เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 190 เกี่ยวกับเรื่องบุญคุณความแค้นของอวี๋ฮวน
“หงหลันคงทำให้เจ้ากลัดกลุ้มกระมัง!” ซินหรันและเยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินบนทางเล็กๆ ริมทะเลสาบ นางเผยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยท่าทีที่อ่อนโยนและอบอุ่น
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบอย่างไร จึงทำเพียงฟังอย่างเงียบๆ นอกจากเซียงเสวี่ยแล้ว นางก็ไม่ได้รั้งสาวใช้คนอื่นไว้อีก นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจุดประสงค์ที่สองสามีภรรยาคู่นี้เอาแต่เดินหน้าเข้าหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคืออะไร หรือท่านป้าและพวกเขาจะมีความเกี่ยวข้องที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนานจริงๆ?
“ข้าเข้าใจความอึดอัดของเจ้า ในยามนี้เจ้าคงลำบากใจ!” ซินหรันเผยรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็เขวี้ยงลงไปในทะเลสาบ เกิดเสียงกระทบขึ้นมา “หงหลันใจร้อนเกินไป เขาอดใจคอยไม่ไหวอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพี่อวี๋ฮวน เขาร่อนเร่พเนจรในยุทธภพมาหลายปี ไม่อยู่ที่ไหนเป็นหลักเป็นแหล่ง เหตุผลก็เป็นเพราะค้นหาพี่อวี๋ฮวน”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เงียบแล้วเงียบอีก นางไม่รู้ว่าควรจะต่อบทสนทนาอย่างไรจริงๆ ทำได้เพียงรักษาความเงียบไว้เท่านั้น
“พี่อวี๋ฮวนเป็นคนที่แตกต่างจากคนอื่นเป็นอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยพบคนที่ใช้ชีวิตอย่างแกร่งกล้าเฉกเช่นนางมาก่อน นางจะปฏิบัติตัวต่อทุกคนด้วยความกระตือรืนร้น และคนข้างกายของนางก็ล้วนแล้วแต่ถูกนางดึงดูดจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เหมือนกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองเพลิงโดยไม่รู้ตัว ต่อให้ร่างกายจะแหลกลานก็ไม่คิดเสียดายแม้แต่น้อย!”
ซินหรันกล่าวทั้งหวนนึก “ในปีนั้นที่ข้าอายุเจ็ดขวบได้ถูกพี่อวี๋ฮวนช่วยขึ้นมาจากกองซากศพ จากนั้นก็ถูกนางพกติดข้างกายไปไหนมาไหนโดยตลอด ข้าอยู่ข้างกายท่านพี่มาเจ็ดปี หลังจากห่างกับท่านพี่ ข้าเคยออกตามหานางทุกที่อย่างบ้าคลั่ง ทั้งเคยคิดอยากจะฆ่าทุกคนที่ทำให้นางได้รับความเจ็บปวด ภายหลังได้พบหงหลันที่ชะตากรรมเดียวกัน พวกเราทั้งสองก็คล้ายกับปีศาจตัวน้อยสองตัวที่สูญเสียมารดาปีศาจในเวลาเดียวกัน ใช้ความอบอุ่นของแต่ละฝ่ายปลอบโยนตัวเอง ร่วมกันค้นหาไออุ่นและแสงซึ่งสว่างที่สุดที่เคยมีอยู่ในโลกของตัวเอง”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดวงตาแสบพร่า เซียงเสวี่ยจับมือนางไว้แน่น ในใจของทั้งสองล้วนเจ็บปวดอย่างสุดทน แม้จะไม่มั่นใจว่าคนที่ชื่ออวี๋ฮวนจากปากของซินหรันจะใช่ป้าโม่หรือไม่ แต่ก็ยังคงทำให้พวกนางนึกไปถึงป้าโม่โดยไม่ได้ตั้งใจ
