เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 29 เหตุบังเอิญบังเกิด
อวี้เมิ่งเหยาและหญิงงามรวมสามคนจำเป็นต้องย้ายไปที่เรือนหิมะสุขใจก่อนงานแต่งงานของซั่งกวนเจวี๋ยซึ่งได้มีการตัดสินใจมาตั้งนานแล้ว การโยกย้ายในวันนี้จึงเจรจาตกลงกันด้วยดี…งานแต่งงานของซั่งกวนเจวี๋ยจะมีหญิงงามคนสนิทอาศัยอยู่ในครอบครัวนั้นมันจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เรือนด้านทิศใต้กับเรือนทิศเหนือจะว่างลงเพื่อต้อนรับคุณชายคุณหนูของตระกูลชนชั้นสูง ไม่ต้องพูดถึงเกียรติศักดิ์ของคนเหล่านั้น ยังมีอีกไม่น้อยที่เป็นสหายสนิทของซั่งกวนเจวี๋ย ซึ่งเป็นมิตรภาพที่ไม่ธรรมดา จะมองข้ามไม่ได้ ดังนั้น หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ จึงได้ปรึกษาหารือกับซั่งกวนฮ่าวและบุตรชายมาก่อนแล้ว และอธิบายสถานการณ์กับหญิงงามแขกพิเศษทั้งสามคน หญิงงามทั้งสาม ‘รู้ถึงความชอบธรรม’ จึงเห็นด้วยและยินดีตัดสินใจย้ายไปพักที่เรือนหิมะสุขใจชั่วคราว ตามเจตนาเดิมคือก่อนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมาถึงลี่โจว ก็ให้ทั้งสามคนออกจากเรือนทางใต้แล้วไปที่เรือนหิมะสุขใจ ใครจะรู้ว่าคนของตระกูลเยี่ยนจะมาถึงเร็วมาก ช่างประจวบเหมาะอะไรปานนั้น?
น่าเสียดายตอนที่พวกนางออกจากตระกูลซั่งกวนคลาดกันไปเพียงนิดเดียว เด็กสาวทั้งหลิงลี่กับจิงอิ๋งอาศัยสุ่ยอวิ๋นสาวใช้ตัวน้อยที่รับใช้จิงอิ๋ง ให้ปล่อยข่าวลือออกมา โดยบอกว่านายท่านพูดแล้ว จะขับไล่อู๋เลี่ยนเยี่ยนซึ่งไร้ชื่อไร้ฐานะมาพักที่ตระกูลซั่งกวนให้ออกไปก่อนงานแต่งงานของคุณชายใหญ่จะจัดขึ้น เพื่อไม่ให้ภรรยาของคุณชายใหญ่เห็นแล้วจะไม่สบายใจ
สิ่งที่หลิงลี่คิดนั้นง่ายมาก หากอู๋เลี่ยนเยี่ยนรู้เรื่องนี้ จะต้องร้อนใจและมีน้ำโหแน่นอน นางอาจยุยงให้หลิงหลงไปพบพี่สะใภ้เจวี๋ยที่เรือนสดับวายุ จากนั้น พวกนางก็จะสะกดรอยตามหลิงหลง ขัดขวางพวกนาง ป้องกันพวกนางที่อาจจะไล่ฟันธงอย่างไร้เหตุผลกับพี่สะใภ้เจวี๋ย แล้วตามไปตลอดทางจนถึงเรือนสดับวายุ เพื่อจะได้เห็นพี่สะใภ้เจวี๋ย และจะไม่เป็นไก่ตัวนั้นที่ถูกเชือดให้ ‘ลิงดู’ มันช่างวิเศษจริงๆ!
