เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 147 ก่อนกลับจวน
หลังจากจัดการกับเรื่องที่ไม่สบายใจเหล่านั้นแล้ว ซั่งกวนฮ่าวก็กลับไปพร้อมกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่มีชีวิตชีวา ซั่งกวนจิ่น อยู่สะสางงานต่อ ในขณะที่ซั่งกวนเจวี๋ยพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที่เรือนสดับวายุ ซั่งกวนฮ่าวตั้งใจให้พวกเขาหยุดครึ่งเดือน ซึ่งทั้งคู่ไม่ได้มีเวลาว่างมากนักตั้งแต่แต่งงานมาจะได้สัมผัสความสุขกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมใช้ชีวิตเฉกเช่นสามีภรรยาโดยไม่ถูกรบกวนสักหน่อย
“พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ซบหน้าอกของซั่งกวนเจวี๋ยด้วยรอยยิ้มอันหวานชื่นเปี่ยมสุข แม้จะเป็นเวลาเพียงครึ่งเดือนสั้นๆ แต่สำหรับทั้งสองคนแล้วกลับเอ่อล้นไปด้วยความเบิกบานใจ ความเงียบสงบและความหลงใหล ได้ไปชมดอกบัวนั่งวาดภาพ ณ ริมทะเลสาบ เล่นพิณเป่าขลุ่ย อยู่ในช่วงอารมณ์ดีๆ ทั้งมี่เอ๋อร์ยังลงครัวด้วยตัวเอง ทำอาหารหลายอย่างที่ซั่งกวนเจวี๋ยติดใจรสมือชมไม่ขาดปาก…ที่เรียกว่าลงครัวด้วยตัวเองคือมี่เอ๋อร์เป็นผู้เลือกวัตถุดิบเอง สั่งพ่อครัวหั่นให้เข้ากัน แล้วมี่เอ๋อร์จะเตรียมเครื่องปรุงที่จำเป็น จากนั้นสั่งให้พ่อครัวทำจนเสร็จเรียบร้อย แต่เพียงแค่เท่านี้ ก็ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยพอใจและประทับใจได้ ถ้ามี่เอ๋อร์ทำทุกอย่าง เขาก็น่าจะเป็นห่วงมือทั้งคู่ที่เรียวงามและนุ่มนวลของนางอยู่เช่นกัน
ชีวิตที่ปราศจากการรบกวนเป็นเวลาครึ่งเดือนนั้นแสนหวาน ในยามรุ่งอรุณจะเอนนอนอยู่ในอ้อมแขนของซั่งกวนเจวี๋ย อย่างเกียจคร้าน ได้เล่นหยอกล้อกับเขา ไม่ให้เขาลุกขึ้นมาฝึกยุทธ์จนติดเป็นนิสัย ขณะกินอาหารก็ไม่ต้องทำตามกฎ พูดคุยหัวเราะกับเขาได้ และทำเป็นงอนง้อให้เขาป้อนอาหารให้ตัวเอง มีอาหารจานเล็กๆ สามถึงห้าจานอยู่ท่ามกลางแสงจันทรา พร้อมกับเหลิ่งกานสักกา รินสุราสักหน่อยก็ไม่มีใครพูดอะไรแล้ว…แน่นอน มี่เอ๋อร์ไม่กล้าวางถ้วย ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยต่อให้จะวางถ้วยก็เพียงแค่ดื่มไปกาครึ่งเท่านั้นเอง
และสิ่งที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์พอใจคือ ซั่งกวนเจวี๋ยได้คุยเปิดใจกับนางแล้ว เล่าเรื่องราวตลกๆ ในวัยเด็กกับนาง เรื่องอันตรายและความสุขถึงอกถึงใจในการออกท่องยุทธภพ ความกังวลภายในใจของลูกชายคนโตของตระกูลชนชั้นสูงและความรับผิดชอบที่เขาต้องแบกรับ…มี่เอ๋อร์แปลกใจว่าในขณะที่สนทนากันโดยบังเอิญคราหนึ่ง เขาเอ่ยถึง ‘คุณหนูสุรา’ ผู้นั้นที่ใครเห็นเป็นต้องชื่นชอบและชื่นชม แม้จะบอกเพียงว่ามีคนเช่นนี้ แต่ก็ทำให้มี่เอ๋อร์ใจสั่นสะท้านไปทั้งตัว อยากจะส่งเสียงไชโยโห่ร้อง ซึ่งหมายความว่าซั่งกวนเจวี๋ยยังไม่ลืม ‘คุณหนูสุรา’ ยังคงคิดถึงนาง ถึงขั้นหมกมุ่นอยู่กับทุกอย่างที่เกี่ยวกับ ‘คุณหนูสุรา’ แต่เขาก็ยกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ในตำแหน่งที่พอๆ กับ ‘คุณหนูสุรา’ เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นมา
