เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 186 ปรึกษาหารือ
“นายน้อย พ่อบ้านจิ่นกับพ่อบ้านอี้มาแล้ว รอท่านอยู่ในห้องประชุมเจ้าค่ะ” ม่านเหอกระซิบ อินหงหลันตรวจอาการแล้วพบว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เป็นไร ตราบใดที่พักผ่อนเพียงพอก็ย่อมจะฟื้นได้เองตามปกติ ซั่งกวนเจวี๋ยเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ไม่ได้จากไปไหนแม้แต่ครู่เดียว
“ข้ารู้แล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ให้คนมาดูแลอย่างดี ถ้าทำผิดพลาดประการใดอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า!”
“เจ้าค่ะ นายน้อย” ม่านเหอตอบรับด้วยเสียงต่ำ นางรู้ว่าครั้งนี้ซั่งกวนเจวี๋ยตกใจกลัว พวกเขาก็ตกใจกลัวเช่นกัน ต่างไม่รู้ว่าถ้าไม่ใช่นายท่านอินกลับมาเพราะงานประลองยุทธ์ สะใภ้ใหญ่จะเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาวหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่านายน้อยจะเป็นอย่างไรต่อไป
“นายน้อย…” เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสงบ ทั้งซั่งกวนจิ่นและซั่งกวนอี้ต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่ง อกไปที ยามนี้พวกเขากังวลมากที่สุดก็คือซั่งกวนเจวี๋ยยังไม่ฟื้นคืนสติ อาจทำอะไรบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ต้องกังวลเช่นนั้น
“ลุงอี้ ลุงจิ่นเชิญนั่งก่อน” ซั่งกวนเจวี๋ยโค้งคำนับให้ทั้งสองคนเล็กน้อยแล้วพูดเรียบเฉยว่า “ลุงทั้งสองตรวจสอบได้ความอย่างไร? ตกลงใครเป็นคนทำกันแน่? ใช่ผู้หญิงจากตระกูลทั่วป๋าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำพวกนั้นหรือไม่?”
ซั่งกวนจิ่นกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ทั่วป๋ามู่เย่ส่งแม่นมแซ่เจี่ยผู้นั้นเข้าไปในจวนเมื่อวันก่อน มีการสนทนาลับกับทั่วป๋าฉินซินและฮูหยินใหญ่ ไม่ทราบรายละเอียดชัดเจน ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ขอรับ!”
“ข้าว่าดูเหมือนตระกูลทั่วป๋าจะไม่ได้ทำ ถ้าพวกเขากล้าทำเช่นนั้นจะมิวายเป็นศัตรูกับตระกูลซั่งกวน แต่จะเป็นศัตรูกับตระกูลขุนนางทั้งหมดด้วย สิ่งที่ทั่วป๋าฉินซินทำอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะความหลงใหลชั่ววูบ บุกเข้าเรือนอีกแห่งของตระกูลซั่งกวนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ ทั้งฆ่าคน ข่มขู่และบีบบังคับให้สะใภ้ใหญ่ฆ่าตัวตาย จึงอธิบายได้เพียงคำเดียวนั่นคือความบ้าคลั่งขอรับ” ซั่งกวนอี้ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หลังจากเราได้ข่าวก็ระดมกองกำลังทั้งหมด ยืนยันได้คร่าวๆ ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ออกจากเมือง พวกเขาน่าจะอยากรู้ข่าวที่ชัดเจนของสะใภ้ใหญ่แล้วค่อยออกไป จึงได้วางตาข่ายไว้แล้ว รอว่าเมื่อใดพวกเขาจะเผยพิรุธแล้วค่อยคุยกันขอรับ!”
