เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 23 ปฏิกิริยาของทุกฝ่าย (1)
“จิงอิ๋งพูดเช่นนี้หรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่เชื่อคำพูดของแม่นมอี้เลยสักนิดเดียว นางมั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าจิงอิ๋งพูดแบบนั้นออกมาได้ พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาจากทิศตะวันตกได้เช่นกัน
“เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่!” แม่นมอี้กรีดร้องอยู่ในใจ แต่สีหน้าแสดงความเคารพพลางพูดว่า “คุณหนูรองอยากมาพบท่านจริงๆ และเชื่อฟังคำสอนของท่าน แต่นางเดินทางตะลอนๆ เมื่อยล้าไปทั้งตัว ดูจะเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ คุณชายใหญ่ก็คอยดูอยู่ข้างๆ ฮูหยินใหญ่ ไม่ใช่บ่าวปากมาก คุณหนูรองดูเหมือนจะรู้งานรู้การมากขึ้นจริงๆ และไม่ได้มีความหยาบกระด้างเช่นนั้น”
แต่เดิมแม่นมอี้ไม่ได้มีใจรักจิงอิ๋งมากนัก…คุณหนูที่อยู่ดีๆ จะเป็นแบบนางอย่างนั้น เสียงดังเอะอะโวยวายทั้งวัน ไม่มีท่าทางเรียบร้อยเลย? ทว่ามั่นใจได้ว่า คุณหนูรองคนนี้เป็นคนที่ไม่มีความคิดมากที่สุดในตระกูลซั่งกวน นางไม่ชอบพวกนาง เพียงแต่ไม่ได้ชักสีหน้าอะไรให้พวกนางเห็น ไม่เหมือนบางคน…แม่นมอี้มองไปที่หญิงสาวข้างๆ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างเงียบกริบ นั่นถึงจะเป็นราชาปีศาจแห่งความวุ่นวายตัวจริงล่ะ!
“โอ้ ทำไมวันนี้แม่นมอี้จึงพูดแทนยัยเด็กลิงนั่น?” พิงถิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เกินจริงว่า “สมัยก่อน แม่นมอี้อึดอัดที่สุดกับยัยเด็กลิงที่ไม่มีสัมมาคารวะ ขาดความเคารพผู้ใหญ่คนนั้น เหตุใดวันนี้ถึงพูดว่านางรู้การรู้ความ? ข้าก็ไม่เชื่อ แต่เวลาตั้งครึ่งเดือน ยัยเด็กลิงนั่นก็เปลี่ยนเป็นคนละคน แม่นมอี้ เจ้าพูดตามตรงมาเถอะ เป็นพี่ใหญ่กับยัยเด็กลิงนั่นข่มขู่พวกเจ้า หรือ…”
ความหมายนั้นชัดเจน นั่นคือเพราะพวกนางได้รับผลประโยชน์จากซั่งกวนเจวี๋ยหรือจิงอิ๋ง จึงพูดถึงจิงอิ๋งในแง่ดี แม่นมทั้งสองเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน จะฟังไม่ออกว่าคำพูดของนางมีความหมายอื่นแฝงอยู่ได้อย่างไร
แม่นมอี้เกลียดชังอยู่ในใจอย่างเงียบๆ แม้นางกับแม่นมอู่จะเป็นแม่นมเก่าแก่ที่รับใช้อยู่ข้างกายทั่วป๋าซู่เยวี่ยมานานหลายปี แต่พวกนางไม่ใช่คนที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพามาจากตระกูลทั่วป๋า แต่เป็นบ่าวในเรือนเบี้ยของตระกูลซั่งกวน แม้จะทุ่มเททำสิ่งต่างๆ เพื่อฮูหยินใหญ่ แต่บางครั้งก็ยังคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลซั่งกวน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้เรื่องเหล่านี้ดีอยู่แก่ใจ และพวกนางย่อมไม่ดีเท่ากับแม่นมหนิงที่อยู่เคียงข้างนางมาตั้งแต่นางยังเป็นคุณหนู
“ฮูหยินใหญ่ฉลาดปราดเปรื่อง!” แม่นมอู่โขกศีรษะคำนับด้วยความหวาดกลัวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกบ่าวได้รับคำสั่งให้ไปดักรอคุณหนูรองที่หน้าประตู แม้จะไม่เร็วเท่าคุณชายใหญ่ แต่ก็เห็นคุณหนูรองทันทีที่เข้าประตู ในขณะนั้นแม่นมสีคนสนิทของฮูหยินมาพร้อมกับม่านหรูสาวใช้ และสาวใช้ใหญ่ม่านชิงประจำตัวคุณหนูใหญ่ก็อยู่ใกล้ๆ พวกนางต่างก็มองเห็นด้วยกันทั้งนั้น…ต่อให้บ่าวจะใจกล้าบ้าบิ่น ก็ไม่กล้าพูดจาส่งเดช”
