เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 31 ตักเตือน
“คล้ายกับดอกกล้วยไม้ที่บานสะพรั่ง กลิ่นหอมคละคลุ้งจนติดจมูก ลุ่มลึกแต่ก็ไม่สูญเสียความสง่างาม เป็นความรู้สึกที่ลงตัวอย่างพอดี!” หลิงหลงกล่าวอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“ข้าก็มีความรู้สึกเช่นนี้จึงได้ชอบชาเถี่ยกวนอิน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเบิกบาน คล้ายกับว่าได้พบเจอบางสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ จึงสามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน “ข้าชอบเถี่ยกวนอิน เริ่มแรกก็เพราะทุกปีฮูหยินมักจะส่งเถี่ยกวนอินมาให้ พอดื่มไปดื่มมาก็ชินเสียแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีอะไรมาทดแทนได้ เพียงแต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าน่าจะรู้สึกโดดเดี่ยวกระมัง…ช่วงเวลานั้น ท่านแม่เพิ่งจะจากข้าไป แม้ว่าจะมีแม่นมคอยดูแลอยู่ข้างกาย ทั้งท่านพ่อที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนั้นจะมาหาบางครั้งบางคราว แต่จิตใจที่เปล่าเปลี่ยวกลับทำให้รู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ข้าชอบออกไปเดินเล่นยามค่ำคืน โดยเฉพาะการเงยหน้าชมดวงดารานับร้อยนับพันบนท้องฟ้า จำได้ว่าเป็นคืนเดือนสองคืนหนึ่ง ยามที่สะดุ้งตื่นกลางดึก ข้าได้ออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้วยตัวคนเดียว ดวงดาวบนนภานั้นเต็มไปด้วยความเงียบเหงา บนพสุธาก็ยังคงเป็นข้าที่อ้างว้างโดดเดี่ยว และในคืนนั้น ข้าก็ได้กลิ่นหอมคละคลุ้งของดอกกล้วยไม้ หอมหวนแต่ก็ไม่ถึงกลับตลบอบอวล ดูธรรมดาแต่กลับงดงามยิ่ง เป็นกลิ่นหอมที่พัดโชยมาเตะจมูกโดยไม่มีอะไรยับยั้งได้…ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ชื่นชอบดอกกล้วยไม้ ทั้งยังชอบกลิ่นหอมล้นของเถี่ยกวนอินที่คล้ายกับดอกกล้วยไม้เช่นกัน”
“พี่สะใภ้เป็นหญิงสาวผู้สูงส่งอย่างแท้จริง” หลิงหลงว่ายวนอยู่ในภาพวาดที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พรรณนาออกมา ดวงดารานับพันในค่ำคืนที่อ้างว้าง เงาของหญิงงามที่ทอดยาวอย่างเปล่าเปลี่ยว ดอกกล้วยไม้ที่ค่อยๆ ผลิดอกเบ่งบาน งดงามและเจ็บปวดถึงเพียงนั้น ลึกซึ้งดั่งบทกลอนและภาพวาดถึงเพียงนั้น…
“ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย “หญิงสาวสูงส่งอันใดกัน? หลิงหลงหยอกล้อกันเกินไปแล้ว ข้าก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ เท