก็คงอยากจะเล่นละครสักฉาก แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นไม่มีใจคิดจะถ้อยทีถ้อยอาศัยแล้ว
“ขัดขวาง? เห็นได้ชัดว่านางไร้ยางอาย วิ่งโร่ตามเข้ามาเสียมากกว่า คุณชายใหญ่ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรกับพวกนางเสียหน่อย ผู้หญิงพวกนี้เหตุใดจึงได้หน้าไม่อายถึงเพียงนี้” จื่อหลัวด่าออกมาอย่างโมโห จากนั้นก็กล่าวต่อ “สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่มีความจำเป็นต้องสนใจพวกนางแม้แต่น้อย แค่เชิญพวกนางออกไปตรงๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินใหญ่ไม่ใช่พูดแล้วหรอกหรือ? คุณหนูทั้งสามเป็นแขกของนาง ต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี ไม่อาจให้คนอื่นมาพูดได้ว่าตระกูลซั่งกวนไร้มารยาท แม้แต่แขกก็ยังไล่กลับ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเสียงเย็น พูดถึงเรื่องนี้ นางยังคงรู้สึกซาบซึ้งใจกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออยู่บ้าง
ยามที่หญิงสาวทั้งสามเข้ามาพักครบเก้าวัน หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็กล่าวถามอย่างไม่เกรงใจว่าหลังจากนี้แล้วหญิงสาวทั้งสามจะไปที่ใดต่อ ตระกูลซั่งกวนนั้นได้เตรียมค่าเดินทางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เวลานั้นหญิงสาวทั้งสามต่างก็หน้าแดงฉ่า แต่ที่ทำให้คนคาดไม่ถึงก็คือหญิงสาวทั้งสามกลับหน้าหนาอย่างถึงที่สุด แม้ว่าใบหน้าจะล้วนแดงก่ำไปหมด แต่ก็ยังปากแข็ง ไม่มีใครพูดว่าจะจากไปเลย ทั้งทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็มากู้สถานการณ์ให้ทั้งสามคนได้อย่างทันเวลาเป็นอย่างมาก ยังพูดอีกว่าให้คิดว่าที่นี่เหมือนเป็นบ้านของตน อยากจะอยู่นานเท่าไหร่ก็เท่านั้น หญิงแก่อย่างนางชอบที่มีหญิงสาวทั้งสามมาคอยพูดคุยเป็นเพื่อน ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถลึงตามองอย่างโมโห กระนั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้
เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางแผนที่จะจัดการกับพวกนางอย่างช้าๆ แต่ยามนี้นางหมดความอดทนแล้ว สือหย่าฉีมักจะมาสอดแนมตอนกลางคืนอยู่บ่อยครั้ง…เอาเถิด นางฉลาดขึ้นแล้ว ไม่กล้าจะเหยียบลงบนหลังคาแม้แต่น้อย กระนั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็สามารถพบเจอร่องรอยที่แอบเข้ามาทั้งเงาหลังของนางอยู่เสมอ ทุกค่ำคืนล้วนต้องเตรียมการป้องกันอย่างระมัดระวัง นี่จึงทำให้นางยากที่จะพักผ่อนได้อย่างสบายใจ หวงเซียวเซียงไม่ได้มาที่เรือนมีคู่อีก ช่วงกลางวันก็เอาแต่ประจบฮูหยินใหญ่และซั่งกวนพิงถิง อยู่ตลอด…ตั้งแต่ครั้งแรกที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อปฏิเสธการต้อนรับอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย หลังจากนั้นนางก็ไม่ไปรนหาเรื่องใส่ตัวที่นั่นอีก ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยก็คล้ายกับมีเรื่องยุ่งให้ทำทุกวัน หลังจากทานอาหารเช้า พูดคุยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่กี่คำแล้วก็ออกไปทันที พอถึงเวลาก่อนอาหารเย็นก็กลับมา แต่ก็ไม่รู้ว่าหวงเซียวเซียงนั้นได้สร้างสถานการณ์อย่างบังเอิญพบเขาไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจจะเสียกิริยาทำเรื่องให้ใหญ่โตได้ และอวี้เมิ่งเหยาที่เอาแต่สงบเสงี่ยมมาหลายวัน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว คิดจะเล่นลูกไม้แล้วกระมัง?
