เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 201 ความกระวนกระวายใจของหลิงหลง
ท้องฟ้ามืดครึ้มขมุกขมัวที่เรือนหลัง คำสาบานเคียดแค้นที่หอสาลี่หิมะ บรรยากาศตึงเครียดที่โถงบุปผาเรือนนภา กลับมีเพียงเรือนมีคู่เท่านั้นที่เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอนกายอยู่บนตั่งนุ่ม หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจับมือของนาง เอาแต่ไถ่ถามเรื่องอาหารการกิน การนอนหลับพัก ผ่อนจำพวกนี้อย่างละเอียด ไม่ยอมจะปล่อยผ่านแม้แต่คำถามเดียว กังวลว่าอาจจะมีจุดอะไรที่พลาดไป จิงอิ๋งพาหลิงหลงมานั่งเบียดอยู่อีกด้าน ดึงแขนเสื้อของมี่เอ๋อร์เอาไว้ไม่ยอมไปไหน ส่วนหลิงลี่ย้ายตั่งเล็กๆ ตัวหนึ่งมานั่งอยู่เบื้องหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มองหน้าท้องที่แบนราบของนางอย่างเกรงๆ…อือ ท่านพ่อบอกว่าในนั้นมีเด็กตัวเล็กๆ อยู่ หลังจากครบแปดเก้าเดือน ก็จะมีเด็กน้อยตัวสีชมพูออกมาจากในนั้น แต่ว่า พี่สะใภ้เจวี๋ยเอาเด็กตัวน้อยๆ ใส่เข้าไปได้อย่างไรกันนะ?
ด้านชิงหวั่นมองหลิงหลงที่จ้องจิงอิ๋งเขม็งอย่างขบขัน มองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ตื่นเต้นว่าตัวเองกำลังจะเป็นย่าคน ทั้งมอง หลิงหลงที่ประเดี๋ยวก็มองอย่างดีใจ ประเดี๋ยวก็สงสัย จิงอิ๋งที่ลูบท้องเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง ทั้งยังหลิงลี่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่มีความสุขและรื่นหูรื่นตา ทั้งสิ่งที่ทำให้นางมีความสุขยิ่งกว่าคือนางได้รับจดหมายของท่านพ่อผ่านจากซั่งกวนเจวี๋ย แม้ท่านพ่อจะจนใจ และไม่ยินยอมเท่าไร แต่ยังคงยอมรับเรื่องของนางและอวี่ฮ่าวโดยปริยาย บางทีพรุ่งนี้ หรือจะอีกสักสองสามวัน ท่านพ่ออาจจะฉวยโอกาสยามที่มาส่งของอวยพรให้กับหลิงหลง เข้ามาปรึกษาหารือเรื่องการแต่งงานของนางและอวี่ฮ่าว พวกเขานับว่ารอตั้งแต่ยามที่ท้องฟ้ามืดสลัวจนแสงอาทิตย์ส่องสว่าง ในที่สุดก็เป็นผลสำเร็จจนได้
“ฮูหยิน นายท่านเชิญท่านเข้าไปปรึกษาเรื่องงานแต่งของคุณชายอวี่ไข่และคุณหนูฉินซินเจ้าค่ะ!” ในขณะที่พูดคุยหัวเราะกัน แม่นมสีกลับจำต้องเข้ามาขัดบรรยากาศอบอุ่นของพวกนาง
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใบหน้ามืดมนลงมาชั่วขณะ กล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้ามีเหตุผลอะไรที่ต้องไป? ในเมื่อข้าไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดทั้งไม่ใช่ผู้ที่เลี้ยงดู จะแต่งก็ยังมาวุ่นวาย จงใจเพิ่มความหงุดหงิดให้ข้าหรืออย่างไร? ข้าไม่ไป!”