“อันที่จริงข้าไม่คิดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลทั่วป๋าเลยนะขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นคัดค้านพลางกล่าวว่า “คนที่เข้าไปในเรือนหิมะสุขใจไม่ใช่แค่คนชุดน้ำเงินคนเดียวที่ปรากฏตัวขึ้น เมื่อดูจากความเสียหายในแต่ละแห่ง พวกเขาแบ่งกันเข้าเรือนเป็นสี่ทาง ใช้พิษล้มผู้ที่มีทักษะค่อนข้างสูงเหล่านั้นในทุกๆ ที่ นอกจากสาวใช้ที่ไม่มีวิทยายุทธ์มาก่อนพวกนั้นแล้ว ส่วนใหญ่ได้รับอันตรายจากพิษ และในหมู่พวกเขามีเพียงคนชุดน้ำเงินเท่านั้นที่ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ดังนั้นจึงรู้สึกเหมือนมีเพียงคนเดียว จากนั้นคนชุดน้ำเงินก็สามารถหาแม่นมฉินและเซียงหลิงพบได้ท่ามกลางแม่นมมากมายนั้นต้องมีใครสักคนชี้บอก ถ้าไม่เกินความคาดหมาย คนผู้นี้ควรจะเป็นทั่วป๋าฉินซินหรือไม่ก็ฮูหยินใหญ่ขอรับ”
“มี่เอ๋อร์ให้ความสำคัญกับญาติของนางมาก ทั้งแม่นมฉินและป้าเซียง รวมถึงสาวใช้หลายคนข้างกายนางก็มองว่าเป็นญาติของนาง” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้ว นางคิดว่าตนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน จึงคิดใช้ตัวเองแลกกับความปลอดภัยของคนอื่น ข้าไม่รู้ว่าควรจะยกย่องนางที่มีน้ำใจหรือบอกว่านางโง่กันแน่”
“สะใภ้ใหญ่มีน้ำใจเดิมทีเป็นสิ่งดี แต่ก็เป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรงถึงชีวิตที่สุดของนางเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนทั้งสองอยู่ในมือของคนชุดน้ำเงิน นางเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง จะปล่อยให้จัดการกับคนของตัวเองได้อย่างไรล่ะขอรับ?” ซั่งกวนอี้ส่ายศีรษะ ไม่เห็นดีเห็นงามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระทำการเช่นนี้จริงๆ แต่เขารู้ดีว่า ถ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ปฏิบัติตามคำพูดของคนชุดน้ำเงิน แล้วรอจนกว่าจะมีคนมาช่วยเหลือที่เรือนหิมะสุขใจ แน่นอนว่าจะมีเลือดนองอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่มีใครรอดสักคน
“คนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง! ถ้าไม่ใช่เพราะสะใภ้ใหญ่ไม่ยอมเห็นคนอื่นเจ็บปวดเพราะนางไปมากกว่านี้ จึงลงมือฆ่าตัวตาย นางอาจจะไม่มีโอกาสรอดจากการจนมุมนะขอรับ!” ซั่งกวนจิ่นทำได้เพียงกล่าวว่าคนดีย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ตัดสินใจด้วยตนเอง แต่พยายามหลบหนี คนชุดน้ำเงินจะมีกำลังเหลือเพียงพอจะฆ่าผู้อื่นจนเกลี้ยงก่อนจะโจมตีเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เมื่อถึงในเวลานั้น ต่อให้นางรู้อยู่แก่ใจดีว่าจะมีเหตุการณ์ในวันนี้ แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดไปแต่เนิ่นๆ ก็เกรงว่ายากจะหลบหนีจากเงื้อมมือชั่วร้ายของคนชุดน้ำเงิน ส่วนยามนี้แม้หลายคนในเรือนหิมะสุขใจจะถูกอาวุธลับ แต่ก็ไม่มีใครเสียชีวิต