“พวกเขาส่งใครไป?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เจ้านายทุกระดับชั้นของตระกูลซั่งกวนล้วนรู้ว่าเด็กสาวแก่นแก้วอย่างจิงอิ๋งนั่นถ่อตามไปถึงอู๋โจว ด้วยนิสัยของจิงอิ๋ง จะคิดหาทุกวิถีทางพยายามเข้าใกล้คุณหนูห้าของตระกูลเยี่ยน
อย่างแน่นอน เพื่อดูว่าเป็นคนแบบไหนถึงได้แต่งงานกับพี่ชายผู้องอาจห้าวหาญของนางได้ และเป็นจริงดังคาด มีข่าวกลับมาจากพวกบ่าวไพร่ที่ไปต้อนรับผู้คนของตระกูลเยี่ยน วันที่สองที่จิงอิ๋งมาถึงอู๋โจว นางได้ปลอมตัวแสร้งทำเป็นสาวใช้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน เข้าไปคลุกคลีอยู่กับคุณหนูเยี่ยนอู่
ก่อนที่หมู่คณะของตระกูลเยี่ยนยังไม่เข้าสู่เมืองลี่โจว ทุกคนต่างก็รู้ที่พักของพวกเขา เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปหาตระกูลเยี่ยนโดยตรงเพื่อสอบถามข่าวคราว ดังนั้นคนรับใช้ทั้งหมดทั้งใหญ่และเล็กในเรือนสดับวายุจึงถูกเจ้านายแต่ละคนยัดเงินให้พวกเขาสืบข่าวของคุณหนูเยี่ยนอู่ แต่น้ำที่อยู่ไกลเกินไปมิอาจช่วยดับความกระหายในตอนนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เรือนสดับวายุเดิมเป็นพื้นที่ของฮูหยินซั่งกวน หวงจิ่วผู้ดูแลที่นั่นก็เป็นผู้ช่วยมือดีที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพามาจากตระกูลหวงฝู่ ข่าวที่บ่าวไพร่เหล่านั้นสืบเสาะได้จึงมีข้อมูลจำกัดอย่างไม่ต้องพูดถึง ยังไม่แน่ว่าจะส่งกลับไปได้ทันเวลา ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมากขึ้นจับจ้องสายตาไปที่จิงอิ๋งผู้ซึ่งพูดไม่รู้จักกาลเทศะ ต้องการรับข่าวสารโดยตรงจากปากนางเป็นคนแรก ดังนั้นผู้ที่มีคุณสมบัตินั้นจึงถูกส่งไปสกัดกั้น ส่วนผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติก็หันไปใช้บุคคลที่มีคุณสมบัติให้ไปทำสิ่งนี้…
ซั่งกวนฮ่าวรู้สถานการณ์นี้ดีอยู่เต็มอก เพื่อไม่ให้รบกวนบุตรสาวผู้บริสุทธิ์เขาจึงแจ้งแม่นมเฝิงล่วงหน้าให้ไปรับจิงอิ๋งที่เรือนสดับวายุ ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยก็ทำอย่างรอบคอบมากขึ้นโดยมารอที่หน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง ตราบใดที่จิงอิ๋งกลับเรือน เขาจะปกป้องจิงอิ๋งภายใต้ปีกของเขาได้ และจะไม่ถูกคุกคามจากทุกฝ่าย
“นอกจากนายน้อยรองกับนายท่านที่ไม่อยู่บ้านแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่รับใช้เจ้านายก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน ส่วนจะไปรับคุณหนูรองหรือไม่ บ่าวไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อ” แม่นมอู่กล่าวอย่างระมัดระวัง
“ไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อ? นี่มันไม่ชัดเลยหรือ! ถ้าไม่ใช่เพราะยัยเด็กลิงคนนั้น ใครจะสนใจวิ่งไปรอที่หน้าประตูรั้วใหญ่?” ยกเว้นแม่นมหนิงผู้เป็นยายที่แท้จริงของนาง พิงถิงไม่ชอบแม่นมคนอื่นๆ ที่อยู่รับใช้ฮูหยินใหญ่จริงๆ เพราะนางก็เป็นคุณหนูของตระกูลซั่งกวน แต่แม่นมพวกนี้ไม่เรียกนางว่า ‘คุณหนูสาม’ แต่เรียกว่า ‘คุณหนูถิง’ ไม่ได้พูดชัดๆ ว่านางเกิดมาจากอนุภรรยา เทียบไม่ได้กับเด็กลิงป่าคนนั้นใช่หรือไม่?