มู่หรงชิงหวั่นหัวเราะขบขันขึ้นมา นางจำได้อย่างขึ้นใจ ในยามที่เรื่องของตัวเองและซั่งกวนอวี่ฮ่าวเพิ่งถูกหวงฝู่เยวี่ย เอ้อรับรู้ นางดีใจจนแทบลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น อยากจะทำให้เรื่องทั้งหมดสำเร็จทั้งเดี๋ยวนั้น คาดไม่ถึงว่าเป็นลูกอนุภรรยาเหมือนกัน แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับปฏิบัติต่างกันถึงเพียงนี้
“หัวเราะอะไร? แม้ว่าข้าจะไม่ได้ให้กำเนิดอวี่ฮ่าว แต่ข้าเลี้ยงดูเขา ย่อมไม่เหมือนกัน” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถลึงตาให้ชิงหวั่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ให้นายท่านเรียกอนุภรรยาหนิงไปปรึกษากับเขา นั่นเป็นลูกชายของพวกเขาทั้งสองคน”
“ท่านแม่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย พวกหวงฝู่เยวี่ยล้วนไม่ทันทราบว่าหลังจากพวกเขาจากไปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง หรือบางทีซั่งกวนเจวี๋ยอาจจะเขียนจดหมายบอกกล่าวกับซั่งกวนฮ่าว แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อย่อมถูกปิดบังอย่างแน่นอน นางเห็นว่าได้ดึงความสนใจของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับมาแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อนุภรรยาหนิงไปอยู่ที่วัดประจำตระกูลเป็นเพื่อนอนุภรรยาอู๋ไม่ได้อยู่ในตระกูล ท่านจะให้ท่านพ่อไปหาเขาที่ใดกันล่ะเจ้าคะ? อีกอย่าง ไม่ว่าอวี่ไข่จะเป็นคนที่ท่านเลี้ยงมาหรือไม่ แต่ท่านก็เป็นภรรยาเอก เป็นนายหญิงของตระกูล ย่อมจำเป็นต้องออกหน้า เรื่องของพวกอวี่ไข่หากจัดการเร็วหน่อยก็เป็นเรื่องดี ไม่อาจรั้งเวลาให้ชักช้า จะกระทบการแต่งงานของอวี่ฮ่าวและชิงหวั่นได้ ท่านว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่?”
“อนุภรรยาหนิงอยู่วัดประจำตระกูล?” ผ่านมาค่อนวันหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ได้ยินเพียงประโยคนี้เท่านั้น ตาทั้งสองข้างเป็นประกาย “เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด? ข่าวดีเช่นนี้ไฉนจึงเพิ่งมาบอกข้าเอาในยามนี้?”
“ตั้งแต่ปลายเดือนเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบาง “พอท่านเข้าประตูมาก็เอาแต่สนใจเรื่องลูกในท้องของข้า มีเวลาให้ข้าได้พูดอะไรที่ไหนกัน?”
“เป็นความคิดของใคร? เจวี๋ยเอ๋อร์หรือผู้อาวุโส?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวถามอย่างดีใจ หากเป็นซั่งกวนเจวี๋ย เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วคงจะออกมาแล้ว แต่หากเป็นประสงค์ของเหล่าผู้อาวุโส หึ! นางย่อมต้องใช้ชีวิตอยู่ในวัดประจำตระกูลไปชั่วชีวิต!
“สามีเป็นคนส่งเข้าไป!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นใบหน้าที่เปล่งประกายของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจู่ๆ ก็หม่นแสงลง จึงอดหลุดขำส่ายศีรษะออกมาไม่ได้ นางไม่อยากให้อนุภรรยาหนิงกลับมาเลยอย่างนั้นรึ?
“ช่างเถิด อย่างไรข้าเข้าไปเสียหน่อยดีกว่า!” หวงฝู่เยวี่ยครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังคงหยัดกายขึ้น “รีบทำเรื่องของพวกเขาเสร็จแล้วหน่อยก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน จะได้ไม่ทำให้เรื่องของอวี่ฮ่าวและชิงหวั่นล่าช้า!”