ถ้าซั่งกวนเจวี๋ยไม่เคยลืมเลือนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์คงจะหัวเราะร่าประหนึ่งบุปผาผลิบานเป็นแน่ แต่ในใจกลับอยากจะสับร่างของผู้หญิงคนนั้นเป็นหมื่นๆ ชิ้นไปแล้ว ทว่า ‘คุณหนูสุรา’ นั้นหาใช่ใครอื่นไม่ นั่นคือตัวนางเองที่ไร้จรรยาและการผูกมัดตัวตน พูดถึงความรักโลภโกรธหลงของตัวเองออกมาได้ตามใจชอบ ทำตามอำเภอใจของตัวเองได้ แสดงความงามอันเย้ายวนที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งหลงใหลเคลิบเคลิ้ม โจมตีได้โดยปราศจากคำพูด บริสุทธิ์และไร้มลทินราวกับเทพยดา มีเสน่ห์หยาดเยิ้มปานเทพธิดาได้…และยามที่แปลงกายเป็น ‘คุณหนูสุรา’ นั้น นางถึงได้ตกหลุมรักซั่งกวนเจวี๋ย ถ้าซั่งกวนเจวี๋ยขจัด ‘คุณหนูสุรา’ ออกไปจากหัวใจได้ นางก็ใคร่อยากจะบีบคอเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกอึดอัดใจเสียจริง…จะบอกตามสัตย์จริงดีหรือไม่? ถ้าเจวี๋ยรู้ว่า ‘คุณหนูสุรา’ คือตัวนางเองคงจะดีใจมากแน่ แต่จะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไรดี? ถ้าซั่งกวนฮ่าวรู้ว่าท่านป้าเป็นคนที่เหลืออยู่ของลัทธิมารสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่ลอบสังหารเขาหลายครั้งจะเกิดอะไรขึ้น? เฮ้อ…พักไว้ก่อนเถอะ รอจนกว่าจะตั้งท้อง เวลาที่พวกเขาซักถามเรื่องนี้กับตนเองก็ค่อยพิจารณาแก้ปัญหานี้ไป
“มี่เอ๋อร์ หลังจากกลับไปข้าอาจจะอยู่กับเจ้าได้หกเจ็ดวันก็ต้องออกไปสักพัก” ซั่งกวนเจวี๋ยอุ้มภรรยาที่บอบบางไว้ในอ้อมอก รู้สึกละอายแก่ใจเล็กน้อย เขาไม่ต้องการจากไปในเวลานี้เช่นกัน แต่เรื่องบางอย่างก็มีเพียงแค่เขาที่ทำได้
“ออกไป? ไปไหน จะไปนานแค่ไหน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว อาลัยอาวรณ์ที่จะแยกจากซั่งกวนเจวี๋ยในช่วงเวลาแห่งความรักอันน่าหลงใหล และไม่อาจทนต่อความเหงาของการอยู่คนเดียวได้
“ก่อนที่งานประลองยุทธ์จะมาถึง ข้าต้องไปตรวจสอบทรัพย์สินที่ดินทั้งหมดของตระกูลซั่งกวนที่อยู่ใกล้ลี่โจว โดย เฉพาะอย่างยิ่งที่เหมืองแร่ ต้องเสริมสร้างการป้องกันและมาตรการที่จำเป็นต่างๆ จะให้คนที่ไม่ปรากฏชื่อฉวยโอกาสงานประลองยุทธ์ลอบเข้ามาในลี่โจวไม่ได้” ซั่งกวนเจวี๋ยเล่าสั้นๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในกิจธุระประจำเช่นกัน เมื่อจัดงานประลองยุทธ์ใกล้กับเขตที่ดินสำคัญของตระกูลซั่งกวน เขาจำเป็นต้องไปลาดตระเวนสักครั้ง เสริมการป้องกันให้แข็งแกร่ง งานประลองยุทธ์ถือเป็นงานใหญ่ระดับยุทธภพ ผู้คนจากยุทธภพไม่ทราบว่ากี่มากน้อยจะประดังประเดกันมาที่นี่ ผู้คนจำนวนมากที่ไม่รู้จักจะใช้ช่องว่างนี้เข้ามาหาประโยชน์ ตระกูลใหญ่ทั้งแปดเคยต้องประสบกับปัญหาวุ่นวายนี้เช่นกัน…มีคนแฝงตัวมาในงานประลองยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลอื่นๆ หรือราชสำนัก หรือผู้ที่ต้องการแอบอ้างรับเงินจากเศรษฐี คนที่ฉกฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์จะกรูกันเข้ามา จากนั้นก็รีบเข้าไปในเหมืองที่การป้องกันอ่อนแอในช่วงสองสามวันที่งานประลองยุทธ์คึกคักที่สุด แล้วจะเหิมเกริมปล้นทำลายจนสูญเสียอย่างหนัก
ส่วนที่ซั่งกวนเจวี๋ยกังวลมากขึ้นคือมีสายแร่ทองแดงที่มีปริมาณทองคำสูงมากของตระกูลซั่งกวนอยู่ใกล้กับลี่โจว สายแร่สังกะสีกับตะกั่วสองสายที่มีปริมาณแร่เงินสูงมากและสายแร่เหล็กสามสายที่มีร่องรอยของคนแปลกๆ ปรากฏตัวขึ้น สำหรับด้านแร่เหล็กพักไว้ก่อนชั่วคราวได้ แต่สายแร่อีกสามสายก็เป็นพื้นที่สำคัญที่สุดของตระกูลซั่งกวนเช่นกัน เขาต้องไปตรวจที่นั่นด้วยตัวเอง