เรื่องบังเอิญจึงเกิดขึ้น สุ่ยอวิ๋นผู้แพร่กระจายข่าวลือกับสุ่ยเหยาผู้ป่าวประกาศข่าวล่าสุดได้ปะทะกัน สุ่ยเหยาพูดอย่างฉะฉานว่าคุณชายใหญ่ส่งสาวงามคนสนิทหลายคนไปที่เรือนหิมะสุขใจอย่างอาลัยอาวรณ์ และนางหัวเราะเยาะเย้ยอย่างมีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่น หลังจากถามใครก็รู้ว่าต้องมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่ในนั้น? หลังจากระดมความคิดอย่างกว้างๆ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า นั่นคือการไว้หน้าให้ภรรยาคุณชายใหญ่ในอนาคต! ฮูหยินชอบภรรยาคุณชายใหญ่ในอนาคต ต่อให้เป็นคนนอกจวนก็รู้ นับประสาอะไรกับคนในจวนอย่างพวกนางนี้? จึงสาธยายพูดคุยกันว่าภรรยาคุณชายใหญ่ในอนาคตเป็นคนแบบไหน ผลของการสนทนาคือภรรยาคุณชายใหญ่ต้องงดงามและมากความสามารถเป็นแน่…ตามที่คุณหนูรองชื่นชมอย่างออกหน้าออกตาหลังอาหารค่ำเมื่อคืนวาน คุณหนูรองที่เป็นคนไร้เดียงสามาตลอด สิ่งที่นางพูดไม่ได้มีน้ำหนักมากเหมือนอย่างคนอื่นๆ แล้วก็มีคนเอ่ยออกมาว่า เหตุใดวันนี้ต้องส่งแขกผู้มีเสน่ห์ทั้งสามออกไปตั้งแต่เช้าตรู่? เป็นเพราะคุณชายใหญ่ก็มีใจชื่นชอบว่าที่ภรรยาผู้งดงาม อ่อนโยนและมีความสามารถรอบตัวคนนั้น…ด้วยเหตุนี้จึงรีบกุลีกุจอให้แขกผู้มีเสน่ห์ทั้งสาม… ‘กวาดออกไปนอกเรือน?’ ทุกคนต่างเห็นด้วยอยู่ลึกๆ! ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ สุ่ยอวิ๋นผู้รับผิดชอบแพร่กระจายข่าวลือกล่าวอย่างลึกลับมีเงื่อนงำว่า “ได้ยินมาว่า คุณหนูอู๋ที่คิดว่านางเหนือกว่าใครๆ ผู้นั้นก็เป็นรายต่อไปที่จะถูกขับไล่ออกไป!”
อู๋เลี่ยนเยี่ยนมีฐานะอะไร? หลานสาวของอนุภรรยาอู๋ ผู้ที่สลัดหลุดจากการเป็นบ่าวแล้วถือว่าตัวเองเป็นถึงบุตรสาวของตระกูลชั้นสูงจอมปลอม! ผู้ที่เข้าไปรับใช้ในจวนได้ล้วนเป็นลูกหลานของบ่าวที่เกิดในเรือนเบี้ย ซึ่งไม่รู้เส้นสนกลในของนาง แม้คุณหนูจะบอกว่านางเข้ามาเป็นสหายอยู่ในจวน และมองว่านางเป็นคนสนิท แต่ในสายตาของสาวใช้เหล่านี้ นางเป็นเพียงบ่าวไพร่ที่ไม่มีสาวรับใช้แค่นั้น สิ่งที่น่าขันคืออู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่รู้ตัว จึงแสดงท่าทางหยิ่งผยองต่อหน้าสาวใช้เหล่านี้ แล้วนางยังจะยินดีต้อนรับขับสู้คนอื่นได้อีกหรือ?