“พี่สะใภ้!” ในที่สุดหลิงหลงก็ได้โอกาสเบียดอยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เพียงแค่ช่วงเวลาสามสี่เดือน นางก็ดูเหมือนจะใจเย็นขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เผยเพียงแค่ความกระวนกระวายใจเล็กน้อยเท่านั้น
“กำลังกังวลอะไรอย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยื่นมือไปจับนางไว้ อีกครึ่งเดือน ตระกูลซั่งกวนก็คงจะออกเดินทางไปจือ
หยาง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นครั้งแรกที่หลิงหลงไปตระกูลชุย ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับชุยฮ่าวหรัน แต่ก็ยังอดกระวนกระวายใจไม่ได้อยู่ดี
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จิตใจนั้นว้าวุ่นเป็นอย่างมาก” หลิงหลงก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรไป การแต่งงานกับชุยฮ่าวหรันเป็นเรื่องที่นางเฝ้าคอยมาโดยตลอด แต่เหตุใดพอใกล้จะมาถึงกลับเริ่มรู้สึกกระวนกระวายและหวาดกลัวล่ะ?
“เจ้ารู้หรือไม่? ยามที่พี่เพิ่งออกจากอู๋โจวก็กระวนกระวายใจเช่นกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลูบมือของนางอย่างแผ่วเบา “เจ้าและฮ่าวหรันเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก รู้จักมักคุ้นกันมาหลายปี แต่ก่อนที่พี่จะแต่งงาน อย่าพูดว่าเคยเห็นหน้าพี่ชายเจ้าเลย แม้เรื่องที่รับรู้ก็มีเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เจ้ามองในยามนี้สิ พี่ผ่านมันมาได้อย่างดี มีความสุขเป็นอย่างมาก ดังนั้นอย่าได้กังวล และไม่ต้องกระวนกระวาย เจ้าย่อมมีความสุขกว่าพี่อย่างแน่นอน!”
“แต่ว่าพี่สะใภ้ ข้าไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร” หลิงหลงอิงแอบข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวอย่างว้าวุ่น “ก่อนหน้านี้ข้าคิดมาโดยตลอดว่าข้าในยามนี้ใช้ชีวิตผ่านมาอย่างไร แต่งงานไปก็แค่ใช้ชีวิตอย่างนั้นก็พอแล้ว แต่ว่า…ท่านอาจารย์สั่งสอนข้าเสียมากมาย แต่ยิ่งสอนในใจข้าก็ยิ่งคิดไม่ตก แม้ว่าข้าจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิณหมาก การเขียนอักษรและวาดภาพ แต่ก็นับว่าไม่ได้แย่ กระนั้นการทำอาหาร เย็บปักถักร้อย ดูแลเรื่องในบ้าน ข้ากลับทำไม่เป็นสักอย่าง จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองได้ใช้เวลาสิ้นเปลืองไปกับการฝึกคำนวณศึกษากลยุทธ์เป็นอย่างมาก ข้าควรจะทำอย่างไรดี?”
“เด็กโง่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กหัวเราะก่อนจะเขกหน้าผากหลิงหลงไปเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าทำเรื่องพวกนี้เป็นแล้วมีประโยชน์อันใด? เจ้าอย่าลืมว่าคนที่เจ้าแต่งด้วยคือชุยฮ่าวหรัน คุณชายสามของตระกูลชุย ไม่มีความจำเป็นต้องทำทุกเรื่องให้โดดเด่น ดูแลเรื่องในบ้านนั้นเป็นหน้าที่ของสะใภ้ใหญ่ตระกูลชุย ขอแค่เพียงดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตในวันธรรมดาผ่านไปได้ด้วยดีก็เพียงพอแล้ว!ค”
“แต่ว่า…” หลิงหลงว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก
“อย่างนั้นเจ้าลองพูดมา เจ้าทำเรื่องพวกนี้เป็นแล้วมีประโยชน์อันใด?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ “นอกจากข้างกายเจ้าจะมีคนคอยรับใช้ ลุงจิ่นยังเตรียมสาวใช้แปดคนกับแม่นมอีกสี่คนให้เจ้าด้วย สาวใช้แปดคนนี้ก็อาศัยเซียงเสวี่ยเป็นคนคัดเลือกพวกนางออกมา ล้วนแต่มีความเชี่ยวชาญ แม่นมทั้งสี่ก็มีความเก่งกาจทั้งจงรักภักดี เจ้ายังจะกังวลอะไรอีก?”