“โอ้…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างเหนื่อยหน่าย แม้ซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่อธิบายอะไรเลย แต่นางก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเร่งด่วน และซั่งกวนฮ่าวให้ซั่งกวนเจวี๋ยได้พักครึ่งเดือนเพื่ออยู่กับตัวเองในเวลานี้เป็นเรื่องที่หายากและมีน้ำใจมากยิ่งนัก
“ท่านพ่อท่านแม่จะออกจากลี่โจวไปเซิ่งจิงในอีกสองวันที่จะถึง มีเพียงเจ้าอยู่เรือนคนเดียว ระวังตัวด้วยนะ” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกเสียใจอย่างกะทันหันที่ในยามนั้นซั่งกวนฮ่าวโพล่งหลุดปากว่าจะพามารดาออกไปพักผ่อนหย่อนใจ เป็นเพราะเหตุการณ์นี้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจึงเตรียมตัวอย่างกระตือรือร้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถ้าจะให้พวกเขายกเลิกแผนการดูจะใจร้ายไปหน่อย…ปลายเดือนเก้าเป็นงานแต่งของหลิงหลง พวกเขาจะต้องกลับมาในปลายเดือนแปดถึงต้นเดือนเก้า แล้วต้องรอจนกว่าจะมีเวลาและความสนใจในครั้งต่อไปซึ่งอาจจะเป็นปีหน้า
“ข้ารู้แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ค่อยกังวลปัญหาเหล่านี้ แม้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะคอยจับผิดนางอยู่ ทั่วป๋าฉินซินก็จ้องเขมือบตาเป็นมันอยู่ในตระกูลซั่งกวน แต่แทนที่จะให้ซั่งกวนเจวี๋ยอยู่เคียงข้างเพื่อแลกกับการให้ทั่วป๋าฉินซินมาเล่นลูกไม้ นางยอมให้ซั่งกวนเจวี๋ยออกไปทำธุระ แล้วปล่อยให้ผู้หญิงที่รอซั่งกวนเจวี๋ยกลับจวนและเข้ามายุ่งพัวพันด้วยผู้นั้นผิดหวังจะได้จรลีจากไป
“น้องอิงจะอยู่บ้าน แม้เขาจะยังเด็ก ไม่มีความคิดอะไร แต่ถ้าหากมีอะไรที่ขัดแย้งกับท่านย่า เจ้าควรจะยอมอ่อนข้อให้บ้าง ปล่อยให้เขาต่อสู้กับท่านย่า เจ้าอย่าเผชิญหน้ากับนางโดยตรง” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่หวั่นวิตกที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะลอบทำอะไรอย่างลับๆ เพราะมี่เอ๋อร์เฉลียวฉลาด จะแก้ไขกลอุบายเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เขากังวลคือความลำบากใจที่ต้องประจันหน้ากับทั่วป๋าซู่เยวี่ยผู้ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมผู้นั้นต่างหาก
“ข้าทราบแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กอดเอวของเขาแน่น หัวใจอบอุ่น ความห่วงใยของซั่งกวนเจวี๋ยทำให้นางอิ่มเอมใจยิ่งนัก
“ถ้ามีอะไรปรึกษาลุงจิ่นได้ หากพวกนางทำเลยเถิดเกินไปจริงๆ แล้วเจ้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับพวกนางอีก แค่หลีกเลี่ยง มาพักอยู่ในเรือนสดับวายุ หวงจิ่วเป็นพ่อบ้านคอยดูแลที่ท่านแม่พามาจากตระกูลหวงฝู่ เรือนสดับวายุจะเป็นทรัพย์สินในนามของเจ้าอีกครั้ง พวกเขาจะทำอะไรเจ้าไม่ได้” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งพูดยิ่งเริ่มกังวลมากขึ้น
