เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 155 เป็นการเข้าใจผิดหรือ
“ต้องขอโทษจริงๆ เจ้าค่ะ ล้วนเป็นความผิดของบ่าวเอง!” แม่นมหนิงกล่าวทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้มมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยสีหน้าเรียบเย็น พร่ำขอโทษขอโพยด้วยท่าทีที่ไม่เลว ไม่มีการแสดงละครอย่างวันปกติโดยสิ้นเชิง
“คาดไม่ถึงว่าแม่นมหนิงจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ แค่ออกคำสั่งคำเดียว บ่าวพวกนั้นก็แทบไม่สนใจไยดีคำสั่งของสะใภ้ใหญ่เลย!” จื่อหลัวยิ้มเย็น นางเหิมเกริมเสียจริง คาดไม่ถึงว่าจะกล้าไล่เกี้ยวที่รออยู่หน้าประตูออกไป ทั้งบ่าวพวกนั้นก็ควรจะบอกกล่าวกันสักนิด ตรงกันข้ามไม่แม้แต่จะถามก็แยกย้ายกันออกไป
“ล้วนเป็นเพราะบ่าวเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงยิ้มรับ “บ่าวคิดว่าสะใภ้ใหญ่จะอยู่ทานอาหารเป็นเพื่อนฮูหยินใหญ่ ดังนั้นจึงปล่อยให้บ่าวพวกนั้นไปทานข้าวกันเสีย ล้วนเป็นความผิดของบ่าว ขอสะใภ้ใหญ่ลงโทษด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
“แม่นมหนิงจะผิดได้อย่างไร? เป็นความผิดของข้าจึงจะถูก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่ควรจะปฏิเสธการเหนี่ยวรั้งของฮูหยินใหญ่ ยิ่งไม่ควรโกรธแม่นมหนิงที่ปรารถนาดี”
“สะใภ้พูดเช่นนี้บ่าวก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วเจ้าค่ะ…” แม่นมหนิงคุกเข่าลงไปทันที “สะใภ้ใหญ่ในวันนี้ได้เป็นสะใภ้ของตระกูลแล้ว อย่างไรก็ขอสะใภ้ใหญ่ลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”
“ช่าจื่อ พยุงแม่นมหนิงขึ้นมาเถิด การให้เกียรติเช่นนี้ข้ารับไม่ไหวหรอก เจ้าเป็นคนสนิทของฮูหยินใหญ่ ใครจะกล้าทำอะไรเจ้ากัน! ลุกขึ้นมาเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลบตัวไปด้านข้างอย่างไม่แยแส ทำให้แม่นมหนิงคุกเข่าเก้อ พูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว หากนางจะลงโทษแม่นมหนิงจริงๆ นั่นก็เท่ากับว่าพอนางได้ค่อยๆ ดูแลรับผิดชอบเรื่องภายในบ้านแล้ว ก็ไม่คิดไว้หน้าทั่วป๋าซู่เยวี่ย มองข้ามหัวผู้ใหญ่ นางยังไม่อยากจะให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจับจุดอ่อนได้ในยามนี้ หมุนตัวทั้งกล่าว “จื่อหลัว ม่านเหอ พวกเราไปเถิด!”
พอช่าจื่อเข้าไปพยุง แม่นมหนิงก็ลุกขึ้นตามทันที เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำได้เพียงเดินจากไป ก็ถ่มน้ำลายออกมาเสียงเบา ให้คนใช้ด้านข้างพยุงนางกลับไป ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังคงรอคอยคำตอบอยู่!
———————————
“สะใภ้ใหญ่ จะปล่อยไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ?” ม่านเหอโมโหอยู่บ้าง คนที่บอกว่าตนเองไม่สบาย ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์มาหาก็เป็นนาง คนที่มาภายหลังก็พูดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแค่อยากหาคนพูดด้วยก็เป็นนาง ถ่วงเวลาอยู่ครึ่งวัน พอถึงเวลาอาหารก็มาถามว่า ทางครัวจัดเตรียมอาหารไว้ให้สะใภ้หรือไม่ก็ยังเป็นนางอีก สะใภ้ใหญ่จะรั้งตัวอยู่ทานข้าวด้วยอย่างนั้นรึ? อีกอย่าง แม้ว่าจะเตรียมไว้แล้ว สะใภ้ใหญ่จะกล้าทานรึ? ทั่วป๋าฉินซินกล้าถึงขนาดวางยาพิษใส่ในขนม ยังดีที่เซียงเสวี่ยคนซื่อทำตามคำสั่งของสะใภ้ใหญ่นำเอาไปโยนให้ปลากินจริงๆ แม้ว่าจะตกใจที่ฆ่าปลาตายไปจำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้กระทบถึงชีวิตใคร หากนางเล่นลูกไม้อะไรใส่อาหารอีก จะให้สะใภ้ใหญ่กินเข้าไปรึ?
