เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 226 อับอายขายหน้า
“สะใภ้ใหญ่ สะใภ้ใหญ่ตระกูลทั่วป๋าและคุณหนูตระกูลทั่วป๋าอีกไม่กี่คนมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ!” ในยามที่ช่าจื่อกล่าวประโยคนี้ก็เผยสีหน้าดูแคลนขึ้นมา พวกนางยังคิดไปว่าคุณหนูของตระกูลทั่วป๋าจะยอดเยี่ยมสูงส่งอะไรเสียอีก เอาแต่คิดอยากจะแต่งเข้ามาในตระกูลซั่งกวนคนแล้วคนเล่า ก่อนหน้านี้เป็นทั่วป๋าฉินซิน แต่อย่างไรก็ยังดีที่นางเป็นคุณหนูลูกภรรยาเอก ยามนี้กลับน่าขัน แม้แต่ลูกอนุภรรยาก็ยังหน้าหนาเอากับเขาด้วย
“เชิญไปที่โถงบุปผาเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย บางทีคุณหนูทั่วป๋าฉินอวิ้นที่คิดไปเองว่าอาจจะพอเข้าตาเจวี๋ย คงอยากจะเข้ามาหยั่งเชิงสถานการณ์ของตัวเองสักหน่อยกระมัง!
“เจ้าค่ะ!” ช่าจื่อพยักหน้า เรือนมีคู่ในยามนี้มีเพียงโถงบุปผาเท่านั้นที่สามารถรับแขกได้…ห้องโถงหลักได้ปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว ส่วนห้องนอนเดิมก็ปล่อยให้ว่างไว้ชั่วคราว รอจนนางคลอดแล้วก็จะกลับขึ้นไปอยู่ชั้นสองอีกครั้ง
“จื่อหลัว เจ้าพยุงข้าไปหน่อยเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จัดแต่งผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงหน้ากระจกเล็กน้อย ไม่มีใจคิดจะแต่งหน้าสักนิด…หญิงสาวนั้นตั้งใจแต่งหน้าก็เพื่อคนที่รัก แขกน่ารังเกียจที่ไม่ได้รับเชิญมาถึงหน้าประตู นางไม่มีความจำเป็นต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศไปพบพวกนางสักนิด ตอนนี้สภาพแบบนี้ก็พอใช้ได้แล้ว
“สะใภ้ใหญ่ไม่แต้มแป้งหน่อยหรือเจ้าคะ?” จื่อหลัวกล่าวเป็นนัย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงไม่อยากใช้เครื่องแป้งปกปิดกระด่างดำบนใบหน้า มักจะมีคนกล่าวว่า หายากที่ชีวิตมนุษย์จะมีเรื่องเช่นนี้ อย่างไรแค่ใช้ใบหน้าที่ไร้ซึ่งเครื่องประทินโฉมไปพบเจอคนก็พอแล้ว
“ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มราบเรียบ บางทีคนอื่นอาจจะคิดว่ากระบนใบหน้าของนางนั้นน่าเกลียด แต่เพียงนางรู้สึกว่าตัวเองดีกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจความคิดหรือท่าทีของคนอื่น
“เฮ้อ…” จื่อหลัวถอนหายใจ แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สวมเสื้อคลุมขนสัตว์เพิ่มให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อีกตัว แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศก็ยังคงเย็นอยู่บ้าง ไม่อาจจะปล่อยให้นางหนาวได้
เมื่อถึงโถงบุปผาก็เห็นหวังเหยียนหย่าและคุณหนูลูกอนุภรรยาของตระกูลทั่วป๋าไม่กี่คนกำลังยิ้มกันหน้าระรื่นพินิจเครื่องตกแต่งในโถงบุปผา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบมองสิ่งของที่สวยงามหรูหราพวกนั้น ในโถงบุปผาจึงไม่มีของจำพวกนั้นเลย เพียงแต่เมื่อตกอยู่ในสายตาของคนเหล่านี้จึงเหมือนกับว่าดูซอมซ่ออยู่บ้าง
“น้องสะใภ้เจวี๋ยมาแล้ว!” หวังเหยียนหย่าหยัดกายด้วยยิ้มเริงร่า “เดิมทีก็ไม่ควรเข้ามารบกวนน้องสะใภ้เจวี๋ยที่ตั้งครรภ์อยู่ แต่เมื่อมาคิดดูก็นับว่ายากที่จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดน้องสะใภ้เจวี๋ย จึงมาเสียดีกว่า อย่างไรขอน้องสะใภ้เจวี๋ยอย่าได้ถือโกรธข้าที่จู่ๆ ก็มาอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยเลย!”
