เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 244 บอกความลับเจ้าสองเรื่อง
ในวันนั้นซั่งกวนเจวี๋ยก็ได้รู้เรื่องของอวี่ไข่อย่างเด่นชัด เขายังโมโหเป็นอย่างมาก…ไม่ว่าอวี่ไข่จะถูกซั่งกวนฮ่าวลบชื่อออกจากตระกูลซั่งกวนหรือไม่ แต่อ๋องฉีกล้าทำถึงขนาดนี้เท่ากับไม่ไว้หน้าตระกูลซั่งกวน ดังนั้นในยามนั้นเขาก็เดินทางไปเซิ่งจิงทันที ให้บทเรียนที่เด็ดขาดแก่อ๋องฉี ไม่ให้อ๋องฉีและลูกสมุนของเขาได้เข้ามาเหยียบที่ลี่โจวแม้แต่ก้าวเดียวอีก
ในขณะเดียวกัน ซั่งกวนเจวี๋ยได้ส่งคนไปรายงานเรื่องทั้งหมดแก่ทั่วป๋าซู่เยวี่ย หลังจากทั่วป๋าซู่เยวี่ยทราบถึงข่าวนี้ก็นิ่งอึ้งไปกว่าค่อนวัน ทอดถอนหายใจ กล่าวเพียงว่า ‘นี่คือเวรกรรม!’ หลังจากนั้นก็ไม่ฟังไม่ถามอะไรอีก ราวกับไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เอาแต่ปิดประตูอยู่ในเรือนหลังไม่ออกไปไหน
สำหรับเรื่องนี้ ซั่งกวนเจวี๋ยทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เท่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเวรกรรมจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเขาคิดใช้วิธีต่ำช้ามาทำลายชื่อเสียงมี่เอ๋อร์ ไม่ตั้งใจไปทำความรู้จักกับคนจำพวกลูกอ๋องฉี ไหนเลยจะมีเรื่องบาดหมางตามมา หากไม่ใช่เพราะเขาบงการคนเพื่อแย่งชิงสิ่งของในมือทั่วป๋าซู่เยวี่ยมา ซั่งกวนฮ่าวก็คงไม่โกรธจนลบชื่อเขาออกจากตระกูล ไม่สูญเสียตำแหน่งคุณชายรองและเกราะป้องกันของตระกูลซั่งกวน และคงไม่ต้องพบกับเรื่องเช่นนี้ คำกล่าวที่ว่าทำอันใดไว้สิ่งนั้นย่อมสนองคืนก็คือเขาในยามนี้นั่นเอง
แต่ว่า ซั่งกวนเจวี๋ยยังคงออกคำสั่งให้คนไปรายงานกับซั่งกวนฮ่าวที่อยู่จือหยาง ตัวเองนั้นมีความเกลียดชังอวี่ไข่มากกว่าผูกพันอยู่แล้ว แต่ซั่งกวนฮ่าวก็พูดยากเช่นกัน อย่างไรอวี่ไข่นั้นได้นับว่าเป็นลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง
ครึ่งเดือนต่อมา ซั่งกวนฮ่าวและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็กลับมา ผู้ที่กลับมาพร้อมกับพวกเขายังมีครอบครัวของอินหงหลันด้วย และหลังจากกลับมาวันที่สอง อนุภรรยาหนิงได้มาตระกูลซั่งกวน แสดงละครคุกเข่าขอร้องอีกครั้ง ขอความเมตตาจากซั่งกวนฮ่าวให้อินหงหลันช่วยรักษาอาการบาดเจ็บแก่อวี่ไข่ ซึ่งเป็นดั่งที่ซั่งกวนเจวี๋ยคาด แม้ว่าซั่งกวนฮ่าวจะเคืองโกรธลูกชายคนนี้ แต่อย่างไรก็คงทำใจดูเขาพิกลพิการเช่นนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้ เกลี้ยกล่อมให้อินหงหลันไปดูอาการว่า พอจะมีทางรักษากลับมาได้หรือไม่ ทั้งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปเยี่ยมดูทั่วป๋าฉินซินและลูกที่เพิ่งกำเนิดของนาง…หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยืนกรานไม่ไป จึงทำได้เพียงให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าไปเท่านั้น
“ขอบคุณพี่สะใภ้และลุงอินที่เข้ามา!” ทั่วป๋าฉินซินคล้ายกับผ่ายผอมไปอยู่มาก สีหน้าก็ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังคงมาต้อนรับอินหงหลันและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่หน้าประตูใหญ่
