เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 231 ครบเดือนแล้ว
เด็กที่ครบเดือนแล้วทำอะไรได้บ้าง?
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่ายามที่ลูกของคนอื่นโตเช่นนี้แล้วสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่รู้ว่าเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยของตนอายุครบเดือนก็สามารถจำคนได้แล้ว…คนที่เขาจำได้มีสี่ห้าคน คนที่สนิทที่สุดก็คือสองสามีภรรยาซั่งกวนเจวี๋ยและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ในยามที่ซั่งกวนฮ่าวอุ้มเขาก็จะครางอย่างไม่เต็มใจเท่าไร กระนั้นก็ไม่ได้ร้องไห้โวยวายออกมา ยังคงว่านอนสอนง่ายอยู่ แต่คนอื่นๆ นอกจากแม่นมฉินก็มีเพียงแม่นมฮุ่ยที่อุ้มเขา ส่วนคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็นพวกจื่อหลัวก็ไม่ได้ หากเจ้าตัวเล็กไม่พยายามขืนตัวอย่างสุดชีวิต ก็จะร้องไห้เสียงดังจ้าละหวั่น และคนที่ทำให้เขาหยุดร้องไห้ได้ก็มีเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ย คนอื่นๆ ล้วนทำไม่ได้
เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยนับว่าติดซั่งกวนเจวี๋ยเป็นอย่างมาก ทุกคืนก่อนจะนอน หากซั่งกวนเจวี๋ยไม่อุ้มเขา คอยพูดคุยกับเขา เขาก็จะเอาแต่ไม่ยอมนอน หรือไม่อย่างนั้นก็หลับสักพัก ก่อนจะตื่นขึ้นมากลางดึก ร้องไห้เสียงดังออกมาไม่ยอมหยุด เวลานั้นแม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะกล่อมอย่างไรเขาก็ล้วนไม่สนใจ จำต้องเป็นซั่งกวนเจวี๋ยออกหน้าเท่านั้น จึงสามารถปลอบใจเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยที่ร้องไห้อย่างน่าสงสารได้ จากนั้นเขาก็จะนอนตรงกลางระหว่างบิดาและมารดา สะอึกไปพลาง ทำน้ำตาคลอเบ้ามองซั่งกวนเจวี๋ยไปพลาง ทุกครั้งก็พาให้ซั่งกวนเจวี๋ยเอ็นดูเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังจากเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยอายุครบยี่สิบวัน ซั่งกวนเจวี๋ยก็จะกลับบ้านเร็วทุกวัน ทั้งภายหลังก็ทิ้งงานทั้งหมดอย่างไม่สนใจอันใด มาอุ้มคอยพูดคุยกับลูก เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยก็จะเป็นเด็กดีสงบเสงี่ยม บางครั้งก็ยังส่งเสียง ‘อื้อๆ’ ขานรับ คล้ายกับว่าฟังเข้าใจ ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกขบขันและทั้งโมโหไปพร้อมๆ กัน เมื่อถึงเวลาเข้านอน ก็จะหาวออกมาอย่างว่าง่าย นอนกับแม่นมฮุ่ยจนสว่าง ไม่แม้แต่จะสะดุ้งตื่นตอนกลางค่ำกลางคืน เขาแสดงด้านที่น่ารักทั้งน่าชัง ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นภาคภูมิใจ…ในสายตาของลูก ยังคงเป็นเขาที่นับว่าเป็นพ่อที่ดีที่สุด
และสิ่งที่ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกก็คือท่าทีของเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยในพิธีฉลองครบเดือน
แม้ว่าจะเป็นลูกชายภรรยาเอกคนโตของตระกูลซั่งกวน แต่ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้จัดให้ดื่มสุราฉลองครบเดือนแต่อย่างใด พวกเขาต่างก็คิดว่าเด็กน้อยนั้นยังเล็ก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เพิ่งอยู่เดือนเสร็จ หากจัดเลี้ยงสุราฉลองครบเดือน ทั้งสองคนผู้เป็นตัวหลักของงานเลี้ยงย่อมเหน็ดเหนื่อยเป็นแน่ โดยเฉพาะซั่งกวนหมิง เขายังไม่เหมาะที่จะพบปะผู้คนมากเกินไป ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าในวันครบเดือนนั้น ทั้งครอบครัวจะนั่งฉลองกันกลุ่มเล็กๆ ก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องเหน็ดเหนื่อยเสียแรงขนาดนั้น