“ข้าว่าฮูหยินใหญ่จงใจสร้างความลำบากให้สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” จื่อหลัวกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ไม่มีคำสั่งของฮูหยินใหญ่ แม่นมหนิงจะฉวยโอกาสมาไล่เกี้ยวไปได้อย่างไรเจ้าคะ? ข้าว่านางอยากจะให้สะใภ้ใหญ่โมโห หากสะใภ้ใหญ่บันดาลโทสะ ลงโทษแม่นมหนิงจริงๆ นางก็จะพูดได้ว่าสะใภ้ใหญ่ไม่ให้ความเคารพยำเกรงนาง แม้แต่แม่นมข้างกายนางก็ยังไม่ไว้หน้า แม่นมผู้นี้ยังเป็นแม่แท้ๆ ของอนุภรรยาหนิง หากไม่ลงโทษ สะใภ้ใหญ่ก็ทำได้แต่เพียงเดินกลับไป นางก็จะได้เห็นท่านตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก”
“คนใช้พวกนั้นก็สมควรตายจริงๆ แม้แต่จะถามก็ไม่ถามออกมาสักคำ ไปดื้อๆ เช่นนี้ ดูสิว่าข้าจะจัดการกับพวกนางอย่างไร” ม่านเหอก็รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยอมระงับความโกรธชั่วครู่เอาไว้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง แต่ก็ยังคงกล้ำกลืนฝืนทนไม่ลง เมื่อทำอะไรแม่นมหนิงไม่ได้ จะปล่อยคนพวกนั้นไปเฉยๆ ได้อย่างไรกัน?
“ม่านเหอ บางครั้งก็ต้องรู้จักอดทนอดกลั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเรียบนิ่ง ในยามนี้นางไม่โกรธอีกแล้ว ลงโทษคนใช้พวกนั้นแล้วจะมีประโยชน์อันใดอีก แม่นมหนิงต้องการให้พวกนางไป บอกว่าเป็นคำสั่งของฮูหยินใหญ่ พวกนางยังจะกล้าคัดค้านอะไรได้อีก? อีกอย่าง คนพวกนั้นล้วนอยู่ในความดูแลของอนุภรรยาอู๋มาก่อน ตัวเองเพิ่งรับช่วงต่อไม่ถึงสิบวันดี จะควบคุมคนอยู่หมัดได้อย่างไร พวกนางย่อมยินยอมจะฟังคำสั่งของอนุภรรยาอู๋มากกว่า หากบอกว่าก่อนที่อนุภรรยาอู๋จะออกจากหน้าที่นี้ไม่ได้ส่งคนพวกนี้ให้กับคนที่เชื่อใจคอยควบคุม ให้พวกนางร่วมมือกับฮูหยินใหญ่มาลอบกัดตนเอง อย่างไรนางก็คงไม่เชื่อ น่าเสียดายที่เวลานี้นางยังไม่รู้ว่าเป็นใครที่ลอบวางแผนให้คนพวกนี้ร่วมมือกับฮูหยินใหญ่เท่านั้น
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอก็รู้ว่าตัวเองหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่คิดถึงอาหารว่างอาบยาพิษของเมื่อวานนั้น ทั้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แม้ว่าจะโมโหจนอยากจะคิดบัญชีกับทั่วป๋าฉินซิน แต่ก็พยายามข่มกลั้นอารมณ์ลง ในใจของม่านเหอก็ล้วนไม่อาจสงบลงได้
“อย่างไรวันนี้อากาศก็ดีไม่หยอก พวกเราค่อยๆ เดินเล่นไปก็นับว่าไม่เลว!” คำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้เหล่าสาวใช้ไม่กี่คนพากันกลอกตาขึ้น อากาศนั้นดีมากจริงๆ ท้องฟ้าโล่งปลอดโปร่ง แต่ยามนี้ล่วงเข้าเดือนเจ็ดแล้ว แสงอาทิตย์สาดแสงจ้าจนแสบตา หากไม่ใช่เพราะถึงเวลาอาหาร ทั้งหากไม่ใช่ว่าที่นี่คือเรือนหลัง ที่ของฮูหยินใหญ่ พวกนางย่อมกล่อมให้สะใภ้ใหญ่หาที่พัก แล้วค่อยเรียกเกี้ยวให้กลับไปส่งแทนแน่