ทันทีที่สุ่ยอวิ๋นพูดประโยคนี้ออกมา สาวใช้เหล่านี้ก็ตาสว่างขึ้น แย่งกันพูดคุยถึงความจริงของเรื่องนี้จนฟังไม่ได้ศัพท์ และเจ้านายที่จะพูดเรื่องนี้ได้จะเป็นใคร แม้กระทั่งพูดคุยกันถึงว่านางจะถูกขับไล่ออกไปอย่างไร ยังมีสาวใช้ที่เห็นอกเห็นใจคล้ายกับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรนักหนาทำนองนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ช่างน่าสงสารจริงๆ! ต้องถูกไล่ออกไปแบบนั้น ยังจะเป็นผู้เป็นคนได้อีกไหมในอนาคต? ผู้คนย่อมจะรู้ว่านางประพฤติไม่ดี เดาว่านางแค่อยากจะแต่งงานกับใครสักคนแต่คงไม่มีคนดีมาขอ”
อย่างที่คำโบราณกล่าวไว้ยอมแต่งงานกับสาวใช้ของตระกูลใหญ่ดีกว่าแต่งกับบุตรสาวของตระกูลเล็ก สาวใช้ชั้นหนึ่งและชั้นสองของตระกูลซั่งกวนจะออกเรือน ตราบเท่าที่อายุครบเกณฑ์ หากคนที่จะแต่งงานด้วยคือพ่อบ้านของตระกูลซั่งกวนหรือเด็กหนุ่มรับใช้ นางจะได้เป็นเมียของพ่อบ้านในจวน หากคนที่แต่งงานด้วยไม่ได้มาจากตระกูลซั่งกวน ผู้เป็นนายจะยกเลิกสถานะบ่าวของนาง มอบสินเดิมอย่างสมศักดิ์ศรีให้กับนาง ทุกๆ ปีจะมีครอบครัวดีที่มั่งคั่งมาสู่ขอแต่งงาน ถ้าได้แต่งงานกับสาวใช้ชั้นเยี่ยมของตระกูลซั่งกวน จะมีหน้ามีตามากยิ่งกว่าแต่งงานกับคุณหนูจากตระกูลเล็กๆ คนที่ฐานะครอบครัวไม่ดีก็ไม่กล้าฝันลมๆ แล้งๆ เช่นนั้นหรอก!
สาวใช้ทุกคนหัวเราะเยาะในหัวข้อนี้ ต่างพูดคุยกันว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนเหมาะจะแต่งงานกับใคร เป็นพ่อบ้านที่มีเกียรติบ้างหรือชายที่ทำงานจับกัง…และในตอนนั้นนั่นเองที่ม่านชิงเดินผ่านไปได้ยินทุกคนพูดคุยและหัวเราะ เมื่อรู้ ‘ความจริง’ จากปากของสาวใช้ตัวน้อยกลุ่มนั้น ม่านชิงก็อดรู้สึกตื่นเต้นและดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่ได้ จึงเล่าเหตุการณ์นี้ให้คุณหนูของตัวเองฟังโดยเร็วที่สุด ในขณะเดียวกันก็ได้ยิน ‘ความจริง’ ที่ไม่รู้ว่าต้องคาดเดาอีกมากมาย รวมถึงวิธีการคิดด้วย อู๋เลี่ยนเยี่ยนจึงลองพยายามเกลี้ยกล่อมให้หลิงหลงมาที่เรือนสดับวายุ…
“ใครเป็นคนแพร่ข่าวลือ?” ใบหน้าของอู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นสีเขียวปั๊ด แต่ไม่ว่าอย่างไรนางยังจำได้ว่า ที่นี่คือเรือนสดับวายุ แม้สีหน้าจะดูเหยเก แต่ยังคงรักษาท่าทางที่อ่อนโยนไว้ น้ำเสียงของการซักถามนั้นดูเศร้าอาดูรและอมทุกข์ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางเพียงแค่เหลือเชื่อ จึงไม่ได้ตั้งคำถาม
“ข้าก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน เพียงแค่ได้ยินสาวใช้ตัวน้อยกลุ่มหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่นั่นพูดกระซิบกระซาบกัน แต่ข้าเห็นสุ่ยเหยาที่รับใช้คุณชายใหญ่ สุ่ยอวิ๋นที่รับใช้คุณหนูรองก็อยู่ที่นั่นด้วย!” ม่านชิงไม่อยากลดตัวให้กับนางที่เรียกตัวเองว่าเป็นบ่าว จึงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่เท่าเทียมกัน แม้อู๋เลี่ยนเยี่ยนจะกัดฟันด้วยความคับแค้นใจ แต่ก็ไม่กล้าจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ…หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเคยพูดอย่างชัดเจนว่า