“สิ่งนี้คือของที่พี่อวี๋ฮวนทิ้งไว้ พวกเจ้าลองดูเถิด” ซินหรันดึงกระเป๋าผ้าดิ้นสีขาวที่ค่อนไปทางสีเหลืองอยู่บ้างออกมาจากอกอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ เปิดออก ควักหนังสือที่เข้าเล่มดีแล้วให้พวกนาง “นี่เป็นของที่พี่อวี๋ฮวนทิ้งไว้ให้หงหลัน ตั้งแต่เด็กหงหลันก็มีพรสวรรค์ในด้านการแพทย์อย่างเห็นได้ชัด อายุได้ห้าขวบก็เริ่มเรียนหมอ ในยามที่สิบสองปีก็ได้เป็นหมอเทวดาตัวน้อยที่มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว และก็คงเป็นปีนั้น เขาได้รู้จักพี่อวี๋ฮวนจากพวกพี่ชาย พี่อวี๋ฮวนได้เปิดประตูใหญ่อีกบานที่แปลกใหม่ให้กับเขา ในสายตาของเขาพี่อวี๋ฮวนนั้นเหมือนเป็นแม่ เป็นพี่สาว เป็นกระทั่งทุกอย่าง จำได้ว่าในเวลานั้นข้าจงเกลียดจงชังเขาเป็นอย่างมาก เกลียดที่เขามักจะวนเวียนถามคำถามอย่างไม่รู้จบอยู่รอบกายพี่อวี๋ฮวน เกลียดที่เมื่อเขาฉวยเอาความสนใจจากพี่อวี๋ฮวนได้แล้วก็จะส่งสายตาเหนือกว่าให้ข้า แต่ยามนี้เมื่อคิดขึ้นมา กลับกลายเป็นความทรงจำที่งดงามและหวานซึ้งที่สุดที่พวกเราเคยมีเกี่ยวกับพี่อวี๋ฮวนร่วมกัน”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับหนังสือเล่มนั้นมาด้วยความเยือกเย็น ไม่จำเป็นต้องเปิด แค่ลายมือที่อยู่บนนั้นก็ทำให้นางใจสั่นสะท้านแล้ว นั่นเป็นลายมือของท่านป้าอย่างแน่นอน เมื่อลองเปิดดูอย่างละเอียด ก็พบว่าด้านในเป็นตำรับยาหายากประเภทต่างๆ ส่วนมากล้วนนับว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง และเซียงเสวี่ยที่เข้ามาดูด้วยก็ยิ่งจำได้ขึ้นใจ
“ที่จริงข้าก็เรียนวิชาหยกหอมเช่นกัน” มุมตาของซินหรันเปียกชื้นอยู่บ้าง มองเห็นท่าทีของทั้งสองคนนางก็รู้แล้วว่า ครั้งนี้อินหงหลันไม่ได้คิดไปเอง พวกนางมีความเกี่ยวข้องกับพี่อวี๋ฮวนจริงๆ นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น รู้สึกว่าเหงื่อเย็นชื้นไปทั่วทั้งมือ มองใบหน้าที่เปลี่ยนพลิกไปไม่สิ้นสุดของทั้งสองคนอย่างตื่นเต้น ท้ายที่สุด พวกนางก็ปิดหนังสือลงอย่างเรียบนิ่ง ก่อนจะส่งกลับมา
“ข้าต้องการขบคิดดีๆ สักหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าในสมองนั้นสับสนวุ่นวายไปหมด มีความรู้สึกราวกับหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นางคิดไม่ตกกับเรื่องราวซับซ้อนขนาดนี้จริงๆ
“ไม่เป็นไร พวกเรารอได้” ซินหรันคลี่ยิ้มบาง “ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ยังรอได้ รออีกเสียหน่อยจะเป็นไรไป? เจ้าอยากรู้เรื่องของพี่อวี๋ฮวนหรือไม่? ยี่สิบปีก่อนพี่อวี๋ฮวนนับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่ผู้คนให้ความสนใจในยุทธภพเชียวล่ะ!”