“หน้าไม่อาย หน้าไม่อายจริงๆ!” จื่อหลัวกัดฟันกรอด นางไม่เข้าใจว่าผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นหญิงสาวยุทธภพนั้นล้วนเป็นเช่นนี้หรือไม่ พบเจอผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง ก็ไล่ตามเข้ามาอย่างหน้าไม่อาย ไร้การอบรมสั่งสอนสิ้นดี ทั้งยังไม่สนใจชื่อเสียงของตนแม้แต่น้อย
“พอเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง จื่อหลัวหุบปากอย่างเชื่อฟังโดยทันที นางกระจ่างใจที่สุดว่าหลายวันมานี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แค่ดูเหมือนจะปกติ แต่ว่าบรรยากาศที่กดไว้อย่างถึงที่สุดรอบตัวนางนั้น เห็นได้ชัดว่าอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาในยามใด อย่างไรนางอย่าได้เอาตัวเองไปปะทะกับความโกรธของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะดีกว่า
“พี่หญิงมาแล้ว!” อวี้เมิ่งเหยาจัดวางกาน้ำชา และของว่างอีกสองสามอย่างในศาลาริมน้ำ เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์และสาวใช้ที่ติดตามมาอีกสามคน ใบหน้าที่เย็นยะเยือกคล้ายชั้นน้ำแข็งก็ปรากฏรอยยิ้มบางออกมา เผยท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตร สลายความเย็นชานั้นลงไป
“เรื่องอีเห็นมาอวยพรปีใหม่ไก่[1] นี่ช่างน่าขันจริงๆ สะใภ้ใหญ่ต้องระวังนะเจ้าคะ” ช่าจื่อกดเสียงเบาส่งเสียงเข้าไปในหูเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตะลึงไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าช่าจื่อจะมีวรยุทธ์ที่ถอดเสียงให้ล่องลอยเข้ามาในหูของนางเช่นนี้ได้ด้วย แม้ว่าจะยังไม่เชี่ยวชาญมาก แต่ก็เหนือความคาดหมายอยู่ดี ดูท่าตัวเองจะประเมินนางต่ำไปจริงๆ
อวี้เมิ่งเหยาเอาแต่ยืนอยู่ข้างศาลาริมน้ำอยู่อย่างนั้น ทั่วทั้งร่างอยู่ในชุดคลุมเสื้อขาวบริสุทธิ์ ถือขลุ่ยมรกตไว้ในมือ แม้ว่าจะไม่ได้ดูแลผิวพรรณจนเรียบเนียนอ่อนนุ่มเหมือนดั่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขนาดนั้น แต่ดีที่นางผิวขาวแต่กำเนิด รวมกับปิ่นปักผมเรียบๆ ที่อยู่บนผมยาวสลวย ภาพที่งดงามเรียบหรูเช่นนั้น สามารถเรียกได้ว่าเป็นเทพธิดาอย่างแท้จริง
“คุณหนูอวี้อายุมากกว่ามี่เอ๋อร์ คำเรียกเช่นนี้เกรงว่ามี่เอ๋อร์คงไม่อาจรับไว้ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่ทราบว่าคุณหนูอวี้ให้สาวใช้เรียกข้ามาที่นี่เพราะเรื่องอันใดหรือ? หากเพราะเรื่องเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงนั้น มี่เอ๋อร์เกรงว่าคงไม่อาจทำได้!”
เห็นได้ชัดว่าอวี้เมิ่งเหยายังไม่ได้ฝึกฝนจนถึงขั้นชำนาญ ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยเผยยิ้มอีกครั้งทันที “ทราบมาเช่นกันว่าพี่หญิงกำลังเรียนรู้ดูแลเรื่องในบ้าน ยากที่จะปลีกตัว หากไม่มีเรื่องจริงๆ ก็คงไม่กล้ารบกวนเรียกพี่หญิงมาหรอก! ตัวน้องมีเรื่องอยากจะพูดกับพี่หญิงเพียงลำพัง ไม่ทราบว่าพี่หญิงจะสามารถให้คนข้างกายออกไปก่อนได้หรือไม่?”