นางเป็นเพียงบ่าวที่เกิดในเรือนเบี้ยของตระกูลหวงฝู่ แม้จะหลุดจากการเป็นบ่าวแล้ว แต่บ่าวไพร่ของตระกูลซั่งกวนก็พูดให้เกียรติกับอดีตบ่าวไพร่ของตระกูลหวงฝู่ ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นคนมีการศึกษา อ่อนน้อมถ่อมตนและมีมารยาท แต่ถ้าเรียกตัวเองว่า ‘บ่าวไพร่’ หรืออะไรสักอย่าง มันก็ไม่ดี ไม่เพียงจะเสียหน้าตระกูลซั่งกวน แต่ยังทำร้ายมิตรภาพระหว่างสองตระกูล ดังนั้นจึงเตือนบรรดาคนรับใช้ถึงการใช้คำและน้ำเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า และยังประจบประแจงนางต่อหน้าธารกำนัล สาวใช้ชั้นสามจึงเรียกตัวเองว่าเป็น ‘บ่าวไพร่’ เพื่อเตือนใจพวกทำผิดเพราะเลียนแบบผู้อื่น ตั้งแต่นั้นมาสาวใช้ชั้นหนึ่งของตระกูลซั่งกวนส่วนใหญ่ก็แสดงท่าทางว่ามีศักด์ศรีเท่าเทียมกับนาง
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อได้ฟังคำพูดที่น่าหลงใหลของยัยเด็กจิงอิ๋งนั่น พี่ใหญ่ก็ประทับใจคุณหนูตระกูลเยี่ยน ก่อนที่นางจะแต่งเข้ามา จึงรักษาหน้าให้นางมากๆ ไม่เพียงพาคุณหนูสองสามท่านที่อาศัยอยู่ในเรือนทางทิศใต้ไปที่เรือนอีกแห่ง แต่ยังจะส่งเลี่ยนเยี่ยนออกจากจวนอีกหรือ? ช่างไร้สาระสิ้นดี!” ไม่ว่าอย่างไรหลิงหลงก็รู้สึกเป็นเรื่องเหลวไหล พี่ใหญ่จะเป็นคนเช่นนั้นไปได้หรือ?
“พวกสาวใช้เหล่านั้นพูดแบบนี้ บ่าวมิกล้าพูดจาส่งเดช!” ม่านชิงไม่กล้าพูดว่าในใจตัวเองมีความสุขมากแค่ไหนเมื่อทราบข่าวนี้ อู๋เลี่ยนเยี่ยนควรจะไสหัวออกจากตระกูลซั่งกวนไปตั้งนานแล้ว
“พวกคุณหนูอวี้มีปฏิกิริยาอย่างไร?” หลิงหลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางไม่ได้เกลียดชังต่อแขกผู้มีเสน่ห์สองสามคนในเรือนทางใต้เหมือนอย่างอู๋เลี่ยนเยี่ยน ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกดีกับหวงเซียวเซียงผู้มีเล่ห์กลรอบด้านและสือหย่าฉีผู้คล่องแคล่วปราดเปรียวสักเท่าใด และติดต่อกันน้อยครั้ง แต่กลับชื่นชมอวี้เมิ่งเหยามาก หลังจากที่อวี้เมิ่งเหยาย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนทางใต้ ทั้งสองก็พบกันเพื่อสันทนาการทั้งชื่นชมทัศนียภาพและแต่งบทกวี ชงชาพูดคุยกันและเป่าขลุ่ย ซึ่งได้สร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้นบ้าง
“พวกคุณหนูอวี้ย้ายไปที่เรือนหิมะสุขใจในเช้าตรู่ของวันนี้ ได้ยินมาว่าข้าวของของพวกนางถูกย้ายออกไปหมดแล้ว สถานที่ที่พวกนางเคยอาศัยอยู่ก็ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน และไม่เหลือร่องรอยไว้เลย คุณหนู บ่าวรู้สึกว่าสำนวนการพูดเหล่านี้แม้ฟังดูไร้สาระอยู่บ้าง แต่มันอาจจะไม่โคมลอย” คำพูดของม่านชิงทำให้สีหน้าของอู๋เลี่ยนเยี่ยนน่าเกลียดยิ่งขึ้น
“หรือจะบอกว่านี่อาจไม่ใช่ข่าวลือ?” หลิงหลงรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างร้ายแรง แม้แต่แขกที่ได้รับเชิญจากพี่ใหญ่ก็ ‘ถูกเนรเทศออกนอกเรือน’ จึงไม่น่าแปลกใจที่อู๋เลี่ยนเยี่ยนจะถูกส่งกลับบ้านตระกูลอู๋
ไหนเลยพวกนางจะรู้ว่า มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เด็กหญิงสองคนนี้ปลุกปั่นให้เกิดขึ้นเท่านั้นเอง!