“พวกเราไปนั่งตรงนั้นจะดีกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากฟังอย่างยิ่ง นางอยากรู้เรื่องในอดีตของท่านป้า ทั้งรู้สึกแปลกใหม่เสียด้วย
“พี่อวี๋ฮวนเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่ง ในยามที่ข้าถูกท่านพี่ช่วยไว้มีอายุเพียงเจ็ดปีเท่านั้น เวลานั้นยุทธภพปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาด ผู้คนพากันเข่นฆ่าห้ำหั่นด้วยความแค้นไปทุกที่ ข้าจำได้อย่างชัดเจนว่า บิดาของข้าเป็นคนติดตามเจ้าหน้าที่ในสำนักคุ้มภัย ทั้งยังเป็นผู้ที่มีฝีมือคนหนึ่ง ภายหลังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด การคุ้มภัยรถลากสินค้าจึงถูกปล้น ผู้ที่ติดตามไปด้วยคือลูกชายคนโตของหัวหน้าผู้คุ้มภัย แม้เขาจะทำของหายแต่ก็กลับมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน ดังนั้นผู้ส่งสินค้าจึงคิดว่าสำนักคุ้มภัยได้ยักยอกสินค้าเอาไว้” ซินหรันนั่งอยู่บนเรือที่วางนิ่ง หวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เล่าคล้ายกับเป็นเรื่องในอดีตที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“ข้าในยามนั้นยังเล็ก ไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ แต่รู้ว่าผู้ส่งสินค้าและสำนักคุ้มภัยเกิดขัดแย้งกันก็เท่านั้น ภายหลังผู้ส่งสินค้าก็จากไปด้วยความโมโห คืนนั้นมีคนบุกเข้าสำนักคุ้มภัยในยามวิกาล เปิดฉากสังหารคนในสำนักคุ้มภัยจนราบคาบ ข้านั้นถูกบิดาทำให้สลบ ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่างคนตายจึงรอดมาได้” น้ำเสียงของซินหรันราวกับแผ่กระจายมาจากที่ไกลๆ “หลังจากข้าฟื้นขึ้นมา นอกจากโลหิตที่อาบย้อมไปทั่วก็มองอะไรไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เบิกตามองก็มีแต่รอยเลือด เห็นเพียงเงาที่สั่นไหว ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นข้างหู แต่กลับมองไม่ชัด ทั้งยังฟังไม่ได้ศัพท์ จากนั้นข้าก็ปีนขึ้นมาจากกองซากศพทั้งอย่างนั้น ลองใช้มือคลำหาท่านพ่อและท่านแม่ ใช้จมูกสูดหากลิ่นของพวกเขา แต่สิ่งที่ข้าคลำได้ล้วนมีแต่ซากศพที่เว้าแหว่ง สูดดมได้แต่กลิ่นคาวเลือด จนกระทั่งมีอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นดึงข้าขึ้นไป ก่อนจะพาข้าออกไปจากสถานที่ที่ไม่มีอะไรนอกจากซากศพที่เกลื่อนกลาดเหล่านั้น”
“รอจนยามที่ข้าฟื้นสติได้อย่างแท้จริง เรื่องราวก็ผ่านไปเกือบครึ่งปีแล้ว ภายหลังพี่อวี๋ฮวนกล่าวว่าครึ่งปีนั้นข้าคล้ายกับหุ่นกระบอกที่เคลื่อนไหวได้ ให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น หากไม่เรียกก็จะเงียบนิ่งทึมทื่อ จำได้ว่ามีวันหนึ่งที่จู่ๆ ก็ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา หลังจากนั้นจึงคืนสติอย่างสมบูรณ์” ซินหรันกล่าวด้วยยิ้มบาง “ข้าจำได้ว่าท่านพ่อคือผู้ติดตามของสำนักคุ้มภัย จำได้ว่าท่านแม่มักจะเอาแต่ยุ่งนู้นยุ่งนี่ในทุกวัน จำได้ว่าเพราะการคุ้มภัยครั้งนั้นสำนักคุ้มภัยจึงได้ตายกันอย่างอเนจอนาถ แต่ข้ากลับจำชื่อสกุล ใบหน้าของคนทั้งหมดไม่ได้ หรือกระทั่งชื่อและรูปลักษณ์ของพ่อแม่ตัวเองก็คล้ายถูกซ่อนเร้นด้วยม่านหมอก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ยามนี้ก็ไม่เคยนึกออกเช่นกัน”