“พี่สะใภ้ทั่วป๋าพูดอะไรกัน ข้าเดินเหินไม่สะดวก อยู่ตามลำพังคนเดียวก็รู้สึกเบื่อหน่าย แค่พวกเจ้าเข้ามาหาได้ข้าก็ยินดีอย่างยิ่งแล้ว!” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าแววตากลับเยือกเย็นเป็นอย่างมาก ไม่มีความอบอุ่นหรืออ่อนโยนสักเท่าใด นางรู้มาจากปากพิงถิง ‘สาวงามคนสนิท’ ไม่กี่คนที่ซั่งกวนเจวี๋ยรับเข้ามานั้นเดิมทีก็เป็นความคิดของนาง คิดอยากจะใช้หญิงสาวพวกนั้นมาทำลายตนเอง แม้ว่าจะไม่อาจทำให้ตัวเองหายไปเช่นนี้ได้ ก็จำต้องให้ตัวเองจ่ายค่าตอบแทนอะไรบางอย่างอยู่ดี และยามนี้ก็มีแผนชั่วร้ายขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าหญิงสาวคนนี้ว่างจนเกินไปหรือคุณหนูตระกูลทั่วป๋านั้นมีมากไป นางจึงต้องคิดหาวิธีแต่งพวกนางออกไปให้จงได้ ดังนั้นจึงได้หาเรื่องยุ่งเช่นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
หวังเหยียนหย่ารู้สึกอึดอัดในใจอยู่บ้าง พวกตัวเองกลายเป็นคนคลายความเบื่อหน่ายให้นางอย่างนั้นหรือ? แต่ก็ไม่ได้พูดอันใด ยิ้มอ่อนๆ “ตั้งครรภ์ก็เป็นเช่นนี้แหละ ทำได้เพียงขยับไปขยับมาอยู่ในห้องเท่านั้น แค่บางครั้งออกไปเดินเล่นก็ทำให้พวกสาวใช้ตื่นตระหนกตกใจกันแล้ว อย่างไรก็สร้างความลำบากให้น้องสะใภ้เจวี๋ยอยู่ดี!”
“จะพูดว่าสร้างความลำบากได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ทำให้คนที่คิดไม่ซื่อรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก นางยื่นมือลูบท้องที่นูนเบาๆ “นี่เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ทุกวันแค่รู้สึกถึงเจ้าตัวเล็กที่ดิ้นตัวถีบซ้ายถีบขวาในท้องก็มีความสุขแล้ว พี่สะใภ้ทั่วป๋าก็เป็นแม่คนเช่นกัน คงจะรู้สึกไม่ต่างกันกระมัง”
“ใช่แล้ว!” หวังเหยียนหย่าจำได้เพียงว่าในยามที่ตนเองท้อง พ่อสามี แม่สามี และสามีล้วนเอาแต่คิดเรื่องลูกในท้องจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ทั้งทั่วป๋าฉินหลิ่งยังถือโอกาสที่ตนตั้งท้อง ไม่สามารถปรนนิบัติให้เขาได้ รับเมียบ่าวทั้งสองคนในคราวเดียวกัน และแม่สามีของนางคนนั้น ไม่เพียงแต่ไม่พูดอันใด แต่ยังตั้งใจอบรมเลี้ยงดูสาวใช้สองคนมาเป็นเมียบ่าวร่วมห้องให้กับทั่วป๋าฉินหลิ่ง ช่วงเวลานั้นสำหรับตนเองนับว่าเป็นฝันร้ายที่ไม่อยากจะนึกถึง จะพูดว่ามีความสุขได้อย่างไร?