ดังนั้น อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็ตื่นตระหนกเช่นกัน ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ…ไม่ เป็นไปไม่ได้ ท่านป้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แต่…แต่ว่า…
“บ่าวมิกล้าพูด!” ม่านชิงตอบอย่างมีชั้นเชิง แต่น้ำเสียงและท่าทางนั้นแสดงให้เห็นว่านางเชื่อในคำพูดนี้มากแค่ไหน และเหลือบมองอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่ไม่สบายใจเล็กน้อยอย่างเห็นอกเห็นใจมากอยู่แวบหนึ่ง
“แม่นม เจ้าคิดว่าอย่างไร?” หลิงหลงถามแม่นมหวังที่เงียบมานาน แม่นมหวังเคยเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างรับใช้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ หลิงหลงเป็นคนที่นางดูแลจนเติบใหญ่ และเป็นแม่นมที่นางไว้ใจมากที่สุด น่าเสียดายที่กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหวังถึงดีกับอนุภรรยาอู๋ พูดคุยและทำงานให้ผู้หญิงคนนั้นด้วยความจริงใจ
“คุณหนู นี่อาจจะเป็นข่าวลือ! แต่ม่านชิงพูดถูก ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่มีมูลละก็ ต่อให้พวกสาวใช้จะปากเสียก็ตาม จะไม่กล้าพูดนินทาสุ่มสี่สุ่มห้า บ่าวคิดว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับคุณหนูตระกูลเยี่ยนหรือไม่?” แม่นมหวังพูดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ นางได้รับประโยชน์จากอู๋เลี่ยนเยี่ยน จึงรู้ว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนต้องการจะไปเจอว่าที่ภรรยาคุณชายใหญ่ในหลายวันนี้ เพื่อดูว่าเป็นคนแบบไหนกันแน่ สามารถปราบคุณหนูรองที่แก่นแก้วอย่างลิงป่าได้ ทั้งยังพูดดีๆ ให้กับนางอีกด้วย
“เจ้าหมายความว่าคุณหนูตระกูลเยี่ยนที่อยู่เรือนนั้นเล่นลูกไม้นี้หรือ?” หลิงหลงจึงโยนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นแพะรับบาปในทันใด นางไม่เคยได้ยินว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีอะไรดีเลย โดยไม่นับคำพูดของจิงอิ๋ง การจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการโต้กลับเท่านั้นเอง…สิ่งเลวร้ายก็ย่อมต้องเป็นคนเลวทำอยู่แล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คือคนร้ายคนนั้น!
“บ่าวไม่กล้าพูดแบบนั้น!” น้ำเสียงและการแสดงออกของแม่นมหวังเจือความกังวลใจอย่างอธิบายไม่ถูกเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “คุณหนู คุณหนูตระกูลเยี่ยนจะเป็นภรรยาคุณชายใหญ่ในอนาคต และเป็นคนโปรดปรานของฮูหยินอีกด้วย ย่อมต้องเป็นคนดีแน่ๆ เพียงแต่บ่าวไม่เข้าใจว่า เหตุใดก่อนที่นางจะก้าวมาถึงเรือนสดับวายุ คุณชายใหญ่ก็ส่งคุณหนูทั้งสามที่อาศัยอยู่ในเรือนทางใต้ไปที่เรือนอีกแห่งอย่างกระชั้นชิด? แล้วยังมีข่าวลือว่าจะส่งคุณหนูเลี่ยนเยี่ยนออกไปอีกหรือ? คุณหนูทั้งสามเป็นหญิงงามคนสนิทของคุณชายใหญ่ ทว่าชื่อเสียงและสถานะยังไม่ได้รับการกำหนด เพื่อจะให้เกียรติภรรยาคุณชายใหญ่ในอนาคต การทำแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่คุณหนูเลี่ยนเยี่ยนเล่า? นางไม่เพียงเป็นหลานสาวทางฝั่งของอนุภรรยาอู๋ เป็นญาติพี่น้องกับตระกูลซั่งกวน และยังเป็นสหายสนิทของคุณหนูอีกด้วย การทำแบบนี้ออกจะข่มเหงกันเกินไปเสียหน่อย เหมือนตบหน้าท่านเลย!”