“เซียงเสวี่ยได้พูดซ้ำๆ กับบุคคลนั้นและมี่เอ๋อร์ มีประโยคหนึ่งที่ควรตรวจสอบอย่างรอบคอบ” เมื่อซั่งกวนเจวี๋ย เฝ้าอยู่ข้างเตียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ให้เซียงเสวี่ยเล่าเหตุการณ์ในเวลานั้นไปพลางๆ ยกเว้นว่าไม่ใช่ความลับสำหรับคนนอก เซียงเสวี่ยจะเล่าเป็นช่องเป็นฉากโดยไม่ตัดทอนอะไรออกไปสักคำ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยได้ค้นพบอะไรบางอย่างจากในนั้น
“อะไรนะ?” ทั้งคู่รู้สึกมีเรี่ยวแรง หากซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกไม่ชอบมาพากลล่ะก็ เรื่องนี้อาจจะมีวี่แววคลี่คลาย
“มิน่าเล่าก็จะกลายเป็นบ่อเกิดหายนะ!” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดทีละคำว่า “ประเด็นสำคัญคือคำว่า ‘ก็’ แต่ก่อนแม่ของมี่เอ๋อร์ที่อยู่เซิ่งจิงถูกเรียกว่า ‘หญิงงามล่มเมือง’ ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากเซิ่งจิง หรือจะบอกว่าบางคนในเซิ่งจิงสั่งให้พวกเขาเล่นงานมี่เอ๋อร์ แม้ใครก็ตามที่ผ่านเรือนหิมะสุขใจมาพานพบพวกเขาก็จะโดนพวกเขาซัดอาวุธลับ แต่กลับไม่มีใครล้มตาย ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลซั่งกวนมากจนเกินไป”
“ท่านหมายถึงราชสำนักหรือขอรับ?” ซั่งกวนอี้ขมวดคิ้ว ตระกูลซั่งกวนนิ่งเฉยต่อราชสำนักมาตลอด อำนาจของพวกเขาอยู่ที่ผู้คนและยุทธภพมากกว่า แม้จะมีคนอยู่เหนือราชสำนัก แต่ก็ไม่ใช่อำนาจหลักของพวกเขา
“พูดยาก” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างเย็นเยียบว่า “ครั้งนี้ข้าไปเยี่ยมสำรวจเหมืองแต่ละแห่งก็จับคนที่พยายามหาข่าวเกี่ยว กับเหมืองพวกนั้นได้ จับได้ทั้งหมดก็จริง แต่ข้าว่าจะต้องมีปลาที่เล็ดลอดผ่านตาข่ายได้แน่นอน และคนเหล่านั้นตัวตนไม่ชัดเจน ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ล้วนเป็นทหารกล้าตาย เหมือนจะเป็นฝีมือของราชสำนักยิ่งนัก”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องจัดการสะใภ้ใหญ่ด้วยเล่าขอรับ?” ซั่งกวนอี้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แม้มารดาของสะใภ้ใหญ่จะมีส่วนพัวพันที่อ๋องเหยี่ยนก่อกบฏ แต่ทุกคนที่รู้เรื่องก็เข้าใจว่านางเป็นเพียงเป้าหมายที่ถูกอ๋องเหยี่ยนหลอกใช้เท่านั้นเอง ตอนที่นางออกจากเซิ่งจิงนั้น ได้ตัดขาดการติดต่อกับเซิ่งจิงโดยสิ้นเชิงแล้ว ถึงขั้นตั้งเป็นเขาวงกตลวงหลายครั้ง ทำให้ใครก็ไม่สามารถตรวจสอบที่อยู่ของนางได้ ส่วนตระกูลเยี่ยนเป็นเพียงพ่อค้าวาณิชเท่านั้น ไม่มีอิทธิพลใดๆ กับพวกเขา พวกเขาจำเป็นต้องลงไม้ลงมือกับสะใภ้ใหญ่ด้วยหรือขอรับ?”