“ผู้คนต่างพูดว่าหญิงสาวที่ตั้งท้องนั้นมีความสุขที่สุดแล้ว ดูท่าพี่สะใภ้เจวี๋ยจะเข้าใจหลักการนี้อย่างถ่องแท้!” ทั่วป๋าฉินอวิ้นกล่าวด้วยยิ้มหวาน “ยามนี้พี่สะใภ้เจวี๋ยคงจะคิดว่าการเป็นแม่คนนั้นเป็นเรื่องที่มีความสุขกระมัง?”
“เป็นความรู้สึกเช่นนั้นแหละ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เลือดเนื้อที่พันผูกด้วยกัน ความรู้สึกที่หัวใจเต้นพร้อมกันเป็นความสุขที่ไม่มีสิ่งใดจะเทียบเคียงได้จริงๆ จำได้ว่าครั้งแรกที่เด็กน้อยถีบข้า ข้านั้นตื้นตันจนร้องไห้ออกมา พาให้คนที่อยู่รอบกายข้าตกใจเสียยกใหญ่ ยามนี้นึกขึ้นมา ในใจก็ยังเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันใจอยู่!”
“แต่ว่าคนก็มักจะกล่าวว่าภรรยาตั้งท้อง คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือสามี” ทั่วป๋าฉินอวิ้นยิ้มหวานยิ่งกว่าเดิม “ไม่อาจร่วมห้องกับภรรยาได้ ยิ่งไม่อาจแสดงความรักกับภรรยาเสียด้วยซ้ำ ทำได้แต่มองดูภรรยา เพราะในท้องมีเด็กจึงได้ละเลยตนเองไป ทุกลมหายใจล้วนแต่คิดว่าลูกเป็นอย่างไรบ้าง ด้านสามีก็จะเจ็บปวดชอกช้ำ ไม่รู้ว่าพี่เจวี๋ยเป็นอย่างนี้หรือไม่?”
“น้องหญิงเป็นคุณหนูที่ยังไม่ได้แต่งงานดูเหมือนว่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีเสียจริง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายว่าพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ กลับทำให้หวังเหยียนหย่าจู่ๆ ก็นึกถึง ‘เรื่องแหล่งกามารมณ์’ ของทั่วป๋าฉินซินขึ้นมา หากคำพูดเช่นนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ใครจะรู้ว่าคนเหล่านั้นจะคิดอย่างไร ในใจของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉินอวิ้น เด็กผู้นี้เข้าอกเข้าใจข้าที่สุด ไม่ว่ากี่ครั้งที่ข้าตั้งท้องก็ล้วนเป็นเด็กผู้นี้ที่อยู่ข้างกายข้า จึงทำให้รู้เรื่องพวกนี้มาบ้าง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดื่มน้ำไปหนึ่งคำ เผยยิ้มบาง “ดูท่ายังคงเป็นพี่สะใภ้ทั่วป๋าที่สอนคนเก่ง อบรมคุณหนูคนแล้วคนเล่าได้เป็นอย่างดี!”
หวังเหยียนหย่าวูบไหวในใจ รู้สึกว่าคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีนัยยะแฝง สองแง่สองง่าม ฉับพลันก็รู้สึกนั่งไม่ติดที่ขึ้นมาอยู่บ้าง
ทั่วป๋าฉินอวิ้นเห็นได้ชัดว่าฟังความนัยคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กล่าวหลายต่อหลายครั้งไม่ออก ตรงกันข้ามกลับรู้สึกภูมิใจในตัวเองอยู่บ้าง กล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ก็เปรียบเหมือนมารดา พี่สะใภ้ใหญ่ของเราเป็นคนที่เข้าใจความชอบของพวกน้องสาวมาโดยตลอด ทั้งยังเอาใจใส่ต่อพวกน้องสาวเป็นอย่างดี อะไรที่พอจะสั่งสอนพวกเราได้ล้วนไม่คิดจะปิดบัง!”