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้!” หลิงหลงกล่าวอย่างกระเง้ากระงอด “สิ่งที่ข้ากังวลคือเรื่องเหล่านี้ข้าล้วนทำได้ไม่ดี หรือจะไม่สามารถเป็นสะใภ้ที่ดีได้ ท่านอาจารย์กล่าวว่า เป็นคุณหนูขี้เกียจได้ แต่ไม่อาจเป็นสะใภ้ที่ขี้เกียจได้ ยามที่ยังไม่ได้แต่งงาน ตระกูลชุยย่อมไม่จู้จี้จุกจิก แต่หลังจากแต่งงานไปแล้วคงไม่เหมือนกัน อะไรก็อาจจะเป็นเป้าถูกคนจับผิดได้!”
“ที่แท้หลิงหลงก็กังวลว่าจะมีปัญหากับแม่สามี พี่น้องสามี แล้วก็พวกสะใภ้ของพี่น้องสามีนี่เอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะ แม้ว่าอาจารย์เฉาจะความรู้กว้างไกล แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้แต่งงาน พูดถึงเรื่องพวกนี้ก็เป็นเพียงการวางแผนรบบนกระดาษเท่านั้น พูดจาโน้มน้าวไม่เป็นเท่าไร และหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็มีเพียงประสบการณ์ที่ล้มเหลว ไม่แปลกใจที่หลิงหลงจะกังวลถึงขนาดนี้
“ข้ากังวลใจมากจริงๆ” หลิงหลงยิ้มขมขื่น “พวกนางมักจะพูดว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้นั้นเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ มักจะพูดว่าต้องอ่อนน้อมถ่อมตน เดิมทีข้าก็ไม่กังวล แต่เมื่อพวกนางนับวันยิ่งพูดมากขึ้นก็ยิ่งกลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว”
“แม่สามีเดิมทีก็เป็นศัตรูโดยธรรมชาติอยู่แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ “มีคำพูดเช่นนี้อยู่ในหมู่คน กล่าวว่าแต่งสะใภ้แล้วจะลืมมารดา ความทุกข์ยากของการเป็นแม่คน พอเลี้ยงลูกชายเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างลำบาก ผลลัพธ์คือลูกกลายเป็นสามีของคนอื่น เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ล้วนมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าช่างไม่ยุติธรรม ยามนี้สิ่งที่ลูกสะใภ้ต้องทำมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือทำให้แม่สามีเข้าใจว่า เจ้าไม่ใช่ศัตรูที่มาแย่งลูกชายของนางไป แต่เป็นคนที่ลูกชายแต่งเข้ามาเพื่อกตัญญูต่อนาง ดูแลปรนนิบัตินาง ฮูหยินชุยตั้งท้องสามครั้ง กลับไม่มีลูกสาวแม้แต่คนเดียว หากเจ้ารู้จักเอาอกเอาใจ ดูแลอย่างทั่วถึง นางย่อมจะเอ็นดูเจ้า”
“เช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไร?” หลิงหลงตาเป็นประกาย สิ่งที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อสอนนางคือหากตระกูลชุยหรือฮูหยินชุยปฏิบัติกับนางไม่ดี ให้กลับมารายงาน นางย่อมจะหนุนหลังให้หลิงหลง