“ข้าคิดว่าไม่มีทางเกินไปกว่าสองประการนี้” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นพลางกล่าวว่า “ประการแรกคืออ๋องเหยี่ยนกังวลว่ามี่เอ๋อร์จะหลอกใช้กำลังของซั่งกวนจัดการกับเขา ในตอนนั้นเขาทำร้ายแม่ยายได้เลวร้ายเหลือเกิน บุตรแห่งความภาคภูมิใจจากสรรค์กลายเป็นตัวตลกในชั่วข้ามคืน โดยมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเรื่อง ‘หญิงงามล่มเมือง’ ในขณะที่พ่อแม่ต้องพาบ่าวไพร่เจ็ดแปดคนออกจากเซิ่งจิงอย่างน่าสังเวช หากมี่เอ๋อร์ต้องการระบายความโกรธแทนแม่ยาย ข้าจะไม่แปลกใจแม้แต่น้อย และท่านแม่อาจจะเป็นคนที่คอยโบกธงร้องสนับสนุนอยู่ด้วย ส่วนอีกประการหนึ่งคือรัชทายาทองค์ปัจจุบันสั่งให้ทำ อ๋องรุ่ยลูกชายของสนมจงกุ้ยเฟยมีอำนาจในราชสำนักไม่น้อยไปกว่าองค์รัชทายาท ฮองเฮาป่วยสิ้นพระชนม์ไปเมื่อปีกลาย ตระกูลของสนมจงกุ้ยเฟยจึงมีอำนาจบาตรใหญ่แต่เพียงผู้เดียวของวังฝ่ายใน แม้พระพันปีจะยังมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่นางกลับไม่มีความ สามารถเรียกลมเรียกฝนสั่งการใดๆ ได้แล้ว ข้อได้เปรียบมากที่สุดขององค์รัชทายาทในตอนนี้คือตระกูลมู่หรงให้การสนับสนุนเขามาตลอด แม้การแต่งงานกับชิงหวั่นจะกลายเป็นเรื่องคว้าน้ำเหลว แต่สุดท้ายยังคงแต่งกับคุณหนูของตระกูลมู่หรงผู้หนึ่งให้เป็นพระชายารองเช่อเฟย เขาไม่ต้องการให้หลานสาวของตระกูลจงกลายเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนแน่นอน”
“ข้าจะตรวจสอบทางด้านอื่นๆ ด้วย และดูว่ามีร่องรอยของสุนัขรับใช้เข้าออกบ้างหรือไม่ขอรับ” ซั่งกวนอี้พยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาจับจ้องไปที่ผู้คนในยุทธภพเสมอ ก็ไม่นึกว่าจะเป็นฟากของราชสำนัก
“ข้าจะเริ่มจากฮูหยินใหญ่ ดูว่าแม่นมเจี่ยพูดอะไรกับพวกนางในวันนั้นกันแน่ขอรับ” ซั่งกวนจิ่นตัดสินใจจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างรอบคอบมากขึ้น
“ยังมีอีกอย่าง เหล่าจู่ฝากให้ข้ามาบอกท่านขอรับ” ซั่งกวนอี้ส่ายศีรษะ ไม่เข้าใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปเข้าตาของเหล่าจู่ตรงไหน จึงทำให้เขาเป็นห่วงได้เช่นนี้
“อะไรนะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยประหลาดใจเล็กน้อย เหล่าจู่คือผู้ดำเนินพิธีการของตระกูลซั่งกวน เขาเป็นลุงของปู่ซั่งกวนเจวี๋ย และยามนี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงบารมีสูงสุดในตระกูลซั่งกวน
“เหล่าจู่บอกว่าไม่มีใครในหมู่ผู้หญิงที่มีน้ำใจมากขนาดนี้ เจ้าควรปฏิบัติต่อนางอย่างดี เขารอคอยให้ลูกๆ ของพวกเจ้าเข้าไปฟังโอวาทคำสั่งสอนของเขาในภูเขาอยู่นะขอรับ” ซั่งกวนอี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นอกจากนี้ เหล่าจู่ยังบอกอีกว่าถ้าตระกูลทั่วป๋าจะทำอะไรอีกมันจะต้องโหดเหี้ยมกว่านี้ หากเจ้าไม่ถนัดออกมือ เขาจะส่งผู้อาวุโสเถาไปลงมือเอง”
“ลุงอี้โปรดขอบคุณเหล่าจู่แทนข้าด้วย!” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะฝืนยิ้ม มี่เอ๋อร์ต้องไม่รู้แน่ว่าตัวเองมีกองหนุนเช่นนี้ แล้วก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ถือโอกาสฝากบอกเหล่าจู่ ลุงอินตรวจจับชีพจรตั้งครรภ์ได้โดยไม่คาดคิด หากไม่เกินที่คาดการณ์ไว้ เด็กจะลืมตาดูโลกในอีกเก้าเดือน”
