เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 216 คำขอร้องของอวี่ไข่
“มีเพียงเท่านี้?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองใบรายการในมืออย่างไม่พอใจ บ้านหลังหนึ่ง ที่ดินสี่แห่ง ร้านค้าห้าแห่ง กับโรงน้ำชาหนึ่งแห่ง ดูเหมือนจะไม่น้อย แต่ผู้ที่อวี่ไข่แต่งงานด้วยเป็นถึงคุณหนูลูกภรรยาเอกของตระกูลทั่วป๋า ของเล็กน้อยพวกนี้จะพอเชิดหน้าชูตาได้อย่างไร?
“ใช่แล้ว มีเพียงเท่านี้!” อวี่ไข่ก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะขี้เหนียวถึงเพียงนี้ แบ่งทรัพย์สินให้เขาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เดิมทีเขายังคิดว่าเขาอุตส่าห์แต่งกับทั่วป๋าฉินซินได้ทั้งที ซั่งกวนฮ่าวคงจะแบ่งทรัพย์สินให้เขามากกว่านี้หน่อย ทั้งยังเคยคิดให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกลับมาก่อนค่อยว่ากัน แต่ซั่งกวนฮ่าวก็พูดออกมาตรงๆ กล่าวว่ามีเพียงเท่านี้ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะกลับมาหรือไม่กลับมาก็เหมือนกันทั้งนั้น ทำลายฝันหวานครั้งสุดท้ายของเขาเสียสิ้น
“ของอวี่ฮ่าวเล่า? เจ้าเห็นแล้วหรือยัง?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเรียบเย็น ใบรายการสินสอดทองหมั้นที่ตระกูลซั่งกวนให้ตระกูลทั่วป๋านางก็เห็นมาแล้ว ไม่พอใจเช่นกัน แต่เรื่องนั้นซั่งกวนฮ่าวและทั่วป๋าเชียนเย่าเป็นคนตัดสินใจ แม้แต่ทั่วป๋าเชียนเย่ายังยอมรับ ก็ย่อมไม่เหลือทางให้นางได้พูดอะไรอีก…นางไม่อยากยอมรับว่าตัวเองในยามนั้นตกใจเป็นอย่างมาก จึงไม่กล้ามากความ!
“เห็นแล้ว!” อวี่ไข่จำต้องยอมรับเหตุผลหนึ่งที่ว่าซั่งกวนฮ่าวเหมือนจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน “อวี่ฮ่าวนั้นได้บ้านหลังหนึ่ง ที่ดินสี่แห่ง ร้านค้าเจ็ดแห่ง เพิ่มร้านค้ามาหนึ่งแห่ง แต่กิจการโรงน้ำชานั้นดีกว่าร้านค้าอยู่มาก ข้าจึงไม่ได้เลือกอันนั้น! นอกจากนี้ บ้านหลังนั้นยังใกล้จวนอยู่บ้าง แต่มีขนาดเพียงสองส่วนสามของบ้านหลังนี้ ข้าคิดว่าภายหลังต้องรับท่านไปดูแลยามบั้นปลายชีวิต ดังนั้นจึงเลือกที่แห่งนี้!”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แม่นมหนิงพูดไม่ผิด อวี่ไข่นั้นกตัญญูรู้คุณ เวลาเช่นนี้ก็ไม่ลืมที่จะกตัญญูต่อตนเอง นับว่าไม่ได้รักและเอ็นดูเขาอย่างเสียเปล่าจริงๆ!