“พี่อวี๋ฮวนพูดว่าทุกเรื่องนั้นควรจะมองไปข้างหน้า ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไรก็ต้องยิ้มเผชิญด้วยความปิติยินดี ดังนั้นข้าจึงได้มีชื่อนี้ในยามนี้ ‘ซินหรัน’ (ปิติยินดี) อวี๋ซินหรัน” ในยามที่ซินหรันพูดมาถึงตรงนี้ก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว “แต่รอยยิ้มของท่านพี่กลับนับวันก็ยิ่งน้อยลง นับวันก็ยิ่งเลือนหายไป รู้ว่ามีวันหนึ่ง นางพาข้าออกจากเทือกเขางามตระการตาที่ซึ่งพวกเราพักอาศัยอยู่…”
“ข้ารู้ว่ายามนั้นท่านพี่เจ็บปวดเป็นอย่างมาก คนที่นางรักที่สุดทั้งสองคน คนหนึ่งคือคนที่เป็นทั้งพ่อและแม่ บิดาที่เลี้ยงดูนางมาจนเติบใหญ่ อีกคนคือศิษย์พี่ที่เล่นกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ คนที่ตั้งแต่นางยังเด็กก็สาบานว่าจะครองรักกันไปชั่วชีวิต แต่การกระทำของพวกเขาก็ทำให้นางไม่อาจรับได้ เสียงดาบฟาดฟันดังสะท้อนไปทั่วยุทธภพ เจ็ดส่วนล้วนเป็นเพราะฝีมือของคนที่นางรักที่สุดสองคน รวมถึงการล้างบางที่สำนักคุ้มภัยเช่นกัน นางเคยขัดขวาง เคยขอร้อง กระทั่งเคยใช้ชีวิตมาข่มขู่ แต่ในยามที่ทั้งสองคนนั้นเผชิญหน้ากับนางก็จะเผยรอยยิ้ม ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ล้วนพยักหน้าเชื่อฟัง พอหันหลังกลับก็ยังคงทำเรื่องโดยไม่สนใจใคร ดังนั้นท่านพี่ที่สิ้นหวังอย่างถึงที่สุดจึงพาข้าและอีกไม่กี่คนที่มีชะตากรรมเดียวกับข้าออกจากเขาเฮ่อไปด้วยกัน ออกจากโยวโจว ร่อนเร่พเนจรในยุทธภพร่วมสามปีกว่า”
“สหายของพี่อวี๋ฮวนมีมากยิ่ง คำพูดที่ว่าคนรู้จักมีทั่วใต้หล้าก็คือนางไม่มีผิด อีกทั้งแม้ทุกคนจะรู้ว่านางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่มีใครนำความชั่วร้ายของสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มาเหมารวมกับนางสักนิด ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ไหนก็ล้วนไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพูดจาเสียดสีเลย สามปีนั้นหงหลันก็ติดตามอยู่กับพวกเรา เขาก็เหมือน กับหางที่สลัดไม่ออก พวกเราไปที่ไหนเขาก็ตามไปที่นั่น สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือข่าวรั่วไหลในการเดินทางของพวกเรา แทบที่ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็ล้วนมีคนมาต้อนรับพวกเราอย่างกระตือรือร้น ในนั้นที่สนิทสนมที่สุดก็คือมู่หรงฉวีกุย หวงฝู่เจิ้นหลง ทั่วป๋าเชียนเย่าและซั่งกวนฮ่าว!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์สะท้านทั้งสรรพยางค์กาย ท่านป้าและพวกเขาเคยเป็นสหายกัน?
