เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 206 บรรพชนลงมือ
เหตุใดการส่งอำลา พอเพิ่มหวงฝู่เยวี่ยเอ้อขึ้นมาหนึ่งคนก็เหมือนกับละครฉากหนึ่งทันที? เยี่ยนมี่เอ๋อร์แทบที่จะเลียนแบบกัดผ้าเช็ดหน้าอย่างอนุภรรยาหวัง ดูเหมือนจะร้องไห้ แต่แท้จริงกลับแอบหัวเราะและร้องไห้อยู่หลังผ้าเช็ดหน้า!
ซั่งกวนฮ่าวนั้นไปอย่างไม่เห็นเงาแล้ว…คนที่ได้ฟังหวงฝู่เยวี่ยเอ้อร่ายอารัมภบทยาวเหยียดเป็นคนแรกก็คือเขา ในยามที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อย้ายความสนใจไปที่อื่น เขาก็ทะยานหนีไปจากที่นี่อย่างไม่ลังเลสักนิด ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่เห็นเงาเช่นกัน…ในยามที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกำชับกับซั่งกวนฮ่าวอย่างไม่หยุดหย่อน เขาก็พูดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ง่ายๆ บอกให้ดูแลตัวเองดีๆ เพียงสองสามประโยคก็ฉวยโอกาสหายไปอย่างไม่เห็นเงาแล้ว ซั่งกวนอวี่ฮ่าวมองซั่งกวนอวี่ไข่…หลังจากซั่งกวนฮ่าวไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ก็ยัง คงตัดสินใจจะพาลูกอนุภรรยาทั้งสองออกจากจวนไปด้วย โดยเฉพาะซั่งกวนอวี่ไข่ เพราะไม่อยากจะให้เขารั้งอยู่ที่จวนสร้างความวุ่นวาย ส่วนหลิงหลงที่น่าสงสารได้ปลดปล่อยความกระวนกระวายทิ้งไปสุดขอบฟ้าแล้ว ยามนี้คิดอยากจะขึ้นรถม้าไปเร็วๆ รีบไปให้ไกลจากมารดาที่น่ากลัว…
“จำคำพูดของข้าได้แล้วใช่หรือไม่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถามย้ำเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยหนึ่ง
“จำได้แล้ว!” หลิงหลงแทบอยากจะน้ำลายฟูมปาก เป็นลมไปเสีย เผยใบหน้าซูบเซียว กล่าวอย่างขมขื่น “ต้องยืดอกใช้ชีวิตอย่างผ่าเผย อย่าให้ใครมารังแก หากผู้ที่รังแกคือผู้อาวุโส ก็เขียนจดหมายกลับมา ท่านย่อมจะบุกไปถึงหน้าประตู หนุนหลังให้กับข้า แต่หากผู้ที่รังแกข้าอายุคราวเดียวกัน เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ต้องเกรงใจ ให้พวกสาวใช้แม่นมจัดการแล้วค่อยว่ากัน มีเรื่องอะไรท่านจะรับผิดชอบเอง ใช้ชีวิตกับฮ่าวหรันดีๆ อย่าได้เอาแต่แง่งอนบ่อยไป แต่หากเขากล้าไม่เชื่อฟังก็อย่าได้โอนอ่อนผ่อนตาม ย่อมต้องควบคุมเขาให้ได้ รีบมีหลานให้ท่านไวๆ…ท่านแม่ ข้าจำได้หมดแล้ว ทั้งท่องออกมาราวกับสายน้ำได้ด้วยซ้ำไป”
“อย่าได้ลืมเชียว อย่ากังวลพวกเขาที่…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเริ่มอีกครั้ง คนที่อยู่ด้านข้างล้วนเผยท่าที ‘เวทนาจนไม่อาจทนดูได้’ ออกมา หลิงหลงใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิม ส่งสายตาวิงวอนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นครั้งที่หนึ่งร้อยสอง
เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลั้นหัวเราะจนแทบจะกลั้นไม่ไหว ในยามนี้ซินหรันที่กำชับอินหงหลันเสร็จแล้วได้หมุนกายกลับมา…อินหงหลันก็จะตามไปจือหยางเช่นกัน ส่วนซินหรันอยู่ที่นี่ หลายปีมานี้สองสามีภรรยาล้วนไม่เคยแยกจากกันมาก่อน สิ่งที่ต้องกำชับย่อมมีมากมายอยู่บ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าก็ยังคงพ่ายแพ้ให้กับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ
“มี่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงยืนอยู่นานขนาดนี้” ซินหรันเห็นท่าทีจนใจของทุกคนก็พยายามกลั้นยิ้ม กล่าวออกมาอย่างตกใจ “เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว ไม่อาจจะยืนนานเช่นนี้ได้ ให้ข้าพยุงเจ้ากลับไปก่อนเถิด พี่สะใภ้ เจ้าค่อยๆ บอกลากับหลิงหลงแล้วกัน ไม่ต้องรีบไป”
ในที่สุดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็รู้สึกผิดขึ้นมาอยู่บ้าง…ไม่ใช่เพราะว่านางพูดนานเกินไป แต่เป็นเพราะทำให้มี่เอ๋อร์เหนื่อยตามไปด้วย ต้องยืนเป็นเพื่อนนางเสียนาน จึงกล่าวยิ้มๆ ทันที “ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อะไรที่ต้องกำชับก็กำชับกับหลิงหลงไปหมดแล้ว เอาล่ะ ไปเถิดลูก”
หลิงหลงถอนหายใจโล่งอกออกมาเฮือกใหญ่ ส่งสายตาซาบซึ้งใจให้กับซินหรัน ก่อนจะคำนับให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหนึ่งครั้ง คล้อยหลังก็ดึงม่านอิงขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกับหนีอุตลุดอย่างหัวซุกหัวซุนอยู่บ้าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ควบคุมตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงไม่ได้หัวเราะออกมา…
เห็นขบวนรถค่อยๆ เคลื่อนออกไปไกล หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู คล้ายกับไม่อยากจากไปอยู่บ้าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกแปลกใจอย่างมาก ยามที่คิดจะออกมา ก็ปรากฏกลุ่มคนควบม้าเข้ามา พาให้ควันฝุ่นลอยฟุ้งตามทาง ในยามที่เผชิญกับพวกซั่งกวนฮ่าว ทั้งสองฝ่ายต่างก็หยุดลง คล้ายกับทักทายกันตามประสา แต่ก็ไม่ได้รั้งอยู่นาน คนขี่ม้ากลุ่มนี้ก็ขยับไปด้านข้างเพื่อเปิดทาง จากนั้นขบวนส่งเจ้าสาวของตระกูลซั่งกวนก็เคลื่อนตัวออกไปด้วยความรวดเร็วทันที…
“ในที่สุดก็มาแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพยักหน้าอย่างพอใจ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มี่เอ๋อร์ หากไม่เหนื่อย ก็ไปนั่งเป็นเพื่อนแม่ที่เรือนนภาเสียหน่อย วันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้ดูเรื่องสนุก!”
เรื่องสนุก? เรื่องสนุกอะไร? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ เพียงแต่เมื่อหวงฝู่เยวี่ยเอ้อบอกว่าจะมีเรื่องสนุก เช่นนั้นก็ย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มเล็กน้อย “มี่เอ๋อร์ในยามนี้ไม่ต้องทำอะไร ทั้งไม่อาจจะทำอะไรได้ด้วย สามารถไปเป็นเพื่อนท่านแม่ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว!”
เมื่อไปถึงเรือนนภายังไม่ทันได้นั่งให้เก้าอี้ได้อุ่นดี ซั่งกวนจิ่นก็พาคนที่คุ้นเคยเข้ามา กล่าวว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองแวบเดียวก็รู้ทันที นี่ไม่ใช่ซั่งกวนอี้จากเรือนพำนักอวี้ฉิงหรอกหรือ?
“ซั่งกวนอี้คารวะฮูหยิน สะใภ้ใหญ่!” ซั่งกวนอี้ประสานมือคารวะอย่างเรียบง่าย “เมื่อคืนท่านบรรพชนได้ตรวจมองดวงดาว พลันเกิดลางสังหรณ์ทำนายโชคชะตา จึงได้ตั้งใจส่งข้ามาทำเรื่องขอรับ!”
ทำนายออกมา? ไม่ใช่เรื่องที่วางแผนไว้ดีแล้วหรอกหรือ? หวงฝู่เยวี่ยเอ้องุนงงไปบ้าง แต่ก็ยังคงว่าตามคำพูดของซั่งกวนอี้ “เป็นเรื่องอันใดที่ต้องให้พ่อบ้านอี้ออกหน้าด้วยตนเอง?”