“เอาเถิด ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น เดินสักหน่อยก็เป็นเรื่องดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจพลางสั่นศีรษะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ม่านเหอจึงได้กล้าคิดกล้าทำกว่าก่อนที่จะมาอยู่ข้างกายตนเองมาก ทั้งทำเรื่องอะไรก็มีไหวพริบมากขึ้น แต่ก็เหมือนกับจื่อหลัวและลู่หลัว ที่ทำตามใจอยู่บ้าง ช่าจื่อก็เรียนเอาอย่างเช่นกัน เหิมเกริมขึ้นไม่น้อย
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” พวกสาวใช้รับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง แม้ว่าในใจจะมีโทสะอยู่บ้าง แต่เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่โกรธแล้ว พวกนางก็ค่อยๆ คลายอารมณ์ลง เดินยิ้มหัวเราะพากันกลับไป
“คนงามผู้นี้คือใครกัน? อวี่ไข่ไฉนไม่แนะนำให้พวกเรารู้จักบ้าง!” น้ำเสียงเหลาะแหละสอดแทรกเข้ามา เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยสีหน้าเรียบตึง ถอยหลังไปเล็กน้อย จื่อหลัวรีบเข้ามาบังกายนางทันที
“โถ่ คนงามไยจึงหลบหน้าหลบตาเสียแล้ว? นังเด็กโง่นี่ ไสหัวออกไป อย่ามาขวางทาง คุณชายจะดูคนงามเสียหน่อย!” พวกคุณชายที่ดูเสเพลห้าคนเดินกระง่อนกระแง่นเข้ามาทั้งหัวเราะอย่างเริงร่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองอย่างเรียบเย็นไปที จู่ๆ ก็คิดเรื่องที่จื่อหลัวพูดขึ้นมาได้ ดูท่าแล้วคงจะเป็นพวกสหายเกเรของอวี่ไข่ แต่อวี่ไข่กลับไม่อยู่ในนี้
“ที่นี่คือตระกูลซั่งกวน อย่างไรขอคุณชายทุกท่านคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย!” ม่านเหอขวางอยู่ด้านหน้า คาดไม่ถึงว่าจะพบเรื่องเช่นนี้ในจวนได้ ช่าจื่อส่งสายตาเป็นนัยให้ติงเอ๋อร์ ติงเอ๋อร์รู้ความนัย ก็คิดจะปลีกตัวออกไปทันที
“แม่เด็กตัวน้อยคนนี้คิดจะทำอะไร? ไปตามคนมาช่วยอย่างนั้นรึ?” พวกผู้ลากมากดีคนหนึ่งขวางติงเอ๋อร์ทั้งยิ้มกริ่ม ไล่ต้อนติงเอ๋อร์จนไปอยู่ด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงได้หยาบคายเช่นนี้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ร้อนรนใจมากแต่อย่างใด แค่พวกคุณชายเสเพลไม่กี่คนไม่ได้ทำให้นางกลัวหรอก เพียงแต่ชิงชังที่คนพวกนี้มองหน้าของตนเอง รู้สึกรังเกียจในใจก็เท่านั้น
“หยาบคาย? ที่แท้คุณหนูก็เป็นน้องสาวของอวี่ไข่นี่เอง!” ลูกผู้ลากมากดีคนที่สองมองพินิจเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งยิ้มๆ ไม่คิดปกปิดสายตาที่ตกตะลึงและหลงใหลเลยสักนิด กล่าวทั้งหัวเราะร่า “ข้านั้นเป็นลูกอนุภรรยาคนโตของตระกูลจ้าวแห่งอี้โจว แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับลูกภรรยาเอก แต่น้องชายที่ถูกกำหนดให้สืบทอดกิจการของตระกูล เมื่อเห็นข้าก็ยังต้องเรียกข้าว่าท่านพี่ หลีกทางอย่างเกรงอกเกรงใจ เหมาะกับเจ้าที่เป็นลูกอนุภรรยาของตระกูลซั่งกวนได้พอดิบพอดี ฉะนั้นคนงามก็ออกมาให้พี่ชายเชยชมเสียหน่อย หากพี่ชายถูกใจ จะไปสู่ขอกับท่านลุงซั่งกวนทันที!”