ช่างเป็นหญิงสาวที่มองอะไรไม่ออกเสียเลย! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกใจในความไม่รู้อะไรของทั่วป๋าฉินอวิ้นเล็กน้อย ไฉนจึงโง่งมยิ่งกว่าทั่วป๋าฉินซินเสียอีก? อย่างไรทั่วป๋าฉินซินก็ยังสามารถฟังออกว่าในคำพูดมีหลุมพรางอันใดหรือไม่ ควรจะรับบทสนทนาต่อดีหรือไม่ แต่คนผู้นี้กลับน่าขัน ไม่เพียงแต่ฟังคำเหน็บแนมและหลุมพรางที่ตนขุดไว้ไม่ออก ยังโง่เขลาดึงหวังเหยียนหย่าออกมาร่วมวงด้วย ดูท่าหวังเหยียนหย่าจะมีตาหามีแววไม่ จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อยากหัวเราะ…มีคุณหนูสมองกลวงยืนนิ่งให้ตัวเองเล่นเป็นเป้าเช่นนี้ แม้ว่านางจะมีวิธีที่ชี้ก้อนหินให้เปลี่ยนเป็นทองได้ ก็คงยากที่จะทำให้เป็นเรื่องสำเร็จอยู่ดี! ฉับพลัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา คุณหนูทั้งสามของตน แม้ว่าจะไม่ถนัดเรื่องสังเกตสีหน้าและคำพูด แต่ก็ล้วนเป็นคนหลักแหลม อย่างน้อยก็ไม่อาจเข้าไปร่วมประสมโรงกับเรื่องที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจได้
หวังเหยียนหย่ารู้สึกเสียใจที่พาพวกนางเข้ามาด้วยอยู่บ้าง ฉินอวิ้นที่วันปกติยังนับว่าฉลาด เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…เฮ้อ…หากคนที่ไม่รู้ก็ยังจะคิดว่านางและเยี่ยนมี่เอ๋อร์สมคบคิดกัน จงใจทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก!
“มี่เอ๋อร์มีแขกหรอกหรือ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมาโดยไม่ได้รับเชิญ ยามนี้ก็เป็นเวลาที่นางมักจะเข้ามาเป็นปกติ คุยเล่นเป็นเพื่อนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ สัมผัสหลานตัวน้อยที่ร่ายรำทั้งหมัดทั้งเท้าไปทั่ว ทำให้นางได้รับความสงบสุขและความผ่อนคลายยิ่งกว่าการวาดรูปเสียอีก
“เป็นพี่สะใภ้ทั่วป๋าที่พาคุณหนูไม่กี่คนมาเยี่ยมเยือนข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้หยัดกายขึ้นต้อนรับ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเคยพูดก่อนหน้านี้แล้วว่า ไม่มีความจำเป็นต้องพิถีพิถันกับธรรมเนียมพวกนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงทำตามคำแนะนำ
“เหยียนหย่าลำบากหน่อยนะ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองหวังเหยียนหย่าที่เผยสีหน้ายิ้มแย้มก็กล่าวอย่างเรียบง่ายไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เผยรอยยิ้ม ใช้มือแนบกับท้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทักทาย “เด็กน้อย ย่ามาแล้ว ทักทายย่าหน่อยสิ”
ผ่านไปสักพัก นางก็ชักมือกลับอย่างเบื่อหน่าย กล่าวอย่างโกรธเคือง “วันนี้เจ้าเด็กตัวน้อยอารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว ไม่สนใจข้าเลย”
“ท่านป้าพูดได้ตลกจริงเชียว หรือเด็กที่ยังไม่เกิดก็สามารถฟังคำพูดท่านเข้าใจอย่างนั้นหรือ?” ทั่วป๋าฉินอวิ้นหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่สำรวม จงใจกล่าวอย่างใสซื่อ “หากเป็นเช่นนั้น ยังไม่รู้ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจที่ไหนหรือเปล่า!”