“อย่างไรขอเชิญสมาชิกในจวนที่เป็นผู้หญิงมาทั้งหมดก่อนค่อยว่ากัน จะได้ป้องกันการเข้าใจผิดด้วยขอรับ!” ซั่งกวนอี้กล่าวยิ้มๆ “ขอฮูหยิน สะใภ้ใหญ่พาสมาชิกผู้หญิงทั้งหมดของตระกูลมารวมกันเสียหน่อย ซั่งกวนเอ่อร์ได้ไปเชิญฮูหยินใหญ่แล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราพบกันในห้องโถงหลักเถิดขอรับ”
“แม่นมสี เจ้าส่งคนไปรายงานอนุภรรยาอู๋ อนุภรรยาหวังและอนุภรรยาหนิง ให้พวกนางไปถึงห้องโถงหลักทันที มี่เอ๋อร์ ให้สาวใช้ข้างกายของเจ้าเรียกอู๋เลี่ยนเยี่ยนมา นางเป็นเมียบ่าว ก็นับว่าเป็นสมาชิกผู้หญิงในบ้านเช่นกัน” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อออกคำสั่งอย่างไหลลื่น แม่นมสีและม่านเหอที่อยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์รีบออกไปทันที ก่อนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไปรอที่ห้องโถงหลักก่อนเถิด”
“ก็ดีขอรับ” ซั่งกวนอี้ผงกศีรษะ คนกลุ่มนี้ก็เคลื่อนไปยังห้องโถงหลักโดยพลัน
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ทันได้นั่งดี ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ปรากฏตัว ผ่านการบำรุงดูแลมาครึ่งเดือน ตอนนี้นางก็ดูมีสง่าราศีขึ้นเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง อนุภรรยาหนิงเฝ้าอยู่ข้างกายนางอย่างระมัดระวังทั้งยังทำท่าทีจงรักภักดีเสียเต็มประดา แน่นอนว่า แม่อี้ แม่นมหนิงก็เข้ามาไม่ขาดแม้แต่คนเดียวเช่นกัน
“ตกลงมีเรื่องอันใดกันแน่ ซั่งกวนอี้ เจ้าพูดมาเถิด” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ได้คำตอบอะไรจากปากของซั่งกวนเอ่อร์เลย กำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด เห็นซั่งกวนอี้นั่งอย่างใจเย็นอยู่อีกฟากของห้องโถง เมื่อนางนั่งประจำที่ก็เอ่ยปากถามทันที
“ฮูหยินใหญ่อย่าได้ใจร้อนไป รอหลังจากสมาชิกผู้หญิงทุกคนมาแล้ว ข้าย่อมจะรายงานคำสั่งของท่านบรรพชนออกมา” ซั่งกวนอี้กล่าวอย่างเป็นพิธีทั้งดูห่างเหิน ในขณะที่กำลังพูด อนุภรรยาหวังและอนุภรรยาอู๋ รวมทั้งอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่แต่ไหนแต่ไรก็แทบไม่โผล่หน้าออกมาก็มาถึง
“สมาชิกผู้หญิงในบ้านทั้งหมดล้วนมาถึงแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะบอกกล่าวประสงค์ของท่านบรรพชนแล้ว” ซั่งกวนอี้กระแอมคอให้โล่งเล็กน้อย ก่อนจะหยัดกายกล่าว “เมื่อคืนท่านบรรพชนตรวจดูดวงดาว บังเอิญได้ทำนายโชคชะตา กล่าวว่าลูกในครรภ์ของสะใภ้ใหญ่อยู่ในอันตราย อาจจะมีคนลอบทำร้าย หากจะกำจัดภัยร้ายให้สูญสิ้น ต้องให้สมาชิกผู้หญิงในจวนสวดมนต์ภาวนาหนึ่งร้อยวันให้กับทารกในครรภ์ เพื่อให้ทายาทของตระกูลซั่งกวนเจริญรุ่งเรือง ท่านบรรพชนครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงได้ออกคำสั่งเป็นพิเศษลงมา ให้สมาชิกผู้หญิงในจวน ยกเว้นฮูหยินหวงฝู่ซื่อและสะใภ้ใหญ่เยี่ยนซื่อ ส่วนผู้หญิงทั้งหมดให้เข้าสู่วัดประจำตระกูล สวดมนต์ภาวนาเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน ให้ออกเดินทางตั้งแต่บัดนี้!”
นี่คือเรื่องสนุกที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดถึงกระมัง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก้มหน้า ไม่ปริปากพูดสักคำ มิน่าเล่าซั่งกวนเจวี๋ยจึงไม่กังวลว่าพวกทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะมุ่งร้ายอะไรกับนางแม้แต่น้อย คนถูกส่งไปที่วัดประจำตระกูลแล้วจะยังทำอะไรได้อีก?