นางไหนเลยจะรู้ว่าอวี่ไข่คิดไม่เหมือนกับนาง สิ่งที่อวี่ไข่นึกถึงก็คือทรัพย์สินส่วนตัวของทั่วป๋าซู่เยวี่ยต่างหาก หากตัวเองสามารถรับนางไปเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า ทรัพย์สินส่วนตัวของนางก็จะตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย ของพวกนั้นยังมากมายมหาศาลกว่าของที่ซั่งกวนฮ่าวแบ่งให้เขาอยู่มาก อย่าพูดเลยว่าทรัพย์สินที่อวี่ฮ่าวได้ไปนั้นไม่ได้แตกต่างจากของตัวเองไปมากเท่าใด แม้จะมากกว่าตัวเองอยู่บ้าง เขาก็ย่อมเลือกเรือนที่ใหญ่กว่าอยู่แล้ว เพื่อที่จะสามารถรับทั่วป๋าซู่เยวี่ยไปอยู่ด้วยได้
“อีกอย่าง สวนดอกไม้ของที่นั่นค่อนข้างใหญ่ สามารถปลูกต้นสาลี่ได้มากมาย ข้าจำได้ว่าตั้งแต่เล็กฉินซินก็ชอบต้นสาลี่ ข้าได้ย้ายต้นสาลี่เจ็ดแปดต้นเข้าไปแล้ว ล้วนเป็นสาลี่หิมะ ทั้งเป็นต้นสาลี่ที่มีอายุสิบกว่าปีทั้งหมด รอจนพวกเราแต่งงานย้ายเข้าไปแล้วก็จะเป็นฤดูที่ดอกสาลี่บานสะพรั่งพอดี ฉินซินได้เห็นดอกสาลี่เต็มต้นก็คงจะดีใจเป็นอย่างมาก ทั้งสามารถคลายโทสะและความอยุติธรรมในใจได้ด้วย” อวี่ไข่กล่าวอย่างจริงใจเป็นอย่างยิ่ง เขานั้นรู้เรื่องที่ทั่วป๋าฉินซินอยากได้ต้นสาลี่ตั้งนานแล้ว ไม่ต้องรอให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยบอกก็ลงมือปลูกต้นไม้ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยย่อมต้องตื้นตันใจเป็นแน่
“เป็นเด็กที่ดีจริงๆ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั้นตื้นตันใจจริงๆ คาดไม่ถึงว่าอวี่ไข่เด็กคนนี้จะใส่ใจถึงเพียงนี้ นางรู้ว่าอวี่ไข่นั้นไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ให้ฉินซินเท่าไร สามารถทำได้ถึงจุดนี้ ก็เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ตัวเองทั้งนั้น
“ท่านย่าโปรดวางใจ ไม่ว่าข้าจะชอบฉินซินหรือไม่ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือนางเป็นหลานสาวที่ท่านรักที่สุด ข้าย่อมต้องดูแลนางเป็นอย่างดี ย่อมทำให้นางรู้สึกว่า แม้การแต่งกับข้ามันจะไม่สมดั่งใจหวัง แต่ก็ไม่อาจเลวร้ายเหมือนอย่างที่คิดถึงเพียงนั้นแน่!” อวี่ไข่กล่าวอย่างโอนอ่อน ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพยักหน้าอย่างพอใจ
“ที่จริงรอให้อากาศอบอุ่นขึ้นหน่อย ท่านก็สามารถเข้าไปดูด้วยตัวเองได้แล้ว!” อวี่ไข่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่นั่นยังมีสระน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง ใหญ่ประมาณเกือบสามหมู่ หากจะพายเรือล่องเรือก็เล็กไปอยู่บ้าง ดังนั้นหลานจึงให้คนไปปลูกดอกบัวสาย รอยามต้นฤดูใบไม้ผลิก็จะให้คนปล่อยเป็ดแมนดารินเข้าไป ข้ารู้ว่าท่านชอบดอกบัวสีทองที่สุด ได้ให้คนหาดอกบัวสีทองเข้าไปปลูกแล้ว ริมสระก็ปลูกดอกซีฝู่ไห่ถางที่ท่านชอบเต็มไปหมด ท่านลองดูว่ายังมีตรงไหนที่ไม่พอใจอีกหรือไม่ ทั้งหมดล้วนจะปรับ เปลี่ยนตามความประสงค์ของท่าน ท่านว่าแบบนี้ดีหรือไม่?”
“ดอกเบญจมาศล่ะ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถามอย่างสนใจ ที่แห่งนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งชอบขึ้นมา
“จะขาดดอกเบญจมาศไปได้หรือ?” อวี่ไข่ยิ้มอย่างเริงร่า “รูปปั้นสิงโต ต้นมังกรคาบแก้ว เครื่องเคลือบทอง ธงประดับสีม่วง ดอกเบญจมาศสีขาว สะพานตกแต่งเล็กๆ ของที่ท่านชอบล้วนมีทั้งนั้น ท่านอย่าได้กังวลเลย!”
“ยังมีอีกเจ้าค่ะ…” แม่นมหนิงหัวเราะขัดจังหวะ “ดอกสุ่ยซานที่ท่านชอบก็มี เพิ่งจะอุ้มมาหนึ่งกระถาง กล่าวว่าตั้งใจเอามาให้ท่านชมเพื่อความสำราญใจ ให้สาวใช้จัดวางไว้ในห้องท่านแล้วเจ้าค่ะ!”