สองสามีภรรยาอวี่ฮ่าวไม่ได้มาร่วมฉลองด้วย…สองสามีภรรยาคู่นี้แต่งงานได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนทิ้งจดหมายไว้ให้ทางบ้านหนึ่งฉบับก็ไม่เห็นเงาอีกเลย กล่าวว่าอยากจะฉวยโอกาสยามที่ยังหนุ่มสาว ทั้งไม่มีลูกเป็นพันธะออกไปท่องเที่ยวดูชมสิ่งต่างๆ ให้ทั่วเสียหน่อย รอจนชิงหวั่นตั้งครรภ์หรือเที่ยวพอแล้วก็จะกลับมา ทำเอาซั่งกวนฮ่าวนั้นโมโหแทบเป็นแทบตาย ด้านหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและอนุภรรยาหวังต่างก็ยิ้มขมขื่นให้แก่กัน…พวกนางรู้ว่าอวี่ฮ่าวเป็นคนชอบเที่ยว แต่คาดไม่ถึงว่าชิงหวั่นก็เป็นคนชอบเที่ยวเล่นเช่นกัน ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี พาผู้ติดตามไปอีกสองสามคนก็หนีไปด้วยกันเลย
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยและพวกอวี่ไข่ก็กลับมาเช่นกัน เวลานี้ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ควรจะโผล่หน้าออกมาเสียหน่อย ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมีสีหน้าไม่เลวเลย อวี่ไข่ก็มีท่าทีอิ่มเอมใจเช่นกัน และทั่วป๋าฉินซินก็ยังคงรักษาใบหน้าอ่อนโยนอยู่อย่างนั้น พอเห็นซั่งกวน หมิงที่ว่านอนสอนง่ายอยู่ในอ้อมอกแม่นมฮุ่ย ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ลืมการถูกต้อนรับอย่างเย็นชาก่อนหน้าเสียสิ้น อดกล่าวออกมาไม่ได้ “อุ้มคุณชายน้อยมาตรงหน้าข้าหน่อย!”
แม่นมฮุ่ยมีท่าทีลำบากใจอยู่บ้าง ในบัญชีดำคนที่ห้ามเข้าใกล้คุณชายน้อย ฮูหยินใหญ่นั้นอยู่ในอันดับแรก แค่มาเยี่ยมหาครั้งแรก ไม่ทันได้สัมผัสเขา เขาก็ร้องไห้อย่างไม่ยอมหยุดแล้ว หากอุ้มเขาไปหายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งสายตาเป็นนัยให้แม่นมฮุ่ย แม่นมฮุ่ยจึงอุ้มเด็กน้อยไปอย่างไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยคล้ายกับไม่ได้จับสังเกตอันใดทั้งนั้น ยังคงหรี่ตามองอย่างเรียบนิ่ง มุมปากก็เผยรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่ามาจากเหตุใด ในยามที่เขาไม่ร้องไห้ก็เหมือนกับยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงน่ารักน่าชังเป็นอย่างมาก
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเห็นเด็กน้อยที่ราวกับตุ๊กตาตัวนุ่มก็ชอบอกชอบใจ รีบนำหยกขาวที่ขัดเกลาอย่างแวววาวใส่ในห่อผ้าของเจ้าตัวน้อย ทั้งยังอดใช้นิ้วสัมผัสแก้มนุ่มของเจ้าตัวเล็กไม่ได้ จู่ๆ เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยก็ลืมตากว้างขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้น เคย ทั้งสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนแปลกหน้าและมีความรู้สึกไม่ชอบก็ร้องไห้เสียงดังออกมาทันที ทำให้อวี่ไข่และฉินซินที่กำลังจะเข้ามาแสดงความสนิทสนมและรักใคร่ต่างก็ตกใจ ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ซั่งกวนฮ่าวที่เพิ่งเดินเข้ามาหน้าดำทะมึนไปทันที
“นี่มันอะไรกัน?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเด็กน้อยที่เดิมทีนั้นหรี่ตายิ้ม (เขาแค่ดูเหมือนจะยิ้มก็เท่านั้น) แต่พอตนเองไปสัมผัสเข้าก็เปลี่ยนเป็นร้องไห้ลั่นขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ ในใจนั้นอารมณ์เสียอย่างถึงที่สุด กล่าวอย่างหงุดหงิด “ไฉนวันๆ เขาเอาแต่ร้องไห้เช่นนี้ พวกเจ้าเลี้ยงเด็กอย่างไรกัน?”