“อะไรนะ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยร้องเสียงหลงขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? ฮ่าวเอ๋อร์ล่ะ? เขาจะทนมองดูมารดาถูกส่งไปตกระกำลำบากที่วัดประจำตระกูลอย่างเฉยๆ ได้อย่างนั้นเชียวรึ เรียกเขากลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“ฮูหยินใหญ่!” ซั่งกวนจิ่นกล่าวอย่างนอบน้อม “วันนี้เป็นวันดีที่ส่งขบวนเจ้าสาวออกเดินทาง นายท่านและคุณชายต่างก็ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ยามนี้อาจจะออกไปจากลี่โจวแล้ว ไม่ได้อยู่ที่จวน หากฮูหยินใหญ่มีเรื่องอันใด ก็สามารถเขียนจดหมายได้ ข้าจะให้คนขี่ม้าเร็วเอาไปส่งให้นายท่านทันที”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามบีบมือแน่น ไม่ให้ตัวเองหลุดขำออกมา พวกเขาย่อมจงใจอย่างแน่นอน พ่อลูกซั่งกวนฮ่าวล้วนไม่อยู่ แม้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดอยากจะเอะอะโวยวายอย่างไรก็ไม่อาจทำได้อยู่แล้ว ครั้งนี้คงโดนจังๆ แล้วกระมัง!
“เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้! เขาย่อมวางแผนดีแล้วเป็นแน่!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้ว่าวันนี้ซั่งกวนฮ่าวจะออกเดินทาง แต่ก็ไม่ได้สนใจอันใด ตัวเองไม่ออกไปส่งอำลา ทั้งไม่อนุญาตให้อนุภรรยาหนิงไปส่งด้วย
“ฮูหยินใหญ่ อย่างไรขอให้เตรียมตัวออกเดินทางเดี๋ยวนี้เถิด” ซั่งกวนอี้ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงร้องของนางสักนิด ท่านบรรพชนได้ออกคำสั่งแล้ว นางทำได้เพียงเลือกเชื่อฟังแต่โดยดีเท่านั้น
“ข้าไม่ไป! ข้าไม่ไปแน่ๆ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยร้องขึ้นมา ไปวัดประจำตระกูล เป็นเรื่องที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่ากระไร หลายวันมานี้หนิงซินก็เอาแต่ร้องทุกข์กับนาง ช่วงเวลาเหล่านั้นแม้กระทั่งหนิงซินยังแทบใช้ชีวิตไม่ได้ หากนางไป อาจจะกลับมาไม่ได้ด้วยซ้ำ นางไม่ไป ให้ตายอย่างไรก็ไม่ไป!
“ฮูหยินใหญ่ คำสั่งของท่านบรรพชนไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจฝ่าฝืนได้ ทางที่ดี ท่านออกคำสั่งให้คนไปเก็บข้าวของจะดีกว่า พวกเราจะคุ้มกันระหว่างเดินทางเอง” ซั่งกวนอี้พยายามดึงความอดทนออกมาสิบสองส่วน กล่าวออกไปอย่างดีๆ
เดินทาง? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยสั่นสะท้านในใจ ส่ายศีรษะสุดชีวิต “ข้าไม่ไป ให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่ไป! ท่านบรรพชนอะไรกัน กระทั่งหน้าข้าก็แทบไม่เจอ ถือสิทธิ์อันใดมาให้ข้าฟังคำสั่งของเขา เยวี่ยเอ้อ มี่เอ๋อร์ พวกเจ้าบอกกับเขา ข้าไม่ไปแน่ๆ!”
“ทางที่ดี ฮูหยินและสะใภ้ใหญ่อย่าได้พูดอะไรจะดีกว่า” ซั่งกวนอี้รู้ว่าทั้งสองคนย่อมแทบอยากจะกวาดทั่วป๋าซู่เยวี่ย
ออกไปนอกประตู แต่เพราะ ‘ความกตัญญู’ คำเดียวจึงจำเป็นต้องพูดเพื่อนาง ดังนั้นจึงฉวยโอกาสเอ่ยปากก่อน “พวกท่านพูดไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ยังมิสู้ลองช่วยคิดตระเตรียมของให้ฮูหยินใหญ่ วัดประจำตระกูลนั้นลำบากและเหน็บหนาว ทำให้ฮูหยินใหญ่ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นได้ที่นั่นก็นับเป็นความกตัญญูอย่างยิ่งใหญ่ของพวกท่านแล้ว”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ประสานสายตากัน ต่างก็มองเห็นความสุขและความขบขันจากแววตาของอีกฝ่าย ปรึกษากันขึ้นมาทันทีว่าจะเตรียมของอะไรให้ฮูหยินใหญ่ดี
“อย่างไรข้าก็ไม่ไป!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่จำเป็นให้คนมาพยุงก็หยัดกายขึ้น ก้าวเท้าเร็วๆ คิดจะกลับเรือนหลังไป นางไม่เชื่อหรอก นางกลับเรือนหลังไปแล้ว คนพวกนี้ยังจะสามารถทำอะไรนางได้!