“เจ้านับเป็นใครกัน กล้ากล่าวคำพูดเช่นนี้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใบหน้ามืดมนลงทันที มองนางอย่างเย็นเยียบ จากนั้นก็หันมากล่าวกับหวังเหยียนหย่า “เหยียนหย่า ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะว่าอะไรเจ้า ถึงแม้จะพาผู้ติดตามมาก็ควรจะพิถีพิถันหน่อย ผู้ที่ไม่มีหูตา ปากไม่มีหูรูดเช่นนี้อย่าได้พาออกมาให้ขายหน้าจะดีกว่า!”
ใบหน้าของหวังเหยียนหย่าร้อนฉ่า ถลึงตามองทั่วป๋าฉินอวิ้นที่เผยสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างดุดัน ก่อนจะหยัดกายขึ้นน้อมคำนับให้แก่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ กล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ “ฉินอวิ้นยังเด็กนัก ไม่ค่อยรู้ความ พูดคุยไม่รู้จักคิดไปบ้าง หลานกลับไปย่อมจะอบรมสั่งสอนนางอย่างดี อย่างไรขอท่านป้าให้อภัยด้วย!”
“พี่สะใภ้…” เดิมทีทั่วป๋าฉินอวิ้นก็คิดว่าตนเองไม่ได้พูดอันใดผิด กลับถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวสั่งสอนด้วยสีหน้าเยือกเย็นก็รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง มาได้ยินคำพูดของหวังเหยียนหย่าอีกครั้ง เวลานี้ก็อดน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้ ร้องเรียกออกมาอย่างน้อยใจ
“ต้องอบรมสั่งสอนดีๆ เสียหน่อย!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองทั่วป๋าฉินอวิ้น ผู้ที่ไม่อาจยกขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้อย่างเยียบเย็น กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ยามนี้ข้าดีใจเป็นอย่างมากที่คนที่เข้าตระกูลมาเป็นฉินซิน แม้ว่าบางครั้งจะนิสัยดื้อรั้นไปบ้าง แต่ท้าย ที่สุดก็ยังเป็นเด็กที่รู้จักความเหมาะสม หากเป็นประเภทที่ไม่รู้จักสูงต่ำเช่นนี้ แม้ว่าอวี่ไข่จะหาภรรยาที่เหมาะสมไม่ได้ทั้งชั่วชีวิต ก็ไม่อาจให้นางแต่งเข้าตระกูลมาได้หรอก!”
หวังเหยียนหย่าอัดอั้นตันใจเหลือทน กลับจำต้องฝืนยิ้มออกไป “หลานเข้าใจแล้ว หลังจากกลับไปย่อมจะสั่งสอนพวกนางดีๆ ไม่อาจปล่อยให้ทำผิดเช่นนี้ได้แล้ว!”
“เช่นนั้นก็ไปเถิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “พวกเจ้าไม่ควรเข้ามารบกวนมี่เอ๋อร์และหลานรักของข้า เด็กน้อยย่อมเกลียดคนที่ไม่รู้ความพวกนั้น ดังนั้นจึงได้เคืองโกรธ แม้แต่ข้าก็ไม่สนใจ ปกติยามที่ข้าทักทายเขา เขาก็จะถีบนั่นถีบนี่อย่างดีใจ ไหนเลยจะเป็นอย่างเช่นวันนี้ได้!”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดออกมาถึงขนาดนี้ หวังเหยียนหย่าไหนเลยจะหน้าหนาอยู่ต่อ รีบพาพวกคุณหนูทั่วป๋าไม่กี่คนออกไปด้วยใบหน้าขุ่นมัวทันที ในใจนั้นโกรธแค้นทั่วป๋าฉินอวิ้นที่ไม่ได้เรื่อง พูดไม่เป็น หนำซ้ำยังดูสถานการณ์ไม่เป็นเสียอีก
“เด็กน้อย คนที่น่าชิงชังพวกนั้นถูกย่าไล่ออกไปแล้ว ยามนี้ทักทายย่าเสียหน่อยดีหรือไม่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจสักนิด เบนความสนใจมาทักทายหลานตัวน้อยของนางแทน และครั้งนี้ เจ้าเด็กตัวน้อยก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง ถีบตอบมือนางที่แนบตรงท้องอย่างแผ่วเบา ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหัวเราะอย่างดีใจขึ้นมา…