“เจ้าวางใจได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มแล้วโน้มตัวไปหอมซั่งกวนเจวี๋ยพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ใช่คนที่อับจนหนทางรอวันตาย จะไม่ให้พวกเขาใส่ร้ายง่ายๆ และจะไม่หุนหันพลันแล่นคิดต่อกรกับพวกนางอย่างเอาเป็นเอาตาย ตราบใดที่เห็นท่าไม่ดี ข้าจะหลบออกมา ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เป็นภรรยาของเจ้า เป็นสะใภ้ใหญ่ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของตระกูลซั่งกวน ฮูหยินใหญ่หาเรื่องและกลั่นแกล้งข้าในจวนได้ ครั้นข้าออกจากจวน นางยังจะทำอะไรกับข้าได้อีก? เจ้าทำใจให้สบายเถิด”
“ต้องระวังด้วยล่ะ!” ซั่งกวนเจวี๋ยเป็นห่วงตัดใจไม่ลง แต่เขาต้องทำไปตรวจสอบด้วยตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะมีความสามารถหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่เรื่องของสถานะ
“ยังมีเวลาอีกหกเจ็ดวันมิใช่หรือ ทำตัวราวกับจะแยกจากกันเสียแต่บัดนี้ได้อย่างไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกขำกับท่าท่างของซั่งกวนเจวี๋ย
“ก็ใช่ อีกอย่างมีคนบอกว่าคู่สามีภรรยาห่างกันไปสักพักจะดีกว่าคู่บ่าวสาวที่แต่งกันใหม่ๆ เมื่อข้ากลับมาจะทำให้มี่เอ๋อร์หลงใหลได้ปลื้มมากขึ้นไปอีกแน่” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกขบขันเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ตกใจเล็กน้อย เขาคิดคะนึงหามี่เอ๋อร์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันหรือ?
“แต่ว่า อวี่ฮ่าวจะไปกับท่านพ่อและคนอื่นๆ ด้วยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกนัยน์ตาไปมา แล้วนึกถึงสิ่งที่นางสงสัยได้ในทันใด
“ใช่” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าแล้วเล่าว่า “เนื่องจากพ่อของอนุภรรยาหวังมีส่วนพัวพันกับอ๋องเหยี่ยน พ่อของนางจึงถูกสะบั้นเอวออกเป็นสองท่อน ลูกสาวในครอบครัวถูกนำมาเป็นนางโลมในวงสังคีต ลูกชายทุกคนไปทำงานในเหมือง มีเพียงน้องชายที่อายุไม่ถึงห้าขวบคนเดียวเท่านั้นที่ถูกคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์รู้ข่าวจึงนำตัวไปก่อนล่วงหน้า อนุภรรยาหวังถูกชะตากับท่านแม่ ตอนที่นางยังเป็นคนทำความสะอาดก็ถูกไถ่ตัวมาไว้ในห้องของท่านพ่อ ญาติของนางทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ท่านแม่ช่วยพาออกมาด้วยเช่นกัน ท่านแม่ช่วยตามหาแม้กระทั่งน้องชายของนาง ดังนั้นนางจึงซาบซึ้งในบุญคุณของท่านแม่ ไม่เคยคิดคดทรยศ หลังจากที่ญาติพี่น้องของนางประสบกับการพลัดพรากและได้หวนกลับมาเจอกัน เพราะความทุกข์ระทมเจ็บปวดจากการแยกจากกัน นางจึงมองทุกอย่างให้เรียบง่าย ไม่ได้กลับไปที่เซิ่งจิง แต่ใช้ชีวิตแบบปุถุชนคนธรรมดาที่สุดในสถานที่เล็กๆ ในลี่โจว มีเพียงน้องชายของนางเท่านั้นที่ยังอยู่ในเซิ่งจิง เขาก็มีความสามารถมาก สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับท้องถิ่นเมื่ออายุสิบหกปี หลังจากนั้นก็เพราะได้ท่านแม่อุปถัมภ์ค้ำชู ถือได้ว่าก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ร่ำเรียนจนฉลาด ทุ่มเทสุดจิตสุดใจให้กับการศึกษาเท่านั้น ไม่แตะต้องเหตุการณ์บ้านเมือง ตอนนี้เรียนบัณฑิตอยู่ที่สำนักศึกษาชั้นสูง ทั้งสองพี่น้องไม่ได้เจอกันมาเจ็ดแปดปีแล้ว ท่านแม่จะพานางไปด้วยอย่างแน่นอน ส่วนอวี่ฮ่าวก็ดูแลอนุภรรยาหวังจนติดเป็นนิสัยตั้งแต่จำความได้ ก็ย่อมจะมาด้วยกัน ว่าแต่เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ?”