“พวกเขารู้จักกันมานาน ตั้งแต่ข้าถูกท่านพี่พกติดอยู่ข้างกาย พวกเขาก็เป็นสหายกันแล้ว ทั้งยังเป็นสหายประเภทที่ทำลายความสัมพันธ์เฉกเช่นหญิงชาย…พวกเขาล้วนหลงรักและชื่นชมในตัวท่านพี่ แต่ก็รู้เช่นกันว่าพวกเขาไม่อาจจะบรรจบลงกับท่านพี่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะฐานะของท่านพี่ แต่เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรในใจของท่านพี่ก็มีเพียงคนๆ เดียว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ล้วนมีแต่เขาเพียงคนเดียว ดังนั้น พวกเขาต่างก็หลักแหลมไม่หมางใจกันเพราะเรื่องของชายหญิง และก็ให้ท่านพี่เป็นสหายสนิท เป็นคนรู้ใจ จนกระทั่งเรื่องนั้นปะทุขึ้นมา”
“การกระทำทั้งหมดของสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์พูดได้ว่าต่ำทรามชั่วช้าจนแม้แต่สวรรค์และผู้คนต่างก็พากันเคียดแค้น ในที่สุดพวกเขาก็จุดชนวนความไม่พอใจให้กับยุทธภพ ตระกูลชั้นสูง หรือถึงกระทั่งราชสำนัก หายากยิ่งที่ทุกฝ่ายต่างร่วมมือกัน กำจัดเนื้อร้ายออกไปในบัดดล หลังจากที่ท่านพี่บังเอิญล่วงรู้ข่าวนี้ นางนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะปลีกกายหายไปจากพวกเราในคืนหนึ่ง นางไม่ได้ไปช่วยบิดาและคนรักของนาง แต่คิดอยากจะรับความตายไปพร้อมกับพวกเขา นางทิ้งจดหมายไว้ว่า การก่อกรรมทำชั่วของพวกเขาจะถูกเข่นฆ่าก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว นางไม่มีเหตุผลที่ต้องแก้ต่างให้พวกเขา สิ่งที่นางทำได้เพื่อพวกเขาเพียงอย่างเดียวก็คือร่วมเดินไปด้วยกัน ไม่ร้องขอให้มีชีวิตอยู่ แต่ขอให้ได้ตายไปด้วยกัน!” ซินหรันเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมาจากมุมตาตั้งแต่เมื่อใด “แต่ซั่งกวนฮ่าวนั้นคาดเดาได้ถึงการกระทำของพี่อวี๋ฮวน เขาซุ่มอยู่ตรงทางกลับของเขาเฮ่อ จับตัวท่านพี่ที่ไม่ได้เตรียมการป้องกันไป ขังไว้ในที่ลับแห่งหนึ่งในตระกูลซั่งกวน เขาและพวกหงหลัน มู่หรงฉวีกุย หวงฝู่เจิ้นหลงต่างผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าดู ไม่ให้ท่านพี่ส่งตัวเองไปตาย”
เพราะเหตุนี้ท่านป้าจึงเกลียดชังซั่งกวนฮ่าวอย่างนั้นหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกยากที่จะเชื่อ
“จนในยามที่ท่านพี่ถูกพวกซั่งกวนฮ่าวปล่อยตัวออกมา เขาเฮ่อก็ได้แหลกลานไปทุกย่อมหญ้า สำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ถูกถอนรากถอนโคน สูญสลายไปอย่างสมบูรณ์ ท่านพี่ไม่ได้เคียดแค้นชิงชัง นางทำเพียงออกค้นหาทั้งสองศพนั้นทั่วทุ่งกว้างและป่าเขา อยากให้พวกเขาได้นอนอยู่ใต้พื้นดินอย่างสงบสุข ทั้งอยากจะฆ่าตัวตายหน้าหลุมศพของพวกเขา แต่ก็ยังคงเป็นซั่งกวนฮ่าวที่วางแผน เขาเก็บศพของทั้งสองคนไปฝังตั้งนานแล้ว แต่ไม่บอกสถานที่ให้ท่านพี่ได้รู้ ถึงกระทั่งยังพูดว่าหากท่านพี่กล้าฆ่าตัวตาย เขาจะขุดศพทั้งสองคนออกมา ทำลายศพให้แหลกเหลวไม่เป็นชิ้นดี”