“หมิงเอ๋อร์น้อยครั้งที่จะร้องไห้!” ซั่งกวนฮ่าวสีหน้ามืดมนลงมา มองแม่นมฮุ่ยที่อุ้มหลานส่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างจนใจ จะว่าไปแล้วก็น่าขันเช่นกัน พอเจ้าตัวเล็กกลับไปอยู่ในอ้อมกอดมารดา เสียงก็เบาลง แต่ยังคงร้องไห้กระซิกเบาๆ เหมือนกับหลายครั้งที่ถูกหยอกล้อจนทำให้รู้สึกน้อยใจเช่นนั้น จะอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด แต่เขาไม่เหมือนกับเด็กน้อยบางคนที่ร้องไห้เสียงดัง แต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด แม้ว่าจะร้องกระซิกเบาๆ น้ำตาของซั่งกวนหมิงกลับไหลลงเม็ดแล้วเม็ดเล่า ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเอ็นดู ทั้งพาให้ซั่งกวนฮ่าวและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อสงสารจนแทบหน้าบิดเบี้ยว
“เหตุใดเขายังร้องอยู่อีก?” ซั่งกวนฮ่าวรู้ว่าบางครั้งซั่งกวนหมิงก็จะร้องไห้เสียงดัง โดยเฉพาะยามที่คนที่เขาไม่ชอบพยายามจะเข้ามาอุ้มเขา แต่ทุกครั้งขอเพียงแค่กลับไปสู่อ้อมอกของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็จะสะอึกหยุดร้องไป ไม่นานนักก็จะกลับมายิ้มได้แล้ว แต่ครั้งนี้ไฉนจึงไม่เหมือนกัน? หรือว่า…เขามองสามคนนั้นที่มีท่าทีลำบากใจอย่างสงสัย พยายามตัดความคิดแย่ๆ ในหัวออกไป…เด็กยังตัวเล็กถึงขนาดนี้ พวกเขาคงไม่ถึงกับวางแผนอะไรหรอกกระมัง!