“เจ้าไม่รู้สึกว่าอวี่ฮ่าวมีอะไรผิดปกติบ้างหรือ?” ในดวงตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เต็มไปสายตาสงสัยใคร่รู้ อยากรู้มากว่าเหตุใดอวี่ฮ่าวถึงชอบชิงหวั่น ควรรู้ไว้ว่าชิงหวั่นอายุมากกว่าเขาหลายปี อย่างไรก็ตาม ภรรยาที่แก่กว่าสามีมีดีสามประการ ทั้งดูแลสามีดุจลูกชาย ให้คำปรึกษาสามีดั่งน้องชายและเคารพสามีเฉกเช่นภรรยาทั่วไป ดูเหมือนจะดีงามทีเดียว
“ผิดปกติหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้ว คิดอย่างรอบคอบแล้วพูดว่า “คล้ายจะดีกว่ายามปกติที่เก็บเนื้อเก็บตัวไม่พูดจาอยู่บ้าง มีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย แต่ในงานชมดอกบัวก็มีหลายคนที่วัยไล่เลี่ยกับเขา เขาจะดูกระชุ่มกระชวยซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“ข้าว่าไม่ปกติ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับว่า “ดูเหมือนเขาจะอยู่ใกล้ๆ พี่ใหญ่มู่หรงเพื่อเอาใจ ยามเขาเห็นชิงหวั่นก็มักจะแอบมองอยู่เสมอ ข้าถึงขั้นเคยเห็นเขาลอบส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มไปให้ชิงหวั่นด้วยล่ะ แต่ชิงหวั่นราวกับเจตนาจะหลีกเลี่ยงเขา”
“ไม่กระมัง…” นัยน์ตาของซั่งกวนเจวี๋ยเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดูคล้ายว่าจะมีข้อสงสัยเช่นนี้ เพียงแต่ทั้งสองก็ดูไม่ค่อยเข้ากัน
“ชิงหวั่นเป็นคุณหนูที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดของตระกูลมู่หรง เป็นเรื่องยากที่ทั้งสองคนจะลงเอยกันได้” ซั่งกวนเจวี๋ยหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ต้องการให้อวี่ฮ่าวเจ็บปวดจากเหตุการณ์นี้
“นั่นมันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ชิงหวั่นไม่เพียงต้องแบกรับภาระหนักกับเหตุการณ์ในอดีตที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะ แต่ยังมีอาการคลุ้มคลั่ง ตระกูลมู่หรงยังจะเรื่องมากอะไรได้อีกเล่า? ข้าคิดว่าพี่ใหญ่มู่หรงรู้ใจของอวี่ฮ่าว ไม่เพียงจะไม่ขัดขวางเท่านั้น แต่ยังจะคอยช่วยเขาอีกด้วย สงเคราะห์พวกเขาให้สมความปรารถนาเป็นเรื่องดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เห็นด้วย
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะลองพูดหยั่งเชิงกับอวี่ฮ่าว ถ้าเขามีความคิดแบบนั้นก็ค่อยว่ากัน” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวพลางคิดว่าชิงหวั่นไม่คู่ควรกับอวี่ฮ่าวตามสัญชาตญาณของเขา แต่ถ้าอวี่ฮ่าวคิดแบบนั้นก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
นางเดาว่าเป็นอย่างนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่นจมูกด้วยความไม่พอใจ บางครั้งก็เกลียดนิสัยของซั่งกวนเจวี๋ย แต่บุรุษที่มีสติสัมปชัญญะเกินพอจะเป็นคนน่าเบื่อ มักจะเสียสติบ่อยๆ ส่วนผู้ชายที่ทำสิ่งต่างๆ ด้วยอารมณ์นั้นน่ากลัวมาก เสียการควบคุมง่าย ก่อปัญหาง่ายทำให้เรื่องไม่จบไม่สิ้น ถ้าซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนไร้เหตุผล เกรงว่านางจะหาโอกาสหนีไปก่อนเข้าห้องหอแล้วเป็นแน่…
———————————-
Related