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจ้าวแห่งอี้โจว” ม่านเหอมองพวกลูกอนุที่ไม่เอาถ่านพวกนี้อย่างเยียบเย็น กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นสะใภ้ใหญ่ของพวกข้าไม่หลีกทาง ก็ควรจะแสดงความเคารพ เหตุใดจึงไม่รู้จักความเหมาะสมถึงเพียงนี้?”
สะใภ้ใหญ่? พวกลูกผู้ลากมากดีตกตะลึงไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้จะเป็นภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย แม้ว่าจะเคยพบในงานชมดอกบัว แต่คนงามผู้นี้กลับใช้ผ้าบางปกปิดใบหน้าไว้อย่างมิดชิด ทำให้พวกคุณชายที่ได้ยินมาว่าภรรยาที่ซั่งกวนเจวี๋ยตบแต่งนั้นงามราวกับเทพธิดา ไม่เป็นสองรองจากมู่หรงชิงหวั่น คิดอยากจะยลโฉมหน้าที่แท้จริงต่างพากันผิดหวัง นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสได้พบ ทั้งยังงามหยาดเหยิ้มดั่งที่ร่ำลือกันจริงๆ
“ที่แท้ก็คือพี่สะใภ้เจวี๋ย!” ลูกผู้ลากมากดีคนแรกนั้นค้อมกายเคารพ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีโอกาสพบพี่สะใภ้เจวี๋ยนับเป็นความโชคดีของพวกข้า ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้เจวี๋ยพอจะเป็นเจ้าบ้านที่ดีพาพวกข้าเดินเล่นในจวนของท่านสักหน่อยได้หรือไม่?”
กำเริบเสิบสานเสียจริง! ในที่สุดม่านเหอก็เข้าใจคำกล่าวที่ว่าหน้ามืดตามัวไม่เกรงกลัวฟ้าดินเป็นอย่างไร รู้ฐานะของสะใภ้ใหญ่แล้วยังกล้าพูดเช่นนี้อีก พวกเขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเกินไปแล้ว!
“เจ้าเป็นใคร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองชายหนุ่มไร้มารยาทผู้นั้นอย่างเยือกเย็น สายตาของพวกเขาที่มองผ่านราวกับทะลุร่างกายตน ทำให้นางรู้สึกขยะแขยง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวี่ไข่จึงมามั่วสุมอยู่กับพวกเขา
“น้องชายนามว่าจางเจี่ยฮุย เป็นลูกอนุภรรยาของตระกูลจางแห่งเหยี่ยนโจว พี่สะใภ้เจวี๋ยเรียกชื่อของน้องชายก็พอแล้ว!” จางเจี่ยฮุยแสร้งโบกพัดทำตัวเป็นผู้ดีขึ้นมา สายตากลับยังกวาดมองไปบนเรือนร่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างหยาบคายจนถึงที่สุด
“ที่แท้ก็ตระกูลจางแห่งเหยี่ยนโจว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น ไม่ปิดบังท่าทีดูแคลนและเหยียดหยามสักนิด “ตระกูลซั่งกวนไม่ใช่ตระกูลจาง ไม่มีธรรมเนียมที่ต้องให้สะใภ้ใหญ่มาเดินเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนผู้ชาย! หากคุณชายจางคิดว่าตระกูลซั่งกวนไม่มีน้ำใจ มิสู้ลองหาคนมาตัดสินดูว่ามันถูกหรือผิด! ม่านเหอ เชิญคุณชายพวกนี้หลีกออกไป!”
“นังผู้หญิงคนนี้ อุตส่าห์ไว้หน้ากลับไม่สนใจ!” คุณชายเสเพลคนที่สามมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างยโสโอหัง กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงป้อแป้ “ข้าคือลูกอ๋องฉี ให้เดินเล่นเป็นเพื่อนพวกข้าก็เพราะเห็นว่าเจ้างดงามไม่น้อย มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้านับเป็นสิ่งใดกัน? ก็แค่ลูกสาวพ่อค้าต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น อย่าคิดว่าแต่งให้กับตระกูลซั่งกวนก็บินสูงขึ้นไปเป็นหงส์ได้ หากมายั่วโมโหข้า ถึงแม้จะเป็นหงส์ข้าก็ทำให้เจ้ากลายเป็นไก่ป่าได้!”