“เขาคงกำลังรู้สึกน้อยใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นับว่าคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นก็จนใจเช่นกัน…โดยปกติแล้ว เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นตอนที่เขารู้สึกว่าตัวเองน้อยใจเป็นอย่างมาก หากซั่งกวนเจวี๋ยไม่เข้ามาปลอบใจเขา อุ้มเขาทันที เขาก็จะเอาแต่ทำเช่นนี้ จนกระทั่งร้องไห้เหนื่อยจนหลับไป และที่สิ่งที่ทำให้คนไม่รู้จะทำอย่างไรก็คือ แม้ว่าจะหลับอยู่ในฝัน บางครั้งเขาก็กระซิกขึ้นมา แต่หากซั่งกวนเจวี๋ยอุ้มเขาได้ทันเวลา เขาก็จะใช้แววตาที่น่าสงสารมองคนนั้น มองคนนี้ คล้อยหลังไม่นานก็จะกลับมาว่านอนสอนง่ายเหมือนเดิม
“หมิงเอ๋อร์เป็นอันใด? อยู่หน้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเขาเสียแล้ว!” ในยามที่เสียงแก่ชราดังขึ้น ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็อดสั่นสะท้านออกมาไม่ได้ และซั่งกวนฮ่าวก็รีบพาให้ทุกคนหยัดกายขึ้นต้อนรับผู้ที่มาทันที…ท่านบรรพชนของตระกูลซั่งกวน
ซั่งกวนเจวี๋ยไปเรือนพำนักอวี้ฉิงแต่เช้าตรู่ กล่าวว่าจะไปเชิญท่านบรรพชนมาดูลูกชายตัวน้อยของตนเอง แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังอันใดมากเช่นกัน…ท่านบรรพชนน้อยครั้งที่จะออกจากเรือนพำนักอวี้ฉิง แต่บางครั้งก็มักเป็นเช่นนี้ มาหรือไม่มาล้วนเป็นเรื่องของท่านบรรพชน แต่ไปหรือไม่ไปเชิญนั้นกลับเป็นเรื่องของพวกเขา ดังนั้นหลังจากซั่งกวนเจวี๋ยจุมพิตภรรยาและลูกที่ยังไม่ตื่นดีก็ไปเรือนพำนักอวี้ฉิงทันที
“ไม่มีอันใด อาจจะเป็นเพราะว่าออกเรือนเป็นครั้งแรก มองเห็นคนเยอะเช่นนี้จึงไม่คุ้นชินอยู่บ้างกระมัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มอธิบาย นางไม่อาจพูดได้ว่าเพราะทั่วป๋าซู่เยวี่ยสัมผัสเขา ดังนั้นยามนี้จึงกำลังน้อยใจ!
“ให้ข้าดูหน่อยซิ!” ท่านบรรพชนคาดหวังกับเด็กน้อยที่ตัวเองเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาคอยคนนี้เป็นอย่างมาก กล่าวออกมาทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์กัดฟัน ส่งเจ้าตัวน้อยที่กำลังสะอื้นอย่างน้อยใจให้กับท่านบรรพชน ในขณะเดียวกันก็ลอบส่งสายตาให้ซั่งกวนเจวี๋ย…หากเขาร้องไห้โวยวายขึ้นมาก็ให้รีบเข้าไปโดยทันที!
ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้ารับโดยแทบไม่มีคนสังเกตเห็น เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปอุ้มลูกทุกเวลา
ซั่งกวนหมิงรับรู้ถึงอ้อมกอดของคนบางคนมาแทนที่ของมารดา ก็หรี่ตาเรียวเล็ก ผู้ที่ปรากฏอยู่ในสายตาเป็นชายชราหนวดขาวที่มีใบหน้ายับย่นคนหนึ่ง เขาคล้ายกับว่ารู้สึกสนใจ น้ำตายังไม่ทันหยุดดี ก็ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา…นี่นับเป็นครั้งแรกที่ซั่งกวนหมิงหัวเราะออกมา