“สะใภ้ใหญ่ไม่ได้นะเจ้าคะ!” ช่าจื่อโผล่งออกมาอย่างเป็นกังวล ต้องรู้ว่าแม้อวี้เมิ่งเหยาจะดูบอบบาง แต่ก็เป็นคนที่ร่ำเรียนวรยุทธ์มาตั้งแต่เล็ก หากว่าจู่ๆ นางเกิดคิดร้ายกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นมา ผลที่ตามมาก็ไม่กล้าจะคิดจริงๆ
“ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ก่อนกล่าว “จื่อหลัว เจ้าก็รั้งตัวอยู่กับพวกนางทั้งสองคนที่นี่ ข้าและคุณหนูอวี้จะไปเดินเล่นแถวริมทะเลสาบ จะได้พูดคุยกันดีๆ ด้วย”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” จื่อหลัวกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่นางรู้จักนิสัยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดี จึงไม่กล้าจะพูดให้มากความ
อวี้เมิ่งเหยาตะลึงไปเล็กน้อย นางเสียเวลาไปอย่างมากกับการวางแผนที่ศาลาริมน้ำ คาดไม่ถึงว่าประโยคเดียวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ทำให้ความพยายามทั้งหมดของนางล่องลอยหายไปกับสายน้ำทันที แต่ว่า เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยใบหน้าเยือกเย็น ทั้งยังสาวใช้ข้างกายนางที่แม้ว่าจะมีท่าทีไม่เห็นด้วย กระนั้นกลับยังเคารพเชื่อฟังในคำสั่ง ก็รู้ว่าคำพูดของนางนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่อาจปล่อยโอกาสให้นางหลุดมือไปได้ ใครจะรู้ว่าภายหลังยังจะนัดนางออกมาได้อีกหรือไม่ อย่างไรก็ฉวยโอกาสลงมือเมื่อจังหวะเหมาะสมเถิด!
“เชิญพี่หญิง!” แววตาของอวี้เมิ่งเหยาที่ปรากกฏความผิดหวังทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์วูบไหวอยู่ในใจ หรือละครที่นางวางไว้จะมีข้อจำกัดเรื่องสถานที่? มองการแต่งกายนี้ของนาง ทั้งจงใจเดินมาอยู่ริมน้ำ นางคงไม่ใช่ว่าคิดจะสร้างฉากเล่นละครตกน้ำกระมัง! เพียงแต่นางคิดอยากจะให้ใครตกน้ำกัน?
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยอมอ่อนให้เล็กน้อย เดินไปยังทางเล็กๆ ที่วนรอบทะเลสาบ เมื่อแน่ใจว่าพวกสาวใช้ไม่อาจได้ยิน ทั้งรั้งตัวให้อยู่ในขอบเขตการมองเห็นของพวกนาง ก็หยุดฝีเท้าลง กล่าวขึ้นอย่างราบเรียบ “คุณหนูอวี้มีเรื่องอะไรจะพูดก็พูดในยามนี้เถิด?”
อวี้เมิ่งเหยาขบริมฝีปาก ใบหน้าเผยท่าทีเสียใจ ฝืนยิ้มกล่าว “ข้าอยากจะกระชับความสัมพันธ์กับพี่หญิงให้มากขึ้นมาโดยตลอด แต่ข้าไม่ทราบว่าพี่หญิงได้เข้าใจอะไรข้าไปผิดหรือไม่ ข้ามองไม่เห็นความรู้สึกดีๆ ในดวงตาของพี่หญิงเลย วันนี้เชิญพี่หญิงมา ก็เพราะอยากจะพูดคุยกับพี่หญิงให้เข้าใจ”
“เข้าใจผิด?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบเย็น “ข้าว่าพวกเราไม่มีความเข้าใจผิดอะไรกัน เพียงแต่…” นัยน์ตานางหดเล็กน้อย มองเห็นด้านหน้าไม่ไกลมุมหนึ่งมีชายเสื้อคลุมวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ที่แท้ที่นี่ก็ยังมีคนอยู่อีก คิดอยากจะรับบทเป็นนกกระจอกที่ฉวยเหยื่อไปในตอนสุดท้ายอย่างนั้นรึ?
“เพียงแต่อะไร?” อวี้เมิ่งเหยาพยายามทำให้ตัวเองดูน่าสงสาร กล่าวอย่างเศร้าใจ “ขอให้พี่หญิงอธิบายให้ชัดเจน”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินออกไปอีกสองก้าว เด็ดดอกเยวียนเหว่ยที่ริมทะเลสาบขึ้นมา มองสีขาวพิสุทธิ์ของดอกนั้น ก่อนจะหมุนกายไปเผชิญหน้ากับอวี้เมิ่งเหยา กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น “เพียงแต่พวกเราไม่อาจเป็นเพื่อนกันได้!”