การกระทำของเขาน่าชังอยู่จริงๆ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์พลันเข้าใจท่านป้าขึ้นมา
“สิ่งที่น่าชังกว่านั้นคือซั่งกวนฮ่าวยังพูดว่า หากท่านพี่สามารถฆ่าเขาได้ ก็ย่อมไม่ต้องมีความกังวลเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่กล้ายืนยันว่าเขาจะขุดศพขึ้นมาเมื่อใด! ท่านพี่พำนักที่ลี่โจวอยู่สามปีเต็มๆ นางพยายามคิดทุกวิถีทางให้ได้รับข่าวสารจากปากของซั่งกวนฮ่าว ทั้งยังวางแผนลอบสังหารที่ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว เวลานั้นข้าและพวกพี่น้องก็อยู่ที่ลี่โจว ถูกท่านพี่จัดให้ไปอยู่ที่หมู่บ้านในหุบเขาเล็กๆ ทางตอนเหนือของลี่โจว ภายหลังมีวันหนึ่งที่ท่านพี่กลับมาด้วยร่างกายอ่อนล้า นางเรียกรวมพวกเรา อยากที่จะทำอาหารด้วยอารมณ์ดี พวกเราล้วนคิดว่าท่านพี่ปลงตกแล้ว ต่างก็มีความสุข แต่วันที่สองก็หาตัวท่านพี่ไม่พบอีกแล้ว นางบอกว่านางจะไม่กลับมาอีก นางต้องการให้ซั่งกวนฮ่าวได้รับการตอบแทนการกระทำทั้งหมดที่ทำต่อตนเอง”
เวลานั้นท่านป้าไปที่อู๋โจวอย่างนั้นรึ?
“ข้าบุกไปคิดบัญชีที่ตระกูลซั่งกวนอย่างบ้าคลั่ง กลับได้รู้ว่าซั่งกวนฮ่าวได้รับบาดเจ็บหนัก ภายหลังหงหลันบอกข้าว่า เขาจงใจให้ท่านพี่ลอบทำร้าย ยังพูดประมาณว่าเขามีบุตรมีธิดาแล้ว ถึงขนาดลูกสะใภ้ก็มีแล้ว ไม่มีความเสียดายอะไรทั้งนั้น สามารถตายในเงื้อมมือของท่านพี่อย่างวางใจได้แล้ว แต่ท่านพี่ลงมือฆ่าเขาจริงๆ ได้ที่ไหน กลับหนีจากพวกเรา หายไปอย่างไร้ร่องรอย ท่ามกลางพี่น้อง คนที่อายุน้อยที่สุดก็คือข้า แค่สิบสี่ปี พวกเราสัญญากันว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาท่านพี่ และตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ผ่านมาเป็นเวลาสิบสี่ปีเต็มๆ พวกเราไม่ได้ข่าวคราวอันใดของท่านพี่ทั้งนั้น พวกเราถึงกระทั่งคิดว่าท่านพี่ได้จากไปแล้ว…”
นางได้จากไปแล้วจริงๆ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เจ็บแปลบ กลับเห็นว่าซินหรันกำลังมองที่ตนเองอย่างแปลกประหลาด พอลองจับใบหน้าจึงค่อยพบว่ามีน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมาตั้งแต่เมื่อใดอยู่
“หรือท่านพี่เกิดเรื่องอะไรแล้วจริงๆ?” ซินหรันไม่อยากจะเชื่อความจริงที่น่าโหดร้ายนี้ นางยอมให้ตัวเองหาอวี๋ฮวนไม่เจอชั่วชีวิต ดีกว่าจะต้องมาได้ยินข่าวร้ายเช่นนั้น