“ดูท่าหมิงเอ๋อร์จะชอบข้ามาก!” ท่านบรรพชนพบเห็นเด็กมามาก เด็กเล็กที่อายุเพิ่งครบเดือน แต่หัวเราะออกมาได้นั้นกลับมีมาก แต่เด็กที่เดิมทียังร้องไห้ น้ำตาคลอเบ้าก็สามารถหัวเราะให้เขานับว่ามีเพียงคนเดียว เวลานี้ก็โปรดปรานเจ้าตัวเล็กที่พบเห็นครั้งแรกเป็นอย่างมาก
“มา ทวดจะเช็ดน้ำตาให้เจ้า!” ท่านบรรพชนรับผ้าเช็ดหน้ามาจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก่อนจะเช็ดน้ำตาให้ซั่งกวนหมิงที่ร้องไห้ราวกับลูกแมวตัวเล็ก เจ้าตัวเล็กไม่รู้ว่าเพราะจั๊กจี้หรืออะไร จึงส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอีกครั้ง ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ยสบสายตากัน ไม่รู้ว่าไฉนจู่ๆ เขาจึงชอบคนที่เพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรกได้ ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะอีก
“หมิงเอ๋อร์ ชอบให้ทวดอุ้มเจ้าใช่หรือไม่?” ท่านบรรพชนชอบใจเป็นอย่างมาก น้ำตาที่ยังไม่แห้งดีที่เคลือบดวงตาโตคู่นั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนเป็นเด็กที่น่ารักน่าชังคนหนึ่ง
“อื้อๆ!” เจ้าตัวเล็กพูดคำนี้เป็นเพียงคำเดียว ในยามที่เขาอารมณ์ดี ขอเพียงแค่มีคนคุยเล่นกับเขา เขาก็จะส่งเสียง ‘อื้อ’ ออกมา เพียงแต่คนที่ทำให้เขาตอบกลับได้ ก่อนหน้านี้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น แต่ยามนี้มีเพิ่มมาอีกหนึ่งคนก็คือท่านบรรพชนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก
“เมื่อครู่เหตุใดจึงได้ร้องไห้ หรือน้อยใจอะไรกัน?” ท่านบรรพชนเป็นคนเช่นไร คนที่มีดวงตามองทุกอย่างในใต้หล้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แค่เห็นทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่มีสีหน้าโกรธเคืองไม่เหมือนคนอื่นก็รู้แล้วว่า คนที่ทำให้เจ้าตัวเล็กร้องไห้ก็มีเพียงนางเท่านั้น
“อื้อ” เจ้าตัวเล็กไหนเลยจะฟังอะไรออก กลับกันมีคนที่เขามองแค่พริบตาเดียวก็ถูกใจมาพูดคุยด้วย เขาจึง ‘อื้อ’ ตามไปอย่างนั้น ก่อนจะกวาดสายตาสะเปะสะปะไปทั่ว จู่ๆ ก็พบกับซั่งกวนเจวี๋ยที่อยู่ไม่ไกล ก็ส่งเสียง ‘อื้อๆ!’ ใส่ซั่งกวนเจวี๋ยติดต่อกันทันที เร่งของเล่นชิ้นใหญ่ที่เขาชอบที่สุดให้เข้ามาอุ้มเขา
“เจ้าตัวเล็กชอบเจวี๋ยเอ๋อร์เสียจริง!” ท่านบรรพชนหัวเราะอย่างเริงร่า แต่ก็ไม่ยอมปล่อย ส่งเขาให้ซั่งกวนเจวี๋ย อยากจะเห็นว่าเจ้าตัวเล็กจะงอแงหรือไม่
“อื้อๆ” เจ้าตัวเล็กพยายามเร่งให้ซั่งกวนเจวี๋ยอุ้มเขาอย่างสุดชีวิต แต่เมื่อเห็นว่าซั่งกวนเจวี๋ยไม่เคลื่อนไหวอันใด ก็ผิดหวังอยู่บ้าง กระนั้นก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร แต่หันหน้าไปทางท่านบรรพชน ทั้งส่งเสียง ‘อื้อๆ’ ขึ้นมา ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่รู้สึกวิตกกังวล ท้ายที่สุดก็คลายใจลงได้
“ได้ๆ จะคืนเจ้าให้พ่อแล้ว!” ท่านบรรพชนเห็นเจ้าตัวน้อยไม่ร้องไห้ แต่กลับหันมาพูดอะไรกับตัวเองแทน ก็ยิ่งดีใจ เจ้าตัวเล็กนี้น่าสนใจจริงๆ!