“เจ้าจะต้องทราบถึงความชอบ ความเคยชินของฮูหยินใหญ่ จากนั้นก็ทำตัวเหมือนเป็นลูกสาวของนาง พยายามเป็นห่วงนาง เอาใจใส่นาง แล้วก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนนางให้มากหน่อย แต่จำไว้ว่า แม่สามีไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิด ดังนั้นไม่อาจจะดื้อรั้นเหมือนอยู่ในบ้านได้ มารดาของเจ้าย่อมให้อภัยต่อความผิดพลาดทั้งหมดของเจ้าได้ แต่แม่สามีย่อมไม่ใช่อย่างนั้น สามารถออดอ้อนแม่สามีได้ แต่อย่าได้ไร้เหตุผลจนเกินไป ต้องเว้นระยะให้เหมาะสม ไม่อาจใกล้ชิดเกินไป ทั้งไม่อาจเย็นชาจนเกินไป!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นนางยิ่งขมวดคิ้วขึ้นเรื่อยๆ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ที่จริงเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงขนาดนั้น ข้าเคยทักทายลุงจิ่น ทั้งถามถึงสถานการณ์ในตระกูลชุย สะใภ้ทั้งสองของตระกูลชุยล้วนมีความสัมพันธ์ที่ปกติกับฮูหยินชุย ส่วนเจ้า ขอเพียงแค่ไปปรนนิบัติทุกเช้าเย็น ยามที่ต้องไปน้อมคารวะอย่าได้ไปสาย ยามที่เคารพกฎเกณฑ์ก็อย่าได้ออกนอกลู่นอกทาง หาเวลาว่างไปอยู่กับนางบ่อยๆ ก็เพียงพอแล้ว ความชอบและความคุ้นชินของฮูหยินชุย ฮ่าวหรันก็เขียนมาอย่างละเอียดแล้ว พวกแม่นมล้วนท่องจำได้เหมือนน้ำไหล เจ้าก็รีบหาเวลาไปดูดีๆ เสีย ประเด็นที่สำคัญอย่าให้ผิดพลาด ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย พวกแม่นมจะตักเตือนเจ้าอย่างระมัดระวังเอง”
“แต่ว่า…” หลิงหลงยังคงสลัดความกลัดกลุ้มออกไปไม่ได้
“ไม่มีคำว่าแต่แล้ว ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ เจ้าในยามนี้คิดว้าวุ่นมากไปก็เป็นเพียงเพิ่มความกลัดกลุ้มให้ตัวเองก็เท่านั้น เจ้าและฮ่าวหรันหมั้นหมายกันมาหลายปีแล้ว ย่อมไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับฮูหยินชุย ความสัมพันธ์ของสองตระกูลก็อยู่ตรงนี้ อย่าได้ตีตนไปก่อนไข้เลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างขบขัน “เพียงแต่มีอย่างหนึ่งที่ย่อมทำให้ฮูหยินชุยเห็นดีเห็นงามกับเจ้า เก็บเจ้าไว้กลางดวงใจอย่างแน่!”
“อะไรรึ?” หลิงหลงกล่าวถามอย่างตื่นเต้น
“มีข่าวดีให้เร็วหน่อย!” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้หลิงหลงหน้าแดงก่ำในชั่วพริบตา แง่งอนขึ้นมา
“แต่ว่า มีจุดหนึ่งที่ต้องจำไว้ให้ดี!” หยอกล้อสักพัก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หุบยิ้ม มองหลิงหลงอย่างจริงจัง “คุณหนูที่แต่งออกจากตระกูลก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าเอาแต่นึกถึงตระกูลของตัวเอง จำไว้ว่า พอเจ้าสวมชุดแต่งงาน เข้าพิธีกราบไหว้กับฮ่าวหรันแล้ว ฐานะแรกของเจ้าก็จะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลชุย จากนั้นค่อยเป็นบุตรสาวของตระกูลซั่งกวนที่แต่งออกไป หากไม่สามารถทำความเข้าใจกับฐานะของตัวเองได้ เช่นนั้นเจ้าก็ย่อมไม่อาจเริ่มชีวิตใหม่ได้ตลอดกาล”
หลิงหลงชะงักไปเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “นี่จะให้เข้าใจว่าอย่างไร?”