ม่านชิงขมวดคิ้วมุ่นแล้วออกไปยืนเฝ้าอยู่นอกประตูเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยินคำพูดของแม่นมหวัง จึงไม่กล้าพูดอะไรออกมา ถ้านางกล้าพูดแบบนั้นจริงจะต้องลอยไปเข้าหูของฮูหยิน เกรงว่าชีวิตดีๆ ของนางจะจบลงแล้ว! สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือ คุณหนูต้องพึ่งพาและเชื่อใจในตัวนางมาก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง จะปกป้องนางอย่างแน่นอน แล้วผลักตัวเองออกไปรับเคราะห์แทน ตัวเองจึงทำได้เพียงปกป้องนางเท่านั้น
“แม่นมหวังอย่าพูดอย่างนั้น นางจะเป็นภรรยาของคุณชายใหญ่ที่กำลังจะแต่งเข้ามา นางจะขับไล่ข้าออกจากตระกูลซั่งกวนก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ต่อไปจะไม่ได้มาเป็นเพื่อนเล่นกับคุณหนูได้อีกในทุกวัน” ดวงตาของอู๋เลี่ยนเยี่ยนแดงก่ำ ข่มกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมาแล้วพูดว่า “คุณหนู ข้าจะไปแล้ว!”
“เจ้าจะไปไหน?” หลิงหลงอารมณ์หงุดหงิด ใช่แล้ว การทำแบบนี้ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาเลยหรืออย่างไร แม้อู๋เลี่ยนเยี่ยนจะบอกว่าชอบพี่ใหญ่ แต่ในนามแล้วเลี่ยนเยี่ยนก็เป็นเพื่อนของนางเอง
“ข้าจะไปเก็บข้าวของออกจากจวน หรือจะยังต้องรอให้ใครมาไล่ก่อนออกไปจริงๆ งั้นหรือ? การพูดแบบนี้ออกมาก็เพียงแค่ไว้หน้าท่านกับอนุภรรยาเล็กน้อย ถ้าข้าออกไปคนเดียว ท่านกับอนุภรรยาก็จะไม่อับอายขายหน้า” อู๋เลี่ยนเยี่ยนหยัดกายขึ้นอย่างเศร้าสร้อย แล้วทำท่าว่าจะจากไป
“เจ้าอย่าหลงเชื่อพวกเขา ข้าจะไปดูว่าใครกล้าไล่คนออกไป แม่นม ให้คนเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปที่เรือนสดับวายุ! ข้าอยากเห็นคุณหนูเยี่ยนจะน่าทึ่งสักแค่ไหน นี่ยังไม่ได้แต่งเข้าเรือนก็อยากจะเป็นนายหญิงของบ้านแล้ว” ในที่สุดหลิงหลงก็สูญเสียสติสัมปชัญญะ และไม่สนใจว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเคยพูดอะไรไว้
“คุณหนู อย่าไปนะเจ้าคะ!” แม่นมหวังแสร้งทำเป็นหยุดนางแล้วพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ฮูหยินเคยบอกว่า ไม่อนุญาตให้ไปรบกวนคุณหนูตระกูลเยี่ยนที่เรือนสดับวายุ ถ้านางรู้เข้า จะลงโทษท่านอย่างรุนแรง คุณหนูเลี่ยนเยี่ยนต้องออกจากจวนอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะกังวลว่าท่านจะเสียหน้าไม่ใช่หรือ?”
“ข้าจะไม่มีหน้าอยู่ต่อถ้าปล่อยให้คนอื่นรังแกแบบนี้ ม่านชิง ยังไม่ไปเตรียมอีก คุณหนูอย่างข้าจะออกไปแล้วนะ!” หลิงหลงไม่มีโอกาสได้ขบคิดเลย แม่นมหวังกับอู๋เลี่ยนเยี่ยนสบตากันแวบหนึ่ง แอบดีใจ ถ้าหลิงหลงเป็นเช่นนี้ จะต้องไม่ไว้หน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างแน่นอน หากทั้งสองคนเกิดขัดแย้งกันตั้งแต่นี้ไป ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่งเข้าเรือนจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาด้วย เมื่อถึงเวลานั้น…
———————————-