“ขอฮูหยินใหญ่รั้งอยู่ก่อน!” คำพูดของซั่งกวนอี้ยังไม่ทันจบดี ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ยืนนิ่งทันที…ไม่ใช่เพราะนางหยุดเอง แต่ถูกหญิงแก่สองคนขวางไว้ต่างหาก ทั้งยังสกัดจุดของนางอย่างไม่เกรงใจสักนิด ซั่งกวนอี้เผยยิ้มอย่างพอใจ “ดูท่าฮูหยินใหญ่ยังพอเข้าใจความประสงค์ของท่านบรรพชนอยู่ พวกเจ้าทั้งสอง รบกวนพวกเจ้าไปส่งฮูหยินใหญ่ขึ้นรถม้าหน่อยเถิด!”
“เจ้าค่ะ!” หญิงแก่ทั้งสองล้วนเป็นคนที่ซั่งกวนอี้พามา มองจากท่าทีของซั่งกวนอี้แล้ว ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ทั้งสองคนพยุงทั่วป๋าซู่เยวี่ยทั้งซ้ายและขวาออกไป อย่าพูดว่าขัดขืนเลย แม้กระทั่งคำว่า ‘ไม่’ คำเดียว ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ยังพูดออกมาไม่ได้แล้ว
“พวกเจ้ายังไม่ไปเตรียมตัวอีกหรือ?” รอยยิ้มของซั่งกวนอี้ เมื่อตกไปอยู่ในดวงตาของพวกอนุภรรยา เห็นได้ชัดว่าน่าหวาดกลัวเพียงใด พวกนางต่างกระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรังไปทันที ไม่เว้นแม้แต่อนุภรรยาหวังที่อยากจะขอความเมตตาจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเช่นกัน
เพียงแต่ ยามที่อนุภรรยาทั้งสามและอู๋เลี่ยนเยี่ยนจัดเก็บสิ่งของอย่างเป็นระเบียบเตรียมจะขึ้นรถม้า จู่ๆ ซั่งกวนอี้ก็ขมวดคิ้ว มองที่อนุภรรยาหวัง “ข้าเกือบลืมคำสั่งของท่านบรรพชนไป ท่านบรรพชนกล่าวว่า อนุภรรยาหวังเป็นลูกสาวของนัก โทษที่เคยทำความผิด ไม่อาจจะเข้าวัดประจำตระกูลได้ เจ้าก็อยู่คัดลอกคัมภีร์ในจวนก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปประสมโรง!”
อนุภรรยาหวังดีใจอย่างไม่คาดฝันพยักหน้าติดๆ กัน รีบกลับไปยืนอยู่ข้างกายหวงฝู่เยวี่ยเอ้อทันที แล้วมองพวกอนุภรรยาหนิง อนุภรรยาอู๋พาสาวใช้แม่นมที่ใกล้ชิดขึ้นรถม้าไปด้วยใบหน้าที่โศกเศร้าเคล้าน้ำตา ในใจก็มีความสุขขึ้นมาอย่างแทบไม่มีอะไรจะเทียบได้…
“ในที่สุดก็ไปหมดแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มจนตาเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ “หนิงซิน คนต่ำต้อยผู้นี้ นางคิดว่าพอนายท่านกลับมาก็รับนางออกมาเพราะทนเห็นนางทุกข์ทนไม่ได้ หารู้เจตนาที่แท้จริงของนายท่านไม่!”
“หรือเวลานั้นท่านพ่อก็รู้แล้วว่าท่านบรรพชนจะทำเช่นนี้อย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกดีใจเสียกว่ากระไร หนึ่งร้อยวันไม่ต้องพบหน้าคนที่น่าชังพวกนั้น แม้แต่บรรยากาศก็ล้วนนุ่มนวลขึ้นมา
“แน่นอนอยู่แล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหัวเราะเสียงดัง “ให้นางออกมา ก็เพื่อให้นางปรนนิบัติฮูหยินใหญ่ดีๆ เท่านั้น ฮูหยินใหญ่ร่างกายแข็งแรงแล้ว ก็จะสามารถไปวัดประจำตระกูลได้!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าในยามที่บอกว่าจะรับอนุภรรยาหนิงและอนุภรรยาอู๋กลับมา หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจึงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนทั้งยังเป็นดูกระตือรืนร้น ที่แท้ก็เพราะมีแผนเช่นนี้!