“แม่นมหนิงก็จริงๆ เลย!” อวี่ไข่บ่นอย่างไม่พอใจ “พูดกันดีแล้วว่าจะทำให้ท่านย่าประหลาดใจ ไฉนจึงหลุดปากออกมาได้!”
“ท่านดูข้าสิ แก่จนเลอะเลือนหมดแล้ว!” แม่นมหนิงโขกหน้าผากตัวเอง ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็หัวเราะตามเช่นกัน ชั่วพริบตาอารมณ์ก็ดีขึ้นมาทันที
“ยังคงเป็นอวี่ไข่ที่ทำให้ฮูหยินใหญ่มีความสุขขึ้นมาได้!” อนุภรรยาหนิงคลี่ยิ้มบาง “หากไม่มีอวี่ไข่คอยพูดเล่นหัวเราะอยู่ข้างกายท่าน ท่านคงต้องเหงาแน่ๆ เจ้าค่ะ!”
“ใช่แล้ว…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถอนหายใจ สิ่งที่คนแก่กลัวที่สุดก็คือความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว แต่ข้างกายนางนอกจากพวกสาวใช้แม่นมแล้ว ก็ไม่มีใครที่ไหนจะมาคอยพูดเล่นอย่างจริงๆ จังๆ หากอวี่ไข่ออกจากจวนไปแล้ว ตัวเองก็คงจะเหงากว่านี้เป็นแน่!
“เรือนที่ใหญ่ที่สุดได้ตกแต่งเกือบเสร็จแล้ว ทั้งยึดจัดตามความคุ้นชินของท่าน ข้ารับรองว่าหากท่านไปถึงที่นั่นก็ย่อมรู้สึกเหมือนกลับไปยังเรือนของตัวเอง เพียงแต่จะไม่ได้หรูหราตระการตาเท่าห้องของท่านถึงขนาดนั้น ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าไร ถึงเวลานั้นหากท่านคิดถึงหลาน ก็สามารถเข้าไปอยู่ได้” อวี่ไข่กล่าวไปอีกขั้น
“นี่มันคำพูดอะไรกัน?” ในใจทั่วป๋าซู่เยวี่ยเพิ่งรู้สึกเบิกบานขึ้นมา ทว่าก็กลับมาใบหน้าเรียบตึง “หรือพอเจ้าแต่งกับฉินซินไปแล้วก็จะไม่กลับมาเยี่ยมเยียนหญิงแก่คนนี้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
“หลานย่อมหวังว่าจะสามารถมาเยี่ยมเยียนดูแลท่านย่าได้บ่อยๆ อยู่แล้ว แต่ว่า…” อวี่ไข่เผยยิ้มขมขื่น “ท่านพ่อแบ่งบ้านและทรัพย์สินให้หลานขนาดนี้แล้ว คาดว่าหลังจากหลานและฉินซินแต่งงานกันแล้วก็คงต้องแยกออกไปอยู่ตามลำพัง พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือหลานโตแล้ว ควรจะตัดสินอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว หากพูดไม่น่าฟังก็หมายความว่าไสหัวออกไป จะได้ไม่รกหูรกตา สร้างความหงุดหงิดให้คนอื่น แม้จะกล่าวว่าสามารถกลับมาพักที่บ้านได้ชั่วคราว แต่เวลานั้นกับเวลานี้ก็คงไม่เหมือน กันแล้ว จำต้องดูสีหน้าคนด้วย”
“ข้ากลับอยากเห็นว่าใครหน้าไหนจะกล้าไล่พวกเจ้าออกจากจวน!” ทั่วป๋าฉินซินก็พูดเช่นนี้ แต่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็คาดไม่ถึงว่าอวี่ไข่จะพูดแบบนี้เช่นกัน มีโทสะขึ้นมาทันที รู้สึกว่าพวกเขาคิดว่าตนเองไม่สามารถจะปกป้องพวกเขาได้
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไล่หรือไม่ไล่ แต่ว่า…ความหมายของท่านพ่อก็ชัดเจนมากแล้ว ข้าจะยังรั้งตัวไม่ไปอีกได้อย่างไร? หลานไม่อยากรั้งตัวอยู่ให้คนอื่นเหม็นขี้หน้า พึ่งจมูกคนอื่นหายใจ!” อวี่ไข่กล่าวทั้งยิ้มขมขื่น เป็นเรื่องน่าขันจริงๆ เหตุใดเขาต้องรั้งตัวอยู่ด้วยเล่า? อยู่ในจวนใช้ชีวิตสุขสบายก็จริง แต่ก็มีกฎระเบียบมากมาย ตัวเองพบใครก็มีความรู้สึกว่าต่ำกว่าคนอื่นไปหนึ่งขั้น ไฉนไม่ออกไปอยู่ข้างนอกให้รู้แล้วรู้รอด ที่นั่นตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด คิดอยากจะทำอะไรก็แทบไม่ต้องกังวล
“ข้าเข้าใจแล้ว!” จู่ๆ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็นึกถึงซั่งกวนฮ่าวที่ให้ตัวเองไล่พวกน้องชายอนุภรรยาออกไป ในยามนั้นในใจของนางเป็นสุขอย่างมาก ความคับแค้นใจที่ผ่านมาหลายปีคล้ายกับจะได้รับการระบายในชั่วข้ามคืน หวงฝู่เยวี่ยเอ๋อร์ก็คงรู้สึกแบบนี้เช่นกันกระมัง!