“เพราะเหตุใด?” แววตาของอวี้เมิ่งเหยาปรากฏความเกลียดชังวาบผ่านไป ทว่ายังคงเผยใบหน้าน่าสงสารอยู่เช่นนั้น “หรือเพราะเมิ่งเหยาเป็นหญิงยุทธภพ จึงไม่อยู่ในสายตาของพี่หญิง?”
“คุณหนูอวี้เป็นคนหลักแหลม คงจะเข้าใจว่าความหมายที่ข้าพูดคืออะไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขยำดอกเยวียนเหว่ย ก่อนจะปล่อยทิ้งไปบนพื้น ใช้เท้าเหยียบบดจนแหลกละเอียด การกระทำนั้นกระตุกใจอวี้เมิ่งเหยา ทว่าก็ได้ยินเยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็นต่อ “พวกเจ้ามีความรู้สึกอย่างไรกับสามี อย่าว่าแต่ตระกูลซั่งกวนเลย เกรงว่าแม้แต่ทั้งยุทธภพก็ยังคงรู้ทั่วกันกระมัง ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะเป็นมิตรกับหญิงสาวที่ปรารถนาสามีของตัวเองได้หรอก”
“ข้าเพียงแค่ชื่นชมในตัวพี่เจวี๋ยเท่านั้น หาได้คิดเกินเลยไม่!” อวี้เมิ่งเหยาไม่มองดอกไม้สีขาวที่ถูกบดเข้ากับดินโคลนนั้นแล้ว นางหยิกลงบนขาของตนเองอย่างแรงแทน ความเจ็บปวดนั้นทำให้นางน้ำตาคลอเบ้า ดูคล้ายกับน่าสงสารเป็นอย่างมาก เสียดายที่ผู้ที่เผชิญหน้ากับนางมีฝีมือชั้นยอด และก็เป็นคนที่ใจไม้ไส้ระกำด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้คิดเกินเลย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นเสียงสูงเล็กน้อย ในที่สุดหูก็สัมผัสถึงการเคลื่อนไหวที่แผ่วเบาจากด้านหลัง นางแย้มยิ้มภายในใจ ทว่าใบหน้ากลับเผยท่าทีโกรธเคืองและไม่พอใจออกมา “ช่างเป็นความไม่ได้คิดเกินเลยที่ดีจริงๆ? หากไม่ได้คิดเกินเลย คุณหนูอวี้จะไม่สนใจชื่อเสียงและความบริสุทธิ์ของตระกูลตนเอง ไล่ตามสามีมาถึงลี่โจวได้รึ? เอาแต่เรียก ‘พี่เจวี๋ย’ ไม่ขาดปาก? ทั้งยังหน้าด้านเข้ามาในตระกูลซั่งกวนไม่ยอมไปไหนอีก?”
“เจ้า…” อวี้เมิ่งเหยาโกรธแทบควันออกหู แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดออกมาได้เจ็บแสบถึงเพียงนี้ จะสนใจเรื่องเล่นละครได้อีกอย่างไรกัน ท่าทีที่เศร้าสร้อยนั้นมลายหายไปในทันที
“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยท่าทีดุดันอยู่บ้าง กล่าวย้อนถาม “เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้ารู้แล้วว่าสามีมีสัญญาหมั้นหมาย ทั้งตอนนี้ยังมีภรรยาแล้ว กลับไล่ตามมาอย่างหน้าไม่อาย ยังจะมาพูดอีกว่าไม่ได้คิดเกินเลย หรือต้องให้มากกว่านี้ ปีนขึ้นไปบนเตียงสามีอย่างตรงๆ จึงจะค่อยเรียกว่าคิดเกินเลยได้อย่างนั้นรึ?”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย!” อวี้เมิ่งเหยาตะโกนออกมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับถูกทำให้ตกใจ ใบหน้านั้นปรากฏท่าทีหวาดกลัวออกมา ฝีเท้าก็ก้าวถอยไปด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว หยุดอยู่ที่ริมทะเลสาบพอดี หากก้าวอีกก้าวก็ตกน้ำอย่างแน่นอน
อวี้เมิ่งเหยาได้สูญเสียสติโดยสิ้นเชิง กล่าวอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “เจ้าก็เป็นเพียงหญิงสาวตระกูลพ่อค้าต่ำต้อย ถือสิทธิ์อันใดมาแต่งกับพี่เจวี๋ยที่สมบูรณ์แบบถึงขนาดนั้น? เจ้าถือสิทธิ์อันใด?”