“ก็หมายความว่า ในยามที่ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต้องแยกแยะฐานะของตนเองให้กระจ่างชัด อย่าได้จับปลาสองมือ ยิ่งไม่อาจเห็นตัวเองเป็นคุณหนูของตระกูลซั่งกวน มิเช่นนั้นชั่วชีวิตของเจ้าก็ไม่อาจจะกลายเป็นคนของตระกูลชุยได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์
กล่าวอย่างเรียบง่าย นางไม่คิดว่าซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยจะหวังได้ประโยชน์อะไรจากงานแต่งงานของหลิงหลงให้กับตระกูลซั่งกวน พวกเขาตามใจหลิงหลงและจิงอิ๋ง ในมุมหนึ่งก็คือไม่อยากให้พวกนางต้องแบกรับภาระหรือหน้าที่อะไร
“ข้าเข้าใจแล้ว!” หลิงหลงสวมกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “พี่สะใภ้กังวลว่าข้าจะเหมือนกับท่านย่า ล้วนเป็นถึงย่าคนแล้ว ยังไม่รู้จักแยกแยะความจริง ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูของตระกูลทั่วป๋า เพื่อความภาคภูมิและเกียรติยศ กลับพยายามทำเรื่องกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”
“อีกอย่าง หากได้รับความไม่ยุติธรรม มีความทุกข์ใจอันใด ก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรึกษากับฮ่าวหรัน คลี่คลายปัญหาให้ได้ อย่าได้เอาแต่คิดกลับบ้านของตัวเองมาร้องไห้ฟูมฟาย เข้าใจหรือยัง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหลิงหลง ทำใจจะจากนางไม่ได้อยู่บ้างเช่นกัน
“ท่านพ่อก็พูดเช่นนี้ แต่ท่านแม่บอกว่าหากได้รับความไม่ยุติธรรมก็กลับมา นางจะหนุนหลังให้ข้าเอง” หลิงหลงกล่าวยิ้มๆ
“นั่นไม่ได้นะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะ นับเป็นนิสัยของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจริงๆ “บางทีแค่ครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่หากหลายครั้งก็นับเป็นการทำร้ายต่อทั้งสองฝ่าย อีกทั้งบางเรื่อง เดิมก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ แต่เมื่อดึงมาเกี่ยว คนอื่นๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นซับซ้อนวุ่นวายไปหมด เรื่องต้องห้ามระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ก็คือการดึงตระกูลเก่ามาเกี่ยวข้อง ก็คือแม้จะเป็นไม่นับเป็นเรื่องอันใด แต่ก็อาจจะเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นได้ ฮูหยินชุยแทบจะเห็นเจ้ามาจนเติบใหญ่ นางควรจะเข้าใจถึงนิสัยเจ้าดี ไม่อาจจะร้องขออะไรเกินไปหรอก เพียงแค่สงบสติอารมณ์หน่อยก็พอแล้ว!”
“อื้ม!” หลิงหลงผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง ในใจยังคงว้าวุ่นอยู่ แต่ก็ไม่ได้กระวนกระวายดังเช่นตอนแรกแล้ว พี่สะใภ้พูดถูก แม้จะพูดว่าลูกสะใภ้และคุณหนูไม่เหมือนกัน แต่ขอเพียงแค่วางตำแหน่งของตัวเองให้แน่ชัด ค่อยๆ พัฒนาก็ย่อมสามารถปรับตัวเข้ากับมันได้แล้ว