“ช่างเป็นลูกอ๋องฉีที่สูงส่งจริงๆ! ม่านเหอ เปิดทาง! วันนี้ข้ากลับอยากเห็นว่าลูกอ๋องฉีที่สูงส่งผู้นี้จะกล้าทำอะไรได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหจนแทบจะหัวเราะออกมา รอยยิ้มที่น่าหลงใหลนั้นทำให้ลูกผู้ลากมากพวกนี้พากันสายตาพร่าเลือน
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น!” อวี่ไข่ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ขวางคุณชายเสเพลที่เตรียมจะลงมือพวกนั้น จากนั้นก็ประสานมือขอโทษไปยังเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “พี่สะใภ้ พวกเขาล้วนเป็นแขกของน้อง ไม่ทราบถึงฐานะของพี่สะใภ้จึงได้หุนหันพลันแล่นใส่ท่าน อย่างไรขอพี่สะใภ้โปรดเมตตา ไม่ถือสาเอาความ!”
มาถูกเวลาเสียจริง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองอวี่ไข่อย่างพินิจ ก่อนจะมองคุณชายเกเรพวกนั้นที่ขาดเพียงไม่ได้เผยท่าทีน่ารังเกียจอย่างทำน้ำลายหกเท่านั้นไปอีกที กล่าวอย่างเรียบเย็น “ที่แท้ก็เป็นสหายของเจ้า มิน่าแล้วจึงมีสภาพเช่นนี้กัน!”
อวี่ไข่ชะงักไปเล็กน้อย กัดฟันข่มโทสะลงไป เผยหน้ายิ้มรับ “พวกเขาเพียงแค่นิสัยโผงผางไปหน่อยเท่านั้น หากมีเรื่องเข้าใจผิดอะไร ก็ขอพี่สะใภ้โปรดเมตตา ให้อภัยด้วยเถิด!”
“ให้อภัย? ข้ากล้ากล่าวให้อภัยที่ไหนกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองอวี่ไข่ที่เล่นละครอย่างเยือกเย็น กล่าวเสียงแข็ง “เพียงแค่ไม่รู้ว่ามีธรรมเนียมที่เมื่อน้องชายสามีเชิญแขกมา ต้องให้สะใภ้ใหญ่อย่างข้าเดินเล่นเป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อใดกัน? อย่างไรขอน้องสามีอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย!”
“เข้าใจผิด ย่อมเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน!” อวี่ไข่ขวางสหายเกเรพวกนั้น พยายามกล่าวขอโทษขอโพย
“ดีที่เป็นการเข้าใจผิด! ทั้งยังเป็นการเข้าใจผิดที่ไม่อาจจะเกิดเป็นครั้งที่สองได้แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองไม่เห็นความรู้สึกผิดในแววตาของเขาแม้แต่น้อย ครุ่นคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ หากพูดว่าเรื่องน่ารังเกียจที่พบกับลูกผู้ลากมากดีพวกนี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาตั้งใจสร้างขึ้น อย่างไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่เชื่อ กล่าวอย่างเรียบเย็น “น้องสามีอย่าได้คิดว่าคนอื่นล้วนโง่เขลาไปเสียหมด หากมีเรื่องเช่นนี้อีก อย่าโทษล่ะกันว่าพี่สะใภ้คนนี้ไม่ไว้หน้า หลีกทาง!”
อวี่ไข่รีบร้อนดึงสหายพวกนั้นของเขาให้เปิดทาง มองพวกเยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินจากไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
“เจ้าบื้อนี้ไร้ประโยชน์ถึงขนาดนี้เชียว? เกรงกลัวพวกผู้หญิงตัวน้อยๆ อย่างพวกนางเนี่ยนะ?” จางเจี่ยฮุยเมื่อเห็นว่าพวกนางเดินลับสายตาไปจึงค่อยๆ เก็บสายตากลับมาอย่างเสียดาย มองอวี่ไข่อย่างรังเกียจ
“นางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าเป็นลูกอนุ ข้าจะกล้าทำอะไร?” อวี่ไข่ย้อนถามอย่างท้อใจ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องออกมาก็พอแล้ว แม้ว่าจะหาเศษหาเลยไม่ได้ แต่คนงามถึงขนาดนี้ มองให้มากหน่อยก็นับว่าไม่เลวแล้ว!” ลูกอ๋องฉีออดน้ำลายสอไม่ได้ คนงามก็ไปเช่นนี้เสียแล้ว น่าผิดหวังจริงๆ!
“จะดูคนงามก็ยังเป็นเรื่องยาก?” อวี่ไข่แค่นหัวเราะเสียงเย็น “พวกเจ้าเพิ่งจะเสียมารยาททำให้คนอื่นตกใจไม่ใช่รึ? หากพูดว่าเอาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไปขอโทษถึงหน้าประตูก็ยังพอว่ากันได้!”
—————