“อะไรนะ?” ทั้งซั่งกวนอี้และซั่งกวนจิ่นดูประหลาดใจ จากนั้นมองหน้ากัน แล้วเปลี่ยนท่าทางเป็นหวาดกลัว โชคดีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แตกต่างเป็นพิเศษ และโชคดีที่อินหงหลันกลับมาที่ลี่โจวเพราะงานประลองยุทธ์ มิฉะนั้นผลที่ตามมาอาจเลวร้ายจนไม่อยากนึกถึง
“นายน้อย ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ท่านภายในสามวันขอรับ” ซั่งกวนอี้ตัดสินใจ ต่อให้จะขุดดินลึกสามฉื่อ เขาก็ต้องขุดคนเหล่านั้นออกมาให้จงได้
“ข้าจะร่วมมือกับพี่ใหญ่อย่างดี” ซั่งกวนจิ่นผ่อนปรนไม่ได้อีกต่อไป แม้จะทำให้คนของตระกูลทั่วป๋าขุ่นเคืองถึงที่สุด ก็ไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ลอยนวลไปได้ง่ายๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านลุงทั้งสองแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยย่อมตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เต็มใจจะจากมี่เอ๋อร์ไปสักชั่วขณะจริงๆ จึงต้องมอบเรื่องนี้ไว้กับพวกเขาทั้งสองคน
“จะเรียกว่ารบกวนได้อย่างไรกันเล่า?” ซั่งกวนอี้คลี่ยิ้มพูดว่า “ถ้าเหล่าจู่รู้ว่านางตั้งครรภ์แล้วจะต้องทั้งโกรธและดีใจเป็นแน่ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อนางฟื้นขึ้นให้กลับไปจวนข้างในเถอะขอรับ”
“ข้าเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยก็มีแผนเช่นนี้เหมือนกัน หากทั่วป๋าซู่เยวี่ยทำอะไรอีกในครั้งนี้ เขาทำได้เพียงขอให้ผู้อาวุโสเถากลับเข้ามาในจวน
“ข้าทำความสะอาดจวนข้างในพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะเรือนมีคู่ตอนนี้สะอาดมากขอรับ” ซั่งกวนจิ่นกล่าวสั้นๆ ว่า “ปัญหาเวลานี้คือต้องหาวิธีรั้งนายท่านอินอยู่ต่อไปให้ได้ ถ้ามีเขาอยู่ด้วย รับประกันได้ว่าสะใภ้ใหญ่จะอุ่นใจมากกว่านี้ขอรับ!”
“ท่านลุงอิน…” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มแห้ง อารมณ์ของอินหงหลันไม่เคยมีใครสามารถควบคุมได้ ต่อให้เป็นป้าอินก็ทำให้เขายินยอมคล้อยตามได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น จะรั้งเขาให้อยู่ต่อไปเห็นจะเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาถูกแม่นมฉินทุบตีอย่างหมดท่าจนหน้าลุงอินบวมจนเป็นกะโล่
“ถ้าจำเป็นล่ะก็ข้าจะขอให้เหล่าจู่พูดคุยกับเขาดีๆ ขอรับ” ซั่งกวนอี้ไม่แน่ใจว่าแบบนั้นจะได้ผลเช่นกัน ฐานะของอินหงหลันทำให้เขาหลงตัวจนติดเป็นปกติวิสัย การได้เป็นแขกพิเศษของตระกูลซั่งกวนได้นั้นไม่ใช่อะไรนอกจากมิตรภาพแค่นั้น เอง เขาต้องการจะออกไปหรืออยู่ต่อไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปก้าวก่ายได้
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าคุยกับเขาก่อนเถอะ” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ขึ้นอยู่กับว่าท่านลุงอินจะช่วยไว้หน้าได้ไหมเพราะข้ากำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว!”
———————-