“ข้าจะไปดูอวี่ไข่ พวกคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทางที่ดีอย่าได้เข้ามา” อินหงหลันไม่มีความอดทนที่จะปฏิสัมพันธ์กับคนพวกนี้แม้แต่น้อย กล่าวกำชับอย่างเรียบเย็นหนึ่งประโยค เมื่อทั่วป๋าฉินซินโบกมือเบาๆ คนผู้หนึ่งที่คล้ายกับเป็นพ่อบ้านก็นำทางอินหงหลันเข้าไป
“พี่สะใภ้เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ทำตัวสบายๆ เถิด” ทั่วป๋าฉินซินเห็นอนุภรรยาหนิงเดินไปอย่างรีบร้อน มุมปากกระตุกยิ้มเย็นเบาๆ แต่แทบจะหายไปในทันที ก่อนจะเชิญเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปนั่งในศาลาอย่างกระตือรือร้น
ท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นเป็นธรรมชาติ แต่งแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กน้อย ไม่สนิทสนม ไม่ห่างเหินจนเกินไป รอให้ทั่วป๋าฉินซินแสดงละครต่อไปเช่นนี้…เป็นการแสดงละครแน่แท้ ไม่เกี่ยวกับว่าทั่วป๋าฉินซินจะดูซูบเซียวไป หรือมีท่าทีดั่งภรรยาที่ดีของสามีหรือไม่ แต่เพราะแววตาที่ใสแจ๋วของนางไม่มีความเจ็บปวดแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลายและดีใจที่หลุดพ้น
“พี่สะใภ้คงจะแปลกใจ เหตุใดข้าจึงไม่กังวลกับอาการบาดเจ็บของอวี่ไข่แม้แต่น้อย” ทั่วป๋าฉินซินเห็นข้างกายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีเพียงจื่อหลัว รู้ว่านั่นเป็นสาวใช้ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อใจมากที่สุด จึงกล่าวตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม
“ข้าคิดว่าฉินซินย่อมมีเหตุผลของตัวเองอยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบถอนหายใจ บางทีเรื่องพวกนี้นางอาจจะไม่รู้เห็นด้วยทั้งหมด แต่เรื่องที่สำคัญๆ กลับล้วนมีนางเกี่ยวข้องด้วย เห็นท่าทีของทั่วป๋าฉินซินในยามนี้ รวมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดปีสองปีที่ผ่านมา ก็เดาได้ไม่ยากว่าทั่วป๋าฉินซินคงจะกำลังสวมบทบาทการแสดงอยู่
“แต่ไหนแต่ไรพี่สะใภ้ถือว่าเป็นคนที่ฉลาด ข้าเคยใช้สายตามองพินิจพี่สะใภ้อยู่ด้านบน ผลลัพธ์กลับเห็นเพียงเรื่องไม่สลักสำคัญของพี่สะใภ้เท่านั้น ดังนั้นข้าจึงมีจุดจบอย่างวันนี้” ทั่วป๋าฉินซินยิ้มขมขื่นออกมา กล่าวยิ้มๆ “ชั่วชีวิตก่อนหน้านี้ของข้าล้วนใช้ชีวิตไปกับคำสัญญาเพ้อฝัน เอาแต่คิดว่าตัวเองนั้นดีที่สุด เอาแต่คิดว่าตัวเองย่อมได้รับทุกสิ่งตามที่ต้องการ ผลลัพธ์เล่า? เป็นข้าที่ใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นมาโดยตลอด แต่นับตั้งแต่วันนี้และบัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะมีชีวิตเพื่อลูกและตัวข้าเองเท่านั้น!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเรียบนิ่ง ไม่ได้รับบทสนทนา ทั่วป๋าฉินซินในยามนี้ไม่ได้ต้องการให้คนกล่าวเห็นพ้องไปกับนาง แต่อยากให้มีใครคนหนึ่งสามารถรับฟังนางได้เท่านั้น