“อีกอย่าง หากฮูหยินไม่ได้ส่งคนมาถ่ายทอดคำสั่ง จะให้วิ่งโร่กลับมาบ่อยก็คงจะดูไม่งาม มีเพียงต้องรบกวนท่านให้เข้าไปหาทางนั้น เพื่อให้ข้าได้กตัญญูต่อท่าน!” อวี่ไข่กล่าวคล้ายมาจากก้นบึ้งจิตใจ แต่ไหนแต่ไรชีวิตของทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั้นอยู่อย่างอู้ฟู่สุขสบาย หากนางเห็นการประดับและสภาพบ้านที่นับว่ายังพอใช้ได้ของเขาก็ย่อมรู้สึกว่ามันซอมซ่อแน่ เวลานั้นตัวเองพูดดีๆ อีกสักคำสองคำ ก็คงจะสามารถฉวยผลประโยชน์มาจากมือของนางได้แล้ว!
“ข้ารู้สึกว่าความคิดของอวี่ไข่นั้นดีมาก!” อนุภรรยาหนิงถอนหายใจ “ฮูหยินใหญ่ รอหลังจากอวี่ไข่แยกออกไปแล้ว เรือนหลังก็คงไร้ชีวิตชีวา ถึงเวลานั้นมองคนอื่นพูดคุยหัวเราะกลมเกลียวกันอยู่ตรงนั้น แต่พวกเรากลับอยู่กันอย่างเงียบเหงาที่นี่ อย่างไรก็รู้สึกไม่สบอารมณ์! หากมีตรงไหนทำให้คนไม่ถูกใจ ไม่รื่นหูรื่นตา ยังอาจจะดึงผู้อาวุโสออกมาควบคุมท่านอีก ยังมิสู้ตามอวี่ไข่ไปอยู่อย่างง่ายๆ สบายๆ หากเขาและคุณหนูฉินซินมีความทะเยอทะยาน หัวปีหรือท้ายปีก็คงจะมีเหลนให้ท่านอุ้มเมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงจะไม่ต้องอิจฉาคนอื่นแล้ว”
“ข้าว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ!” แม่นมอี้ยากที่จะไม่ขัดคอพวกเขา กล่าวยิ้มๆ “คุณหนูฉินซินเป็นคนที่ท่านโปรดปรานที่สุด หากนางสามารถมีเด็กผิวขาวตัวอ้วนกลมให้ท่านได้ ท่านย่อมต้องอุ้มจนวางมือไม่ลงเป็นแน่ ข้าว่าหลายวันมานี้ก็ไม่ได้ยุ่งอะไร ขอเพียงแค่ท้องฟ้าปลอดโปร่งหน่อย ก็สามารถไปดูได้แล้ว มีตรงไหนที่รู้สึกไม่เหมาะสมก็เปลี่ยนแปลงเสียเดี๋ยวนั้น อย่าได้พอไปถึงเวลานั้นจริงๆ รู้สึกว่าไม่ดีก็เปลี่ยนไม่ทันแล้ว!”
“ประโยคนี้แหละที่ข้าต้องการจะพูด” อวี่ไข่กล่าวยิ้มๆ “แม้ว่าหลานจะยึดจัดการตามความชอบของท่าน แต่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้ดีเท่าท่านตัดสินใจเอง ถึงเวลานั้นหากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ข้าก็คงอดเสียดายเงินไม่ได้!”
“ฮ่าวเอ๋อร์ให้เงินเจ้าไม่พออย่างนั้นหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยขมวดคิ้ว แทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคงจะให้เงินไม่เท่าไร
“พอไม่พอก็ล้วนต้องประหยัดไว้” อวี่ไข่ไม่ได้ตอบไปอย่างตรงๆ แต่กล่าวทั้งหัวเราะแทน “อีกไม่นานข้าก็ต้องเป็นหัว หน้าครอบครัว ใช้ชีวิตตามลำพังแล้ว อันดับแรกต้องเรียนรู้ที่จะประหยัดอดออม ท่านว่าหลักการนี้ถูกหรือไม่เล่า?”
“รู้จักประหยัดนั้นย่อมเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียวได้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกลอกตาใส่เขาไปที “แม่นมหนิง เจ้าเอาเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้อวี่ไข่ หากมีอะไรที่ชอบก็ซื้อเสีย!”
“ไม่ได้!” อวี่ไข่ไหนเลยจะยอมเพราะเงินหนึ่งหมื่นตำลึง อีกทั้งยามนี้จะยื่นมือรับก็เร็วเกินไป กล่าวทั้งหัวเราะร่า “ท่านอย่าได้ทำให้ข้าเสียนิสัย ข้าจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่แล้ว ไม่อาจซื้อของแสดงความกตัญญูให้ท่านก็เกินไปแล้ว หากยังยื่นมือรับเงินจากท่านอีก นั่นจะยิ่งไม่อกกตัญญูหรือ!”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่คาดคิดว่านี่ก็เป็นเพียงกลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับ[1]ของอวี่ไข่ จึงรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ นางพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะยังไม่ให้เจ้าก่อน รอหลังจากที่เข้าไปดูแล้ว หากที่พักในอนาคตของข้าด้อยที่จุดใด ข้าก็จะเพิ่มเติมตรงนั้นเอง นี่ก็คงได้แล้วกระมัง!”
“เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเป็นสิ่งใด!” อวี่ไข่กล่าวทั้งหัวเราะ “อะไรที่สามารถให้หลานแต่งเติมเพื่อท่านได้ ก็ให้หลานทำเถิด ท่านอย่าได้แย่งข้าเลย หากหลานไม่มีวิธีจริงๆ อย่างเช่นว่าต้องการหาคนรู้ใจเหมือนแม่นมอี้สักคน แบบนั้นค่อยรบกวนให้ท่านช่วยตัดสินใจ ท่านว่าเป็นอย่างไร?”
“ได้…เอาตามที่เจ้าว่า!” จู่ๆ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็รู้สึกว่าการแต่งทั่วป๋าฉินซินให้กับอวี่ไข่ก็ดีเช่นกัน หากนางแต่งกับเจวี๋ยเอ๋อร์ ตนเองก็คงไม่วางใจ ย่อมต้องรั้งตัวอยู่กับนางที่ตระกูลซั่งกวนคอยจัดการเรื่องยุ่งยาก แต่พอแต่งให้อวี่ไข่ ตัวเองก็ทำเพียงรอให้ อวี่ไข่แสดงความกตัญญูเท่านั้นก็พอแล้ว
อนุภรรยาหนิงก็กระจ่างใจถึงจุดประสงค์ของอวี่ไข่ดี (ระหว่างทางก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้ามาก็ได้พูดคุยกันเล็กน้อยแล้ว) เวลานี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นข้าคงต้องพูดว่าอวี่ไข่นั้นคลอดมาเสียเปล่าจริงๆ จำได้แต่เพียงต้องตอบแทนบุญคุณให้ฮูหยินใหญ่ ในสายตาไหนเลยจะมีแม่อย่างข้า!”
“ไอหยา เจ้านี่ แม้แต่ฮูหยินใหญ่ก็ยังกล้าอิจฉา ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร” แม่นมหนิงเผยยิ้มให้หนิงซิน ก่อนจะเรียกเสียงหัวเราะขึ้นมา…
————————————————-
[1] กลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับ แสร้งทำเป็นโอนอ่อนเพื่อที่จะให้ศัตรูตายใจ จากนั้นก็จะสามารถจัดการหรือควบคุมได้ง่าย