ตอนนี้แหละ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเห็นจื่อหลัว ช่าจื่อ และติงเอ๋อร์วิ่งตามเข้ามาอย่างรีบเร่ง จู่ๆ ร่างนางก็แข็งทื่อ ตัวแข็งล้มลงไปข้างหลังทั้งอย่างนั้น โดยมีภาพสะท้อนในดวงตาเป็นใบหน้ายากที่จะเชื่อของอวี้เมิ่งเหยา ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างตกใจที่มาจากพุ่มดอกไม้ด้านหลัง นางไม่ได้ส่งเสียง ทั้งไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด ก็ร่วงลงสู่น้ำไปอย่างแข็งทื่อเช่นนั้น…
หลังจากที่ร่างจมดิ่งลงไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เป่าฟองออกมาอย่างระมัดระวัง ทั้งรวบรวมพลังไปที่นิ้วมือไปพลาง สกัดจุดที่ไหล่ เอว และขาไปอย่างแรง กัดฟันแน่น พยายามรักษาท่าทีให้สงบนิ่ง จวบจนได้ยินเสียงคนกระโดดลงน้ำ จึงค่อยมีท่าทีพอใจขึ้นมา พ่นหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา ก่อนจะสูดเอาน้ำเข้าไปเฮือกใหญ่ หรี่ตา ประคองสติที่เหลืออยู่ จนเมื่อมองเห็นใบหน้าที่ตกใจของช่าจื่อ ทั้งยังสัมผัสถึงมือที่พยุงร่างนางขึ้นมา จึงค่อยผ่อนคลายลง สลบไปได้อย่างสบายใจ…
“สะใภ้ใหญ่…” จื่อหลัวตะโกนทั้งร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ช่าจื่อ เร็วเข้ารีบพาสะใภ้ใหญ่กลับไป!”
ช่าจื่อพยักหน้า ภายใต้ความช่วยเหลือของติงเอ๋อร์ ก็พยุงร่างที่แข็งทื่อไม่ได้สติของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นบนหลัง แบกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกไปด้วยความรวดเร็วอย่างถึงที่สุด โดยหลงเหลือสายน้ำลากยาวตามเป็นทางที่นางไป
“คุณหนูอวี้ นี่คือจุดประสงค์ของท่านใช่หรือไม่?” จื่อหลัวถลึงตามองอวี้เมิ่งเหยาที่กำลังสับสนอย่างดุดัน “ท่านคิดอยากจะทำร้ายสะใภ้ใหญ่ของพวกเราให้ตกตาย ดังนั้นจึงไม่อยากให้พวกเราคอยรับใช้อยู่ข้างกายใช่หรือไม่?”
“ข้า…ข้าเพียงแค่…” อวี้เมิ่งเหยาคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก แต่ก็ถูกจื่อหลัวตะโกนจนมึนงงไป นางไม่มีความคิดที่จะผลักเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกน้ำ ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ ที่นางคิดก็เป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผลักนางตกลงไปในน้ำต่างหาก ให้พี่เจวี๋ยรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นจิตใจอำมหิต ไม่มีความเมตตา และก็จะทำให้พี่เจวี๋ยสนใจนางก็เท่านั้น นางไม่ได้คิดจะทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกน้ำเสียหน่อย…
แต่ว่า ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกลงไปในน้ำทั่วทั้งตัวกลับแข็งทื่อ แม้แต่เสียงร้องก็ยังไม่มี ในตอนที่สาวใช้ผู้นั้นพยุงขึ้นมาก็ยังแข็งทื่ออีก คงไม่ใช่ว่าเบื้องหลังมีคนเล่นเล่ห์กลอะไรหรอกนะ ไม่เพียงแต่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกใจจนตกน้ำ แต่ยังทำให้ตนเองกลายเป็นแพะรับบาปแทนด้วย?
“เจ้าฟังข้าพูดก่อน…” อวี้เมิ่งเหยาดึงสติคืนมา แต่ในยามที่รู้สึกตัว จื่อหลัวที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้จากไปจนไม่เห็นเงาแล้ว…
——————————–
[1] อีเห็นมาอวยพรปีใหม่ไก่ เป็นสำนวนจีน อุปมาว่า ภายนอกทำเป็นใจดีมีเมตตา แต่ในใจกลับมุ่งร้ายไม่หวังดี