“ฮูหยินใหญ่ที่อยู่ด้านบนนั้นข้าไม่อาจแตะต้อง ทั้งไม่กล้าแตะต้องด้วย” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวด้วยยิ้มเย็น “ข้ารู้ว่า ไม่ว่านางจะสมควรตายหรือไม่ แต่หากกล้าแตะต้องนาง ซั่งกวนฮ่าวก็ย่อมจะใช้วิธีโหดร้ายที่แม้แต่ข้ายังคาดไม่ถึงมาสังหารข้าแน่ ทั้งคงจะตัดรากถอนโคนลูกชายของข้าอย่างไร้ความเมตตา เดิมทีย่อมไม่สนใจว่าเขาเป็นหลานของตัวเองหรือไม่ ดังนั้น ข้าจึงทำได้เพียงนำของของล้ำค่าที่อยู่ข้างกายนาง ของที่นางหวงแหนที่สุดเหล่านั้นหายไป พี่สะใภ้คงไม่รู้ ในยามที่นางพบว่าของที่ตัวเองเก็บมาชั่วชีวิตสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน ยามที่นางเป็นลมล้มพับไป ความแค้นที่เก็บสะสมในใจของข้าตลอดสองปี จู่ๆ พลันหายไปในพริบตา…หากไม่ใช่เพราะนางที่ตั้งแต่เด็กก็เอาแต่พร่ำบอกกับข้าว่า ข้าต้องแต่งงานกับลูกผู้พี่ ต้องกลายเป็นนายหญิงของตระกูลซั่งกวน ตั้งแต่นั้นมาข้าคงไม่เอาแต่มองลูกผู้พี่หรอก ยิ่งไม่อาจทำเรื่องพวกนั้นหลังจากที่ท่านแต่งให้กับลูกผู้พี่แล้ว ข้ามีวันนี้ได้ ก็เพราะนางที่เป็นต้นเหตุ!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเผยยิ้มบาง เงียบอยู่เช่นนั้น แม้แต่มุมปากที่ยกยิ้มยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต้น้อย
“ต่อมาก็คืออวี่ไข่!” จู่ๆ ทั่วป๋าฉินซินก็เผยยิ้มอย่างสดใส “ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้จะเอาเรื่องทั้งหมดที่ข้าพูดในวันนี้ไปบอกคนอื่นหรือไม่? อย่างเช่นซั่งกวนฮ่าว? หรือไม่ก็ซั่งกวนเจวี๋ย? คนอื่นข้าไม่รู้ แต่หากซั่งกวนฮ่าวรู้ว่าข้าอยากจะสับลูกชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายคนนี้ของเขาให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ เขาจะทำอย่างไรกันนะ? ข้าอยากจะรู้เสียจริง!”
ท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเหมือนเดิม นางไม่คิดจะสนใจเรื่องราวระหว่างอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซิน บอกความตั้งใจของทั่วป๋าฉินซินให้ซั่งกวนฮ่าวฟังอย่างนั้นหรือ? อย่าตลกไปหน่อยเลย! อย่าพูดเลยว่าซั่งกวนฮ่าวจะสงสัยตัวเองว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่…เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อโดยสิ้นเชิงว่า ยามนี้ทั่วป๋าฉินซินย่อมสามารถควบคุมพวกอวี่ไข่อยู่หมัด หากตัวเองพูดไม่ดีอะไรเกี่ยวกับนางล้วนจะถูกคนพวกนั้นโต้แย้งกลับมา ทั้งอาจจะกล่าวหาว่าตัวเองตอกย้ำซ้ำเติมผู้อื่น
แม้ว่าซั่งกวนฮ่าวจะเชื่อตัวเองแล้วอย่างไร ปลิดชีวิตทั่วป๋าฉินซิน จากนั้นก็รับอวี่ไข่และพวกอนุภรรยาหนิงกลับมา? นั่นไม่เท่ากับว่าทำให้ตัวเองลำบากไปชั่วชีวิตหรอกหรือ? นางไม่อาจทำเรื่องเช่นนั้นหรอก!
“แต่ข้าเชื่อว่าพี่สะใภ้คงไม่พูด” จู่ๆ ฉินซินก็เปลี่ยนสีหน้า กล่าวอย่างจริงจัง “พี่สะใภ้เป็นคนหลักแหลม อย่างน้อยก็หลักแหลมกว่าข้าอยู่มาก ย่อมรู้ดีว่าเรื่องอะไรทำได้เรื่องอะไรทำไม่ได้! พี่สะใภ้ ท่านวางใจเถิด ข้าไม่อาจทำให้อวี่ไข่ถึงตาย แม้ตระกูลซั่งกวนจะลบชื่ออวี่ไข่ออกแล้ว แต่ย่อมต้องดูแลอวี่ไข่และพวกเราสองแม่ลูกอยู่ดี หากอวี่ไข่ตาย การใช้ชีวิตของข้าก็จะยากลำบากมากจริงๆ เข้าไม่อาจทำเรื่องโง่เช่นนั้นหรอก แต่ว่า ชีวิตในภายหลังของเขาก็จะเหมือนกับข้าขังสุนัขเลี้ยงอยู่ในกรง ข้าจะทำให้เขาทุกข์ระทม แต่ก็ไม่ถึงกับอยู่ต่อไปไม่ได้ คนอื่นๆ นั้นพูดยากแล้ว แต่ความเป็นความตายของคนพวกนั้น คาดว่าตระกูลซั่งกวนคงจะไม่สนใจเช่นกัน!”