เยี่ยนมี่เอ๋อร์อ้าปาก กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ปิดลงทันที ยามนี้จะพูดอะไรก็สายไปหมดแล้ว ยังมิสู้ไม่ต้องพูดออกมา
“ถ้าหาก…” เซียงเสวี่ยกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ถ้าหากเจ้าพูดถึงคนที่พวกเรารู้จักล่ะก็ นางได้จากไปแล้วจริงๆ”
ซินหรันคล้ายกับถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใบหน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา มองทั้งสองคนอย่างนิ่งอึ้ง รู้สึกว่าฟ้าหมุนแผ่นดินพลิกกลับ ตาทั้งสองข้างล้วนมืดมัวไปหมด หลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว…
เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยุงนางไว้อย่างว่องไว ตรวจชีพจรของนางอย่างระมัดระวัง พบว่านางทนรับความกระทบกระเทือนไม่ไหวจึงได้สลบไปก็ถอนหายใจ บีบนวดตามลำตัวของนาง ด้านเซียงเสวี่ยก็ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดเหงื่อเย็นที่ขึ้นบนหน้าผากให้นางจนนางค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมา
“ข้าว่า ยามนี้ข้าต้องการเวลาครุ่นคิดและตรึกตรองดีๆ สักหน่อยแล้ว ข้าไม่อาจรับความจริงเช่นนั้นได้จริงๆ…” นางยิ้มอย่างขมขื่น พยายามหยัดกายขึ้นนั่ง กล่าวเสียงเบา “ให้ข้าได้นั่งเงียบๆ สักพักได้หรือไม่? ข้าอยากอยู่คนเดียวเสียหน่อย”
“ท่าทีของเจ้าไม่ค่อยดี ทางที่ดีกลับไปพักในห้องดีๆ เถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก นางจะวางใจปล่อยซินหรันไว้แบบนี้ได้อย่างไร?
“เอาเถิด…” ซินหรันก็รู้ว่าสภาพของตนเองทำให้คนไม่อาจวางใจได้อยู่บ้าง จึงพยักหน้าตอบรับ เซียงเสวี่ยและเยี่ยนมี่เอ๋อร์พยุงนางขึ้น นางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะปฎิเสธการพยุงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “ในจวนนี้หูตาคนมีมาก อย่างไรอย่าได้ทำอะไรที่เตะตาจะดีกว่า หากเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับท่านพี่จริงๆ ทางที่ดีอย่าให้มีคนรู้จะดีกว่า!”
“ทำไมเล่า?” คนที่ถามคือเซียงเสวี่ย
“เดิมทีท่านพี่ล้วนไปมาหาสู่ผู้นำตระกูลของตระกูลใหญ่ในยุทธภพ และฮูหยินของพวกเขาไม่กี่คนก็ไม่พอใจและเห็นนางเป็นดั่งศัตรู” ซินหรันกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ข้าคิดว่าหากให้พวกนางรู้ แม้ไม่แน่ว่าจะกล้าสร้างความลำบากให้เจ้า แต่อย่างไรก็ย่อมกระทบกับเจ้าแน่!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างเงียบๆ นางก็ต้องการเวลาซึมซับเรื่องพวกนั้นที่ซินหรันเล่าเช่นกัน นางและเซียงเสวี่ยแลกเปลี่ยนสายตากัน ล้วนนึกไปถึงแม่นมที่ตงอวี่พูดว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เปิดเผยหน้าตาออกมาผู้นั้น…
——————-