“อื้อๆ” ในที่สุดเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยก็เข้าสู่อ้อมกอดคนที่เขาปรารถนามากที่สุด ส่งเสียง ‘อื้อๆ’ สองครั้งอย่างดีใจ จากนั้นก็ค่อยหาวหวอดออกมา…ร้องไห้มาพักใหญ่ รู้สึกเพลียอยู่บ้าง อย่างไรก็หลับเสียหน่อยเถิด! ดังนั้น ในยามที่ทุกคนตั้งตาดูว่าต่อมาเขาจะทำอะไร เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยก็ยกยิ้มหวานที่มุมปาก ก่อนจะหลับไปอย่างว่าง่าย
“รีบพาเขาไปนอนที่เตียงดีๆ เถิด” ท่านบรรพชนคิดว่าเด็กคนนี้ไม่เลวเลย ว่านอนสอนง่าย หากจำคนไม่ได้ (ก็ย่อมแปลก) “เด็กยังเล็ก ไม่อาจจะเหนื่อยเกินไปได้!”
“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับลูกชายมาจากอ้อมกอดของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างระมัดระวัง เจ้าตัวเล็กยู่ปากเล็กน้อย ยังคงหลับอย่างฝันหวาน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พาเขาออกจากที่นี่ทันที
“เด็กคนนี้หน่วยก้านดี เป็นผู้ที่เหมาะจะเรียนวรยุทธ์คนหนึ่ง รอจนเขาครบสามปีแล้วก็ส่งไปที่เรือนพำนักอวี้ฉิงเถิด” ท่านบรรพชนชอบเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก รู้สึกว่าถูกชะตาไม่น้อย
“เข้าใจแล้ว ท่านบรรพชน” ซั่งกวนฮ่าวรับฟังอย่างนอบน้อม แม้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะทำใจไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใด เวลานั้นซั่งกวนเจวี๋ยก็ถูกส่งไปที่เรือนพำนักอวี้ฉิงตอนอายุสามขวบ เพียงแต่พวกตนเป็นฝ่ายส่งไปก่อนเท่านั้น
“เอาล่ะ หมิงเอ๋อร์ก็เจอแล้ว ข้าก็ควรกลับได้แล้ว” ท่านบรรพชนไม่มีท่าทีจะรั้งตัวอยู่แม้แต่น้อย เขาพูดอย่างชัดเจนแล้วว่า มาดูเด็กเพียงเท่านั้น เด็กก็พบแล้ว ทั้งยังหลับไปแล้ว เขาก็ควรจะกลับไป
“ท่านบรรพชนยากที่จะมา ทานข้าวแล้วค่อยไปดีหรือไม่!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวรั้งด้วยความจริงใจ ไฉนจะปล่อยให้ท่านบรรพชนไปเฉยๆ เช่นนี้ได้
“คนแก่แล้ว ไม่ค่อยอยากอาหาร!” ท่านบรรพชนส่ายศีรษะ “ฮ่าวเอ๋อร์ไปส่งข้ากลับเถิด ข้าว่าหมิงเอ๋อร์นั้นชอบอยู่กับเจวี๋ยเอ๋อร์ เขาเพิ่งจะร้องห่มร้องไห้เสียใจ อย่างไรให้เจวี๋ยเอ๋อร์รั้งตัวอยู่ดีกว่า หากอีกเดี๋ยวหมิงเอ๋อร์ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ก็จะมีคนที่ดูแลได้”
“เข้าใจแล้ว ท่านบรรพชน!” ซั่งกวนฮ่าวพ่อลูกขานรับ จากนั้นซั่งกวนฮ่าวก็พาเขาเดินออกไปอย่างนอบน้อม ซั่งกวนเจวี๋ยครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ตัดสินใจไปดูลูกชายและภรรยา หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองพวกทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างไม่พอใจไปที ก่อนจะพาอนุภรรยาหวังเดินจากไป ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเห็นจู่ๆ ห้องก็ว่างเปล่า จึงยิ้มขมขื่นออกมา นางไม่ควรที่จะกลับมาจริงๆ…