คนที่นางพูดถึงคืออนุภรรยาหนิงและแม่นมหนิงกระมัง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าใจว่าคนอื่นๆ ของนางหมายถึงใคร สองคนนั้นเป็นคนที่ซั่งกวนฮ่าวและทั่วป๋าซู่เยวี่ยชิงชังอย่างถึงที่สุด หากแม่นมหนิงกลับตระกูลซั่งกวนย่อมจะถูกทั่วป๋าซู่เยวี่ยทำให้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย และจุดจบที่ละมุนละม่อมที่สุดของอนุภรรยาหนิงอาจจะถูกส่งไปอยู่ที่วัดประจำตระกูลชั่วชีวิต!
“พี่สะใภ้เป็นคนที่ใจอ่อนมาโดยตลอด” ทั่วป๋าฉินซินจนถึงยามนี้ก็ยังไม่เข้าใจนิสัยที่แท้จริงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “อาจคิดว่าข้าทำอย่างนี้ไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่าที่จะเอาทั้งชีวิตของตัวเองลงไปเกลือกกลั้ว แต่ชั่วชีวิตนี้ของข้าได้ถูกทำลายตั้งแต่ยามที่อวี่ไข่แปลงกายเป็นลูกผู้พี่ ทำลายความบริสุทธิ์ของข้าแล้ว ข้าทำได้เพียงกลายเป็นลูกที่ถูกทอดทิ้ง ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำในใจแต่งงานกับเขา เพื่อครึ่งชีวิตที่เหลือของตัวเอง ยังจำต้องข่มกลั้นความขยะแขยงร่วมเตียงเคียงหมอนกับเขา ให้กำเนิดบุตรแก่เขา…แต่ว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและลูกชาย ย่อมไม่อาจให้เขากลายเป็นคนอย่างอวี่ไข่ได้”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบถอนหายใจ ทั่วป๋าฉินซินคล้ายกับมาถึงยามนี้แล้วก็ยังคิดไม่ได้ นางก้าวมาถึงจุดนี้ นอกจากคนรอบกายแล้ว ตัวเองก็นับเป็นส่วนสำคัญที่สุด อวี่ไข่ไม่นับเป็นสิ่งดีงามอันใดทั้งสิ้น แต่ชีวิตของนางยังอีกยาวไกล นางเปลี่ยนอวี่ไข่ให้กลายเป็นคนรักที่อยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิตได้ แต่ต้องไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกตายไปเช่นนี้ แต่เมื่อครุ่นคิดได้เช่นนี้ นางกลับไม่ได้กล่าวเตือนอะไรทั่วป๋าฉินซินแม้แต่คำเดียว แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่ใช่คนใจกว้าง ทั้งไม่คิดที่จะให้อภัยพวกเขาอยู่แล้ว
“ข้าจะบอกความลับหนึ่งแก่ท่าน” จู่ๆ ฉินซินก็ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “เรื่องที่อวี่ไข่ถูกตระกูลซั่งกวนลบชื่อออก เป็นข้าเองที่ให้คนเอาไปเปิดเผยแก่อ๋องฉี คนอื่นๆ ข้าไม่รู้ แต่อ๋องฉีนั้นเอ็นดูลูกอนุภรรยาที่ไม่เอาไหนผู้นั้นราวกับแก้วตาดวงใจ เพียงแค่หวั่นเกรงอำนาจของตระกูลซั่งกวนและตระกูลทั่วป๋าอยู่เรื่อยมา ดังนั้นจึงทำได้เพียงเก็บความเคียดแค้นไว้ในใจ ข้าให้คนไปบอกเขาว่า ตระกูลซั่งกวนลบชื่ออวี่ไข่ออกจากตระกูล ส่วนข้าก็เป็นลูกที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลทั่วป๋า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกล้ามาล้างแค้น!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไร้คำจะพูด ซั่งกวนเจวี๋ยก็รู้สึกแปลกใจ เรื่องที่อวี่ไข่ถูกลบชื่ออกจากตระกูล แค่ในลี่โจวก็ไม่ได้ทำเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นที่คนรู้ทั่วกันขนาดนั้น แต่เหตุใดอ๋องฉีที่อยู่เซิ่งจิงจึงรับรู้ได้ ยังคิดไปว่าอ๋องฉีเอาแต่คอยที่จะแก้แค้นเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแผนร้ายของทั่วป๋าฉินซิน