“พิงถิง เจ้าพูดให้น้อยหน่อย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างไม่จริงจัง นางรักหลานสาวที่เกิดจากอนุภรรยาคนนี้มากที่สุด ตอนที่ซั่งกวนพิงถิงเพิ่งหัดเดินเตาะแตะ ก็เลี้ยงดูอยู่เคียงข้างนาง ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ดีกว่าจิ้งอิ๋งสาวทโมนคนนั้น
“หลานรู้แล้ว ท่านย่า!” พิงถิงหุบปากทันที นางเคารพคำพูดของฮูหยินใหญ่มากมาเสมอ
“คนที่อยู่ในสวนหลังบ้านเดินผ่านไปหรือเปล่า?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดสักพักแล้วเอ่ยถาม
ตระกูลซั่งกวนใช้เรือนหลักเป็นศูนย์กลาง แล้วยังล้อมรอบอีกห้าเรือน เรือนสี่แห่งอยู่ทางเหนือใต้ออกตกและเรือนหลังบ้าน เรือนหลักมีขนาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยเรือนเล็กๆ ใหญ่น้อยอีกสิบแห่ง เป็นที่ซึ่งซั่งกวนฮ่าวกับภรรยาและอนุภรรยาหลายคนพักอาศัย ส่วนเรือนทางทิศตะวันออกเป็นที่สอง แต่ยังมีเรือนอีกเก้าแห่ง ซั่งกวนเจวี๋ยบุตรชายคนโตอาศัยอยู่ แม้เรือนทางทิศตะวันตกจะไม่ได้ใหญ่ที่สุด แต่มีเรือนใหญ่น้อยมากที่สุด บุตรชายบุตรสาวคนอื่นๆ ของซั่งกวนฮ่าวอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่ว่าพวกเขาจะสืบเชื้อสายมาจากภรรยาเอกหรืออนุภรรยาก็ตามล้วนอาศัยอยู่ที่นั่น สำหรับเรือนทางใต้กับเรือนทางเหนือใช้มาต้อน รับแขกเป็นพิเศษ แขกสาวงามที่เป็นคนสนิทของซั่งกวนเจวี๋ยหลายคนนั้นก็พักอยู่ในเรือนทางใต้ เรือนหลังบ้านเป็นของฮูหยินใหญ่ซั่งกวนกับอนุภรรยาของนายท่านใหญ่ซั่งกวนที่ล่วงลับไปแล้ว นายท่านใหญ่ซั่งกวนก็เคยเป็นหนุ่มเจ้าสำราญมาชั่วระยะหนึ่ง นอกจากทั่วป๋าซู่เยวี่ยแล้ว เขายังมีภรรยารองผิงชี อนุภรรยาอีกห้าคน มีสี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในหมู่พวกนางมีทายาทแล้วก็ย้ายออกไปอยู่กับลูกชายหลังจากนายท่านใหญ่ซั่งกวนจากไป แต่มีอีกสองคนที่ไม่มีลูกชายจึงอยู่ที่ตระกูลซั่งกวน พวกนางก็อาศัยอยู่ที่เรือนอื่นๆ ในเรือนหลังบ้าน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงหมายถึงป้าแก่สองคนนั้นที่อยู่ในเรือนหลังบ้าน
“หาเห็นไม่!” แม่นมอู่พูดอย่างระมัดระวัง คนเหล่านั้นล้วนเป็นหนามยอกอกในหัวใจของทั่วป๋าซู่เยวี่ย ยามปกติไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง
“ท่านย่า พวกนางไม่มีอะไรอีกแล้ว ไหนเลยจะกล้าสร้างปัญหาได้อีก ท่านก็อย่าคิดมากเพราะพวกนางเลย” พิงถิงปลอบโยนทั่วป๋าซู่เยวี่ยด้วยการขยิบตา นางรู้จักทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นอย่างดีว่าเกลียดหญิงพวกนั้นมากแค่ไหน โดยเฉพาะคนที่ถูกฝังทั้งเป็น
คำพูดของพิงถิงอยู่ในใจส่วนลึกของทั่วป๋าซู่เยวี่ย หลังจากต่อสู้กันมาหลายปีพวกนางล้วนตายหรือไม่ก็จากไป ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ไร้ความสามารถ และผู้ชนะก็คือตัวนางเอง
“ยกโทษให้พวกนางที่ไม่กล้าออกหน้าได้อีกต่อไป” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดมาถึงเรื่องนี้ แต่ก็สงบอารมณ์ลงแล้ว นางก็ขบคิดอีกพลางเอ่ยถามว่า “แล้วมีบ่าวไพร่ที่รับใช้แขกอยู่ที่เรือนทางใต้โผล่หน้ามาบ้างหรือไม่?”
แม่นมอู่ครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วเอ่ยว่า “ไม่เคยเห็นเลยเจ้าค่ะ! ฮูหยินใหญ่ แม้คุณหนูเหล่านั้นจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในยุทธภพ แต่นอกจากคุณหนูหวงผู้นั้นแล้ว นอกนั้นก็มีฐานะไม่สูงศักดิ์ คุณชายใหญ่บอกเพียงว่าพวกนางเป็นแขก แต่ไม่ได้บอกว่าจะรับพวกนาง เด็กสาวใช้ที่รับใช้อยู่ข้างกายพวกนางล้วนมาจากคนของตระกูลซั่งกวนเราแล้วต่างก็ขยิบตาให้ คนพวกนั้นไหนเลยจะกล้าโผล่หน้าเข้ามาแทนที่คนที่ไม่ใช่นายในเวลานี้”
“อันที่จริงต่อให้เป็นคุณหนูหวงผู้นั้นก็มีฐานะเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง นางอาศัยอยู่ในตระกูลซั่งกวนมานานกว่าครึ่งปีแล้ว ตระกูลหวงก็ส่งเพียงสาวใช้ใหญ่ส่วนตัวมาหนึ่งคน สาวใช้ตัวน้อยสองคน ไม่มีแม้กระทั่งแม่นม จะนับเป็นบุตรสาวของตระกูลผู้มั่งคั่งแบบไหนกัน? จำได้ว่าตอนที่ลูกพี่ลูกน้องของตระกูลทั่วป๋ามาน้อมทักทาย[1]ท่านนั้น หลังจากรวบรัดให้สั้นลงในทุกครั้งที่มา จะมีแม่นมสาวใช้ใหญ่น้อยที่รับใช้และเด็กให้เรียกใช้สอยกว่าสิบคนติดตามมาด้วย นั่นถึงจะถูกเรียกว่าสตรีสูงศักดิ์อย่างแท้จริง” แม่นมอี้พูดตามเรื่องที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยโปรดปราน ลูกพี่ลูกน้องที่เอ่ยออกจากปากของนางคือคุณหนูสี่จากตระกูลทั่วป๋า นามว่าทั่วป๋าฉินซิน เป็นหลานสาวแท้ๆ ของพี่ชายสายเลือดเดียวกันของทั่วป๋าซู่เยวี่ย นางชื่นชอบซั่งกวนเจวี๋ยอยู่ฝ่ายเดียวมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย หลังถึงวัยปักปิ่น ในทุกๆ ปีก็จะเปลี่ยนเหตุผลมาพักระยะสั้นๆ อยู่ที่ตระกูลซั่งกวน ระยะยาวก็สองเดือน ระยะสั้นก็สิบวันถึงครึ่งเดือน เพื่อหาโอกาสใกล้ชิดกับซั่งกวนเจวี๋ย
“แน่นอนอยู่แล้ว! คุณหนูจากตระกูลทั่วป๋าย่อมสูงส่งไม่ใช่หยอก!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ โดยไม่ทันสังเกตว่า พิงถิงเหล่ตามองอยู่ข้างๆ ฉายแววไม่พอใจ
แม่นมหนิงสังเกตเห็นแล้ว นางแสดงสีหน้าร้ายกาจให้พิงถิงเห็น พิงถิงก็เก็บอารมณ์ของนางทันทีพลางกล่าวอย่างหวานหยาดเยิ้มว่า “ข้าก็ชอบลูกผู้พี่สี่มากที่สุด! ข้าคิดว่านางกับพี่ใหญ่ถึงจะเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างจริงๆ! ชาติตระกูลก็ดี ความ สามารถก็พร้อมสรรพ จึงเหมาะสมที่สุด ถ้าลูกผู้พี่สี่แต่งเข้าตระกูลซั่งกวน และกลายเป็นพี่สะใภ้ของข้าได้ก็คงจะวิเศษเป็นแน่! น่าเสียดายที่ฮูหยินได้หมั้นหมายกับตระกูลเยี่ยนที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก จะให้พี่ใหญ่แต่งงานกับคุณหนูจากตระกูลพ่อค้า…ไม่ว่าคุณหนูเยี่ยนอู่จะเก่งกาจเพียงใด ลำพังแค่กลิ่นสาบของผู้ลากมากดีจากตระกูลพ่อค้าก็ทนไม่ไหวแล้ว ท่านย่า ถ้าท่านคิดจะหาวิธีให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาก็ถูกตัดหางปล่อยวัด ให้พี่ใหญ่เลิกกับนางก็ดี แล้วหาโอกาสกำจัดนางก็เท่านั้น ช่างเป็นเรื่องน่าประณามหยามเหยียดที่คนเช่นนี้ต้องมาเป็นภรรยาคุณชายใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ถ้ามีวันหนึ่ง นางกลายเป็นนายหญิงของตระกูลซั่งกวน…โอ้คุณพระ เดาว่าบรรพบุรุษของตระกูลซั่งกวนที่วิญญาณอยู่บนสรวงสวรรค์ก็จะหนักใจด้วย”
คำที่ซั่งกวนพิงถิงพูดก็คือสิ่งที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยใฝ่ฝันหาอยู่ นางคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้มาโดยตลอด…งานแต่งงานของลูกชายในปีนั้นนางก็ไม่ได้เป็นคนจัดการ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อผู้หญิงคนนั้นถือสิทธิ์อะไรมาเจ้ากี้เจ้าการได้? เรื่องราวมาจนถึงป่านนี้ จะผิดสัญญาการแต่งงานครั้งนี้ก็ไม่ได้ ถ้าทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยหย่ากับผู้หญิงคนนี้จากตระกูลเยี่ยนในระหว่างงานแต่งได้ก็คงจะดี ซั่งกวนเจวี๋ยกลายเป็นเจ้าของบ้านคนต่อไปของตระกูลซั่งกวน มันเป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้จะเป็นภรรยาเอกคนต่อมา แต่ทั่วป๋าฉินซินก็จะไม่ถือสา เมื่อฉินซินแต่งเข้ามา เรื่องในบ้านของตระกูลซั่งกวนก็อยู่ในอำนาจของสตรีตระกูลทั่วป๋า เมื่อถึงเวลานั้น ก็สมควรให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ลิ้มรสความขมขื่นของการถูกบีบขนาบ
แต่…นางเหลือบมองพิงถิงอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง พลางกล่าวว่า “ฉินซินเป็นลูกสาวภรรยาเอกของตระกูลทั่วป๋า เจ้าเรียกนางว่าลูกผู้พี่แบบส่วนตัวได้ แต่ถ้ามีแขกพิเศษหรืออยู่ต่อหน้าท่านพ่อและคนอื่นๆ จะเรียกอย่างนี้ไม่ได้ จะทำให้ฉินซิน เสื่อมเสียเกียรติไปเปล่าๆ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่นมหนิงแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย แล้วกลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา แต่สีหน้าของแม่นมอี้กับแม่นมอู่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับมีรอยยิ้มขึ้นมา…
พิงถิงก้มหน้าลง และตอบด้วยเสียงอ่อนแรง ปกปิดความเกลียดชังที่แทบบ้าคลั่งไว้ใต้ดวงตาของนาง…
ฐานะ? ฐานะอีกแล้ว! สิ่งที่ซั่งกวนพิงถิงเกลียดที่สุดคือชาติกำเนิดของตัวเอง ทำไมมารดาของนางถึงเป็นอนุภรรยา? หรือเป็นเด็กที่เกิดจากอนุภรรยา? ชาติกำเนิดดังกล่าวทำให้นางไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีทางเทียบได้กับซั่งกวนหลิงหลงและซั่งกวนจิงอิ๋งที่เกิดจากภรรยาเอกได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับพวกนาง
ต่อให้ตระกูลซั่งกวนจะได้รับการขนานนามว่าเป็นตระกูลยุทธภพ แต่ก็ยังเป็นตระกูลขุนนาง และเป็นหนึ่งในตระกูลที่เก่าแก่ที่สุดที่สืบทอดกันมา มีกฎบางอย่างที่เข้มงวดกว่าอำนาจของขุนนางในราชสำนัก สิ่งที่เฉพาะเจาะจงที่สุดก็คือภรรยาเอกกับอนุภรรยา
ประการแรกคือบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกหรืออนุภรรยา ตราบใดที่เกิดจากอนุภรรยา ไม่ว่าจะโดดเด่นแค่ไหน ก็ไม่มีสิทธิ์สืบทอดกิจการของตระกูล แม้หัวหน้าตระกูลจะมีเพียงบุตรจากอนุภรรยาที่ไม่ใช่บุตรจากภรรยาเอก บุตรจากอนุภรรยาคนนี้ก็ไม่สามารถสืบทอดกิจการของตระกูลได้ แต่ยังต้องคัดเลือกจากลูกหลานภรรยาเอกของพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันของหัวหน้าตระกูล ถ้าหัวหน้าตระกูลไม่มีพี่น้องโดยตรง ดังนั้นก็จะเลือกจากหลานโดยตรงของลุงที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน…อย่างไรก็ตาม จะต้องเกิดจากภรรยาเอก ไม่ว่าจะเป็นภรรยาที่อยู่ห้องไหนก็ตาม โดยทั่วไปแล้วบุตรชายจากภรรยาเอกจะเกิดจากภรรยาหลวง หากภรรยาหลวงไม่มีลูก ส่วนเด็กที่เกิดกับภรรยารองผิงชีจะถูกนำมาเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของภรรยาหลวงนั้นก็พอจะถือได้ว่าเป็นลูกที่แท้จริง แต่บุตรคนนี้จะต้องยอดเยี่ยมมาก มิฉะนั้นสิทธิ์ในมรดกของเขาอาจถูกผู้อาวุโสตัดสิทธิ์ได้
ประการที่สองคือบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกหรือเกิดจากอนุภรรยา สำหรับบุตรสาวแล้ว ข้อกำหนดจะไม่เข้มงวดนัก ตราบใดที่เกิดจากภรรยา (ไม่ว่าภรรยาเอกหรืออนุภรรยาผิงชี) ล้วนเป็นบุตรสาวโดยตรง ส่วนบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยา หากได้รับเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมภายใต้ชื่อของภรรยาเอก ก็ถือเป็นบุตรสาวโดยตรง และได้รับการปฏิบัติเหมือนบุตรสาวโดยตรง ดังนั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงมุ่งหวังจะเปลี่ยนพิงถิงให้เป็นบุตรสาวโดยตรง ด้วยวิธีนี้ พิงถิงถึงจะมีโอกาสได้แต่งงานกับบุตรชายของตระกูลขุนนางในฐานะภรรยาเอก ต่อให้จะไม่ใช่บุตรชายของห้องใหญ่ แต่ก็มีอนาคตที่ดีกว่าการแต่งงานกับบุตร ชายจากอนุภรรยาหรืออนุภรรยาผิงชีหรือเมียบ่าว สิ่งที่น่าเสียดายคือ นับตั้งแต่นางส่งหนิงซินไปเป็นเมียบ่าวของซั่งกวนฮ่าว จากนั้นก็เลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยา นางก็ขัดแย้งกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ หนิงซินก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ตอนที่เป็นเมียบ่าวยังถือกฎ เกณฑ์ แต่เมื่อเป็นที่โปรดปราน ขณะที่ตั้งครรภ์ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอนุภรรยา จึงทำตัวเป็นกิ้งก่าได้ทองเล็กน้อย หลังจากคลอดซั่งกวนอวี่ไข่กับซั่งกวนพิงถิงก็หลงลืมแม้กระทั่งฐานะของตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะเพ้อฝันเป็นภรรยารองผิงชี (อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา ไม่ว่าจะรักมากแค่ไหน ก็ไม่อาจเปลี่ยนภูมิหลังได้) ต่อมาจึงถูกซั่งกวนฮ่าวตำหนิอย่างไร้ความปรานีไปครั้งหนึ่ง ถึงตระหนักได้ว่าตัวเองจะไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากไปตลอดชีวิตนี้ ในเวลานั้นจึงฝากความหวังไว้ที่ลูกๆ ของตัวเอง เนื่องจากระบบการสืบทอดของตระกูลเข้มงวดมาก ซั่งกวนอวี่ไข่ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงก็แทบจะไม่มีความหวังเลย หนิงซินหวังว่าจะให้ลูกสาวอยู่ภายใต้ชื่อของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ แต่นางลืมไปแล้วว่า นางเคยทำกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไว้อย่างไร หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะรับปากได้อย่างไร และดูท่าคงจะไม่มีวันปล่อยไป ด้วยเหตุนี้ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงหาเหตุผลและเรื่องที่กลั่นแกล้งจิงอิ๋งจึงปรากฏขึ้น นางก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะถอดตัวตนของจิงอิ๋งที่เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกโดยตรงแต่จะใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้าง เพื่อแลกกับการที่หวงฝูเยวี่ย เอ้อยอมอ่อนข้อลง ทำให้พิงถิงมีฐานะขึ้นมา
ดังนั้น การเรียกชื่ออย่างเป็นทางการของซั่งกวนพิงถิงในตระกูลซั่งกวนคือ ‘คุณหนูถิง’ และไม่รวมอยู่ในการจัดอันดับ นางจึงเรียกทั่วป๋าซู่เยวี่ยว่าท่านย่าได้ เรียกซั่งกวนฮ่าวว่าบิดาได้ แต่ต้องเรียกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อว่าฮูหยินเท่านั้น ส่วนมารดาของนางนั้น นางเรียกได้เพียงว่าอนุภรรยาหนิงเท่านั้น แม้แต่ซั่งกวนเจวี๋ย ถ้าในโอกาสที่เป็นทางการ นางก็ไม่สามารถเรียกว่าพี่ใหญ่ได้ ทั่วป๋าฉินซินเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของตระกูลทั่วป๋า เป็นลูกผู้พี่อย่างเป็นทางการ ในโอกาสที่เป็นทางการนี้ นางยังไม่มีคุณสมบัติจะเรียกว่าลูกผู้พี่ได้…
ด้วยเหตุนี้ ในยามปกติ นางจึงรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันกับซั่งกวนฮ่าวและคนอื่นๆ ได้ หากมีแขกอยู่ที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง แต่เมื่อพบแขกคนสำคัญ (ส่วนใหญ่เป็นแขกผู้มีภารกิจพิเศษ) นางจึงทานได้แค่ในเรือนของตัวเอง…
ฉะนั้น ฐานะที่เกิดจากอนุภรรยาจึงเป็นหนามพิษในหัวใจของซั่งกวนพิงถิง…
———————————-
[1] น้อมทักทาย เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวแมนจู ผู้เยาว์ต้องไปน้อมทักทายผู้อาวุโสในบ้าน ผู้ชายจะยืนตัวตรงสองมือแนบข้างลำตัวแล้วโค้งกายพร้อมกับพูดน้อมทักทาย ส่วนผู้หญิงจะก้มหน้าเล็กน้อย สองมือประสานกันตรงท้อง ย่อเข่าลงพร้อมกับพูดน้อมทักทาย