เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 225 สองคู่แต่งงานใหม่
คืนส่งตัวเข้าหอยังคงนับว่าเป็นวันที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งในชีวิตคน ไม่ว่าจะเป็นใครสิ่งที่ยากจะลืมที่สุดก็ล้วนเป็นคืนส่งตัวเข้าห้องหอ ซั่งกวนอวี่ไข่เป็นเช่นนี้ ไม่เว้นแม้แต่ซั่งกวนอวี่ฮ่าวเช่นกัน สิ่งที่แตกต่างกันคือซั่งกวนฮ่าวนั้นได้รับความอบอุ่นนุ่มนวล แต่ที่ซั่งกวนอวี่ไข่ได้สัมผัสกลับเป็นความเย็นยะเยือกมืดมน
คล้ายกับว่าการดื่มสุราไม่เก่งได้เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของลูกหลานตระกูลซั่งกวนไปแล้ว ซั่งกวนอวี่ไข่และซั่งกวนฮ่าวต่างก็ถูกยกเข้ามาในห้องหอ มู่หรงชิงหวั่นได้เตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว…กรอกน้ำแกงสร่างเมาลงไป ก่อนจะเช็ดตัวอวี่ฮ่าวที่มีสภาพเหมือนกับหมูตายอย่างง่ายๆ โดยมีสาวใช้คอยช่วยอยู่ เมื่อย้ายเขาไปไว้บนเตียงแล้ว ตัวเองก็ขึ้นไปบนเตียงอย่างไม่สนใจอะไรเช่นกัน หลังจากรออวี่ฮ่าวสร่างเมาก็ล่วงไปกว่าค่อนคืน ทั้งสองคนก็กอดรัดเกี่ยวพันอย่างรักใคร่หวานซึ้งขึ้นมา จวบจนเวลาฟ้าสางจึงค่อยนอนกอดกันหลับไป
ด้านซั่งกวนอวี่ไข่นั้นน่าอนาถกว่ามาก ทั่วป๋าฉินซินขอบคุณสาวใช้ที่ยกเขาเข้ามาในห้องหออย่างอ่อนโยน หลังจากให้เงินรางวัลแล้ว ก็เช็ดตัวให้อวี่ฮ่าวที่ไม่ได้สติอย่างนุ่มนวลภายใต้การการจับตามองของสาวใช้ข้างกายของอวี่ไข่ รอหลังจากพวกสาวใช้ออกไปแล้ว นางก็เปิดหน้าต่างออกบานหนึ่ง ปีนขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะยกเท้าถีบอวี่ไข่อย่างแรงๆ ไปที เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นคล้ายมีของร่วงลงพื้น และทั่วป๋าฉินซินนั้นก็ครองเตียงอย่างมีความสุข นอนหลับคนเดียวจนถึงรุ่งสาง…อวี่ไข่ไม่ได้ดื่มน้ำแกงสร่างเมาหรืออะไรเลย ดังนั้นในยามที่ฟ้าสว่างจึงเพิ่งได้สติขึ้นมา ซึ่งเวลานี้ทั่วป๋าฉินซินก็ก่นว่าออกมาอย่างแง่งอน ‘ไฉนเจ้าจึงนอนไม่นิ่งถึงเพียงนี้ ในยามที่ข้าตื่นขึ้นมาเจ้าก็นอนอยู่ที่พื้นเตียงเสียแล้ว เรียกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น!’
ดังนั้น ยามที่เจ้าสาวต้องไปเข้าพบผู้อาวุโส อวี่ฮ่าวจึงมีท่าทีสดใส ชิงหวั่นนั้นเขินอายอย่างเห็นได้ชัด ทั่วป๋าฉินซินก็อารมณ์ดีไม่หยอก แต่อวี่ไข่ที่น่าสงสารกลับตัวสั่นเล็กน้อย ฝีเท้าก็ไม่มั่นคง ปวดเศียรเวียนเกล้า ทั้งยังมาพร้อมกับเสียงจามที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน…
“อวี่ไข่เป็นอะไรไป?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นผู้อาวุโสคนแรกที่มารออยู่ในห้องโถงหลัก นางไม่ค่อยวางใจคู่สามีภรรยาอวี่ไข่ จึงเอาแต่รอคอยพวกเขาให้มาถึงอยู่ตลอด กลับคาดไม่ถึงว่าจะเห็นอวี่ไข่ในสภาพที่ทุลักทุเลถึงเพียงนี้ นางอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ สภาพนี้ของเขาอีกเดี๋ยวจะไปพบแขกได้อย่างไร?
“ไม่เป็นอะไร!” อวี่ไข่สูดน้ำมูกเล็กน้อย กล่าวด้วยท่าทีซึมๆ “เมื่อคืนไม่ได้นอนดีๆ จึงเป็นไข้ หลานได้ให้สาวใช้ไปต้มยาแล้ว สักพักกินยาก็คงจะดีขึ้น”
“ฉินซิน เจ้าไม่ได้ดูแลอวี่ไข่ดีๆ หรอกหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยย้ายแววตาที่ไม่พอใจไปยังฉินซินทันที นางเป็นภรรยาของอวี่ไข่แล้ว การดูแลอวี่ไข่นับเป็นเรื่องตามหลักที่ควรทำ
ฉินซินคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที มองไปที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง กล่าวอย่างอึกอัก “เมื่อคืนฉินซินหลับลึก คาดไม่ถึงว่าอวี่ไข่จะพลิกตกเตียงกลางดึก จึงไม่ได้ดูแลอวี่ไข่ ขอฮูหยินใหญ่โปรดลงโทษด้วย!”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่คุ้นชินท่าทีเช่นนี้ของฉินซินเป็นอย่างมาก กระแอมให้คอโล่งเล็กน้อย “ข้าไม่ได้จะต่อว่าเจ้า เพียงแต่ลองถามดูเท่านั้น พวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต้องรักใคร่กลมเกลียว ดูแลซึ่งกันและกันจึงจะถูก”
“ข้าน้อมรับคำสั่งสอนของฮูหยินใหญ่!” ท่าทีว่านอนสอนง่ายของทั่วป๋าฉินซินทำให้อวี่ไข่อดวูบไหวในใจไม่ได้ หากทั่วป๋าฉินซินเปลี่ยนแปลงนิสัยเสียที่ชอบเอาแต่ใจอะไรนั่นได้จริง งานแต่งงานครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้นแล้ว
“ฮูหยินใหญ่ นายท่าน ฮูหยิน คุณชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ เชิญฮูหยินใหญ่ประจำที่ได้เลยเจ้าค่ะ!”
ในยามที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังอยากจะกล่าวสั่งสอนสักสองสามประโยค แม่นมสีก็เดินเข้ามา ตัดบทคำพูดที่นางกำลังจะกล่าวออก
มาอย่างนอบน้อมเสียก่อน
“อื้ม…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังคงจำต้องยั้งคำพูดไว้ ก่อนจะไปยังห้องโถงหลักโดยมีแม่นมหนิงประคองอย่างระมัดระวัง พวกซั่งกวนฮ่าวต้อนรับอย่างนอบน้อมทันที นางเผยท่าทีเย่อหยิ่งเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ นั่งลง รอจนนางนั่งอย่างมั่นคงแล้ว คู่แต่งงานใหม่ทั้งสองคู่ก็ถูกแม่นมพาเข้ามา
“หลานสะใภ้ ทั่วป๋าฉินซินน้อมคารวะฮูหยินใหญ่!” ฉินซินเดินมาโขกศีรษะคารวะให้กับทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นคนแรก อวี่ไข่ก็โขกหัวคารวะอยู่ข้างๆ พร้อมกับนางเช่นกัน
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรับน้ำชาที่ฉินซินยกขึ้นมาอย่างพึงพอใจ ดื่มไปหนึ่งคำ ก็กล่าวทั้งรอยยิ้ม “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว ภายหลังทั้งสองคนต้องเคารพซึ่งกันและกัน รักใคร่ปรองดอง ใช้ชีวิตด้วยความสุขพร้อมพูนจึงจะถูก!”
“น้อมรับคำสั่งสอนของฮูหยินใหญ่!” ฉินซินโขกหัวด้วยความนอบน้อม ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็บอกเป็นนัยให้แม่นมอี้มอบหยกคู่สีขาวพิสุทธิ์ที่เตรียมไว้นานแล้วแก่ทั้งสองคน ก่อนจะให้ทั้งสองคนหยัดกายขึ้น ยกน้ำชาคำนับแก่สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าว ต่อไป
สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวเตรียมของขวัญชิ้นเดียวกัน ของที่มอบให้ฉินซินเป็นกำไลข้อมือสีเขียวสดใสหนึ่งวง ส่วนอวี่ไข่เป็นพัดที่มีพู่ห้อย ด้านสองสามีภรรยาซั่งกวนเจวี๋ยก็มอบแจกันดอกไม้ลายครามคู่หนึ่งให้สองสามีภรรยาคู่นี้ หลังจากคำนับให้สองสามีภรรยาซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว พวกเขาก็รออยู่ด้านข้างเงียบๆ ให้อวี่ฮ่าวและชิงหวั่นคำนับเป็นลำดับต่อไป
แม้ว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะไม่ชอบอวี่ฮ่าว แต่ก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ทั้งสองคน จิบชาอย่างเรียบนิ่งก็ให้พวกเขาหยัดกายขึ้น ทั้งมอบหยกคู่สีขาวพิสุทธิ์ให้เช่นกัน แต่ดูจากคุณภาพและการแกะสลักก็ต้องกล่าวว่าด้อยกว่าของที่ส่งให้สองสามีภรรยาอวี่ไข่เล็กน้อย อวี่ฮ่าวและชิงหวั่นล้วนเผยใบหน้าขอบคุณอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปทางด้านซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ย ส่วนของขวัญที่ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยมอบให้กลับเป็นของที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดได้จ้องจับผิด ทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่เห็นก็ได้แต่เผยหน้าแดงก่ำ ไม่พูดอันใดออกมา
การเปลี่ยนแปลงของทั่วป๋าฉินซินนั้นเห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก ของที่นางมอบให้ซั่งกวนอิงเป็นจานฝนหมึกที่คุณภาพดีเยี่ยมอันหนึ่ง ทั้งเผยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนให้กับพิงถิง ส่งเครื่องประดับที่ฝังปะการังสีแดงให้พิงถิงชุดหนึ่งอย่างใจกว้าง อนุ ภรรยาทั้งสองสามคนก็มีของขวัญมอบให้เช่นกัน เพียงแต่ของที่ให้อนุภรรยาหนิงนั้นมีค่ามากกว่าเล็กน้อย ทำให้อนุภรรยาหนิงมีความประทับใจที่ดีต่อนางขึ้นมาทันที
ชิงหวั่นก็แสดงท่าทีอย่างสนิทสนมเช่นกัน นางส่งกระบี่เล่มหนึ่งให้ซั่งกวนอิง ส่วนของพิงถิงเป็นเครื่องประดับไข่มุกชุดหนึ่ง ไข่มุกกลมเกลี้ยงนั้น เปล่งประกายแสงระยิบระยับต้องตาอย่างนุ่มนวล ด้านอนุภรรยาทั้งสามก็มอบกำไลหยกให้ทุกคน ไม่มีแบ่งแยกอะไรเป็นพิเศษแม้แต่น้อย แต่อนุภรรยาหวังกลับยิ้มจนแทบไม่เห็นดวงตา…แบบนี้ถูกแล้ว แม้ว่าจะปฏิบัติอย่างแบ่ง แยกก็ไม่ควรทำต่อหน้าคนอื่น
“ภายหลังทุกคนก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน อย่าได้เกิดทะเลาะเบาะแว้งอันใด ไม่ว่าจะเป็นระหว่างพี่น้องหรือพี่สะใภ้ น้องสะใภ้ ล้วนต้องให้อภัยกันและกัน เคารพผู้อาวุโส รักและดูแลผู้ที่อ่อนกว่า เข้าใจแล้วใช่หรือไม่?” ซั่งกวนฮ่าวยังคงสั่งสอนตามธรรมเนียม เพียงแต่ยามที่เขาพูดคำเหล่านี้ก็มองที่อวี่ไข่และฉินซินมากที่สุด ทำให้คนทั้งหมดล้วนรู้ว่าเขานั้นไม่วางใจทั้งสองคนนี้มากที่สุด
“เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ!” รวมถึงซั่งกวนเจวี๋ยที่ลอบมองท่าทีท่ามกลางเสียงคนตอบรับอย่างนอบน้อมอย่างไม่พูดอันใดเช่นกัน
“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป อวี่ไข่ก็อยู่ในลำดับที่สอง ภายหลังทั้งจวนต้องเรียกว่าคุณชายรอง ส่วนฉินซินก็เป็นสะใภ้รองของตระกูลซั่งกวน อวี่ไข่และชิงหวั่นก็ยึดตามนี้เช่นกัน แบ่งเป็นคุณชายสามและสะใภ้สาม ลำดับนี้ได้รับความเห็นชอบจากผู้อาวุโสและท่านบรรพชน พวกเจ้าก็อย่าได้เกรงใจอันใดเลย” หลังจากซั่งกวนฮ่าวชั่งน้ำหนักครุ่นคิด ก็ยังคงมอบลำดับให้พวกเขาไป…อย่างไรพวกเขาก็ต้องแยกจวนออกไปอยู่ตามลำพังอยู่แล้ว คงไม่ทำให้ใครเกิดความคิดไม่ดีอันใดขึ้นมาได้หรอก
“ทราบแล้ว ท่านพ่อ!” อวี่ฮ่าวกลับไม่รู้สึกอย่างไร แต่อวี่ไข่ซาบซึ้งอยู่บ้าง เขาคิดว่านี่เป็นเพราะเขาสามารถแต่งงานกับทั่วป๋าฉินซินได้ ดังนั้นจึงทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลซั่งกวนมองเขาในแง่ใหม่ขึ้นมา แทบไม่ได้คิดว่าอาจจะเป็นเพราะต้องการทำให้อวี่ฮ่าวมีสถานะตามสังคมที่ควรมี จึงถือโอกาสพ่วงเขาเข้ามาด้วย
“ช่วงนี้ตามความเคยชินลูกหลานของตระกูลต่างๆ ล้วนจะพำนักในลี่โจวสิบวันหรือครึ่งเดือน ซั่งกวนอวี่ฮ่าวพวกเจ้าต้องอยู่กับภรรยาตนเอง ต้อนรับทักทายพวกแขกเหรื่ออย่างดีๆ เจวี๋ยเอ๋อร์ หากมีเวลาว่างก็ไปช่วยน้องชายและน้องสะใภ้ต้อน รับแขกด้วยกัน อย่าได้ปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดฝันหรือเรื่องไม่ดีอันใด” ในยามที่ซั่งกวนฮ่าวพูดประโยคนี้ก็ยังคงมองที่อวี่ไข่และฉินซิน อย่างไรเขาก็ยังคงกังวลกับสองคนนี้อยู่ดี
“เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ!” อวี่ไข่เข้าใจผิดว่าแววตาของซั่งกวนฮ่าวนั้นแฝงความนัย รู้สึกว่าซั่งกวนฮ่าวกำลังบอกใบ้ตนอยู่ นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้แสดงฝีมือดีๆ ก็กล่าวทั้งเสียงสูงขึ้นมาถึงสองระดับ ในใจนั้นตื่นเต้นอย่างแทบไม่ต้องพูดถึง
“วันนี้เป็นวันแรก เมื่อถึงวันที่เจ็ด พวกเจ้าก็ต้องแยกจวนออกไปพำนักตามลำพัง ถึงเวลานั้นจะเชิญใครไปเรือนใหม่ของพวกเจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมให้ดี อย่าได้ให้คนมากจนเบียดเสียดเกินไป ทั้งยิ่งไม่อาจให้คนน้อยจนบางตาเกินไปได้ เข้าใจหรือยัง?” ซั่งกวนฮ่าวกำลังเตือนพวกเขาว่า กล่าวว่าจะแยกจวนก็ต้องแยกจวน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น
“เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ!” อวี่ไข่และอวี่ฮ่าวขานรับอย่างให้ความเคารพ ในใจล้วนปรากฏความคิดวาบผ่านขึ้นมาแตกต่างกันไป
“ร่างกายของมี่เอ๋อร์เดินเหินไม่ค่อยสะดวก ก็อย่าได้เดินไปไหนมาไหนมากเลย!” ซั่งกวนฮ่าวยังคงเป็นห่วงลูกสะใภ้ที่กำลังตั้งท้องเป็นอย่างมาก ใบหน้าก็เพิ่มรอยยิ้มขึ้นมาอีกหลายส่วน “หากเป็นสถานการณ์ที่ยากจะปฏิเสธแขก ก็เชิญคนมาต้อนรับที่เรือนมีคู่แล้วกัน แต่ว่าต้องระวังแล้วระวังอีก อย่าได้หยิบจับอันใด ทั้งไม่อาจเหนื่อยเกินไปได้ ครั้งนี้แม่ของเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องรับแขกอันใด นางย่อมจะเข้าไปดูเจ้าทุกวัน!”
“ขอบคุณท่านพ่อที่ตักเตือน ลูกเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มทั้งพยักหน้า รู้ว่าในยามนี้ตัวเองเป็นคนที่อีกฝ่ายเป็นห่วงและให้ความสำคัญ ทั้งยังรู้ว่าตัวเองไม่สะดวกที่จะไปมาหาสู่กับคนพวกนั้นมากเกินไป อาจจะเหนื่อยเมื่อยล้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าทั่วป๋าฉินอวิ้น น้องสาวลูกอนุของทั่วป๋าฉินซินคนนั้นจะมาเยี่ยมเยือนถึงหน้าประตูหรือไม่? ปากเอาแต่พูดพร่ำว่าเห็นอกเห็นใจที่ซั่งกวนเจวี๋ยต้องอยู่เงียบเหงาไร้คนเคียงข้าง คงคิดอยากจะอาสาส่งตัวเองเข้ามาเป็นอนุให้กับซั่งกวนเจวี๋ยถึงหน้าประตูมาก กว่า คิดมาถึงจุดนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อดมองซั่งกวนเจวี๋ยไปหนึ่งทีไม่ได้ บังเอิญที่ซั่งกวนเจวี๋ยก็มองนางอย่างใจตรงกันเช่นกัน ทั้งสองล้วนมองออกถึงความคิดในใจของอีกฝ่าย พากันอดยิ้มออกมาไม่ได้
“เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนกันเถิด!” ซั่งกวนฮ่าวผงกศีรษะ “แม้ต้องกินอาหารเที่ยงเป็นเพื่อนแขก แต่ว่าพวกเจ้าก็ต้องดื่มสุราให้น้อยลงด้วย โดยเฉพาะเจวี๋ยเอ๋อร์ ถ้าดื่มสุราก็ไม่อนุญาตให้กลับเรือนมีคู่ หากให้มี่เอ๋อร์ได้กลิ่นสุรารู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
“ท่านพ่อวางใจเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยสีหน้าแดงก่ำ รู้ว่าเรื่องที่เมื่อวานตนเองดื่มสุราก่อนจะกลับเรือนมีคู่คงรู้ไปถึงหูของซั่งกวนฮ่าวแล้ว แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้มีตรงไหนไม่สบาย ทั้งไม่ได้กล่าว่าตัวเขาเหม็นกลิ่นสุรา เหตุใดท่านพ่อกลับเอามาบ่นพร่ำที่นี่เล่า?
“มี่เอ๋อร์ เจ้าก็อย่าได้ตามใจเขาจนเกินไป” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยากที่จะปั้นหน้าแข็งทื่อพูดคุยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “เจ้าจะชอบหรือไม่ชอบกลิ่นสุราที่ตัวเขาล้วนเป็นเรื่องเล็ก แต่ไม่อาจให้ลูกได้รับผลกระทบได้ แต่ไหนแต่ไรผู้ชายของตระกูลซั่งกวนก็แทบที่จะไม่มีคนช่ำชองในเรื่องสุรา เด็กคนนี้ก็คงไม่ชอบกลิ่นสุราเช่นกัน เข้าใจแล้วหรือไม่?”
“ลูกเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง รับปากอย่างเชื่อฟัง นางนั้นคุ้นชินกับการดื่มสุรา แม้ว่ากลิ่นคนที่ดื่มสุราจนเมาจะเหม็นจริงๆ แต่ก็ยังคงรับได้ ส่วนเด็กที่ซุกซนคนนี้ หากไม่ได้ยินเสียงของซั่งกวนก็จะดิ้นประท้วงทั้งคืน เทียบกันแล้วกลิ่นสุราเหม็นฉุนนั้นก็แทบไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อันใด
“เช่นนั้นต่างคนก็กลับห้องตัวเองเถิด” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพยักหน้าอย่างพอใจ ตัดสินใจแล้วเช่นกัน ช่วงนี้ต้องส่งคนไปเฝ้าที่เรือนมีคู่ หากเจวี๋ยเอ๋อร์ดื่มสุรา ก็ให้ไล่เขาไปนอนที่เรือนไร้เดี่ยว ไม่อาจจะให้หลานตัวน้อยและลูกสะใภ้ของตนเองได้รับความเดือดร้อนเพราะเขาได้