“ยังมีอีกความลับหนึ่ง!” ทั่วป๋าฉินซินทำคล้ายกับว่าข้อมูลนี้ยังทำให้คนตกใจไม่พอเสียอย่างนั้น กล่าวเบาๆ “วันนั้นที่อวี่ไข่กลับมา ข้าให้หมอฉวยโอกาสในยามที่รักษาอวี่ไข่ ผ่าเอ็นร้อยหวายแยกออกมาชิ้นหนึ่ง แม้ว่าวิชาแพทย์ของลุงอินจะสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้เขาฟื้นตัวขึ้นมาได้หรอก ชั่วชีวิตนี้ของเขาย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมายืนได้อีกแล้ว!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเงียบงัน คำโบราณที่ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือจิตใจของหญิงสาว กล่าวไว้ไม่ผิดจริงๆ! ทั่วป๋าฉินซินในยามนี้ได้ถูกความแค้นกลืนกินความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปหมดแล้ว ถ้าการกระทำเช่นนี้ของนางทำให้คนตระกูลซั่งกวนคนใดรู้เข้า นางย่อมต้องตายอย่างอเนจอนาถเป็นแน่
“นี่เป็นความลับระหว่างพวกเราสองคนเท่านั้น พี่สะใภ้ต้องช่วยข้าปิดไว้ด้วย” รอยยิ้มของทั่วป๋าฉินซินดูโหดร้ายขึ้นมา “ไม่ว่าจะเป็นความลับอันไหน หากถูกคนรู้เข้า ข้าก็ย่อมหนีความตายไม่พ้น หากเป็นเช่นนั้น อวี่ไข่และลูกน้อยของข้าก็คงจะลอยหน้าลอยตาอยู่เบื้องหน้าท่านแล้ว!”
———————-
“คุณหนู เหตุใดท่าน…” ชิงหยาเห็นเงาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และจื่อหลัวเดินห่างออกไปก็กังวลอยู่บ้าง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดทั่วป๋าฉินซินต้องพูดเรื่องพวกนี้ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังด้วย นางไม่กลัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเอาไปบอกคนของตระกูลซั่งกวนหรอกหรือ?
“ข้าเพียงไม่อยากเก็บเอาไว้ให้ไม่สบายใจเท่านั้น” ทั่วป๋าฉินซินหัวเราะอย่างเย็นเยียบขึ้นมา “ข้าไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเรื่องพวกนี้จะรู้ไปถึงหูคนของตระกูลซั่งกวนหรือไม่ หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์บอกเรื่องพวกนี้กับตระกูลซั่งกวน พวกเขาก็ย่อมสามารถยืนยันจากเบาะแสร่องรอยได้ จากนั้นก็อาจจะสังหารข้าอย่างเงียบๆ แต่อวี่ไข่คงไม่อาจเชื่อแน่ เช่นนั้นอวี่ไข่ย่อมจะสร้างความลำบากให้แก่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปชั่วชีวิต และลูกของพวกเราจะมองนางเป็นดั่งศัตรูที่ฆ่ามารดา หากนางเข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ก็จะปิดไว้ไม่พูด แม้คนผู้นี้จะฉลาดมาก แต่กลับมีนิสัยใจอ่อน ย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเลือกด้านใด นางก็ล้วนจะทุกข์ทน จุดประสงค์ของข้าก็นับว่าสำเร็จผลแล้ว!”
ชิงหยาถอนหายใจเล็กน้อย ยามนี้ทั่วป๋าฉินซิน นอกจากการแก้แค้น ก็คล้ายจะไม่สนใจอันใดอีกแล้ว ในยามที่นางอุ้มลูกก็เผยความเอ็นดูสงสารขึ้นมา แต่ก็เป็นเพียงเวลาชั่วครู่เท่านั้น ไม่ได้ทำให้อ่อนโยนลงแต่อย่างใด การใช้ชีวิตเช่นนี้เมื่อใดจะจบลงกัน…
และสิ่งที่ทำให้พวกนางคาดไม่ถึงคือ เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไม่มีความรู้สึกผิดในใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับคิดว่าเพื่อรักษาภาพพจน์ที่ดีของตัวเอง จะใจกว้างปล่อยความเคืองแค้นที่มีต่อพวกเขาทั้งหมดไป หลังจากกลับจวนก็เพียงเอ่ยถึงทั่วป๋าฉินซินที่มีท่าทางซูบเซียว อย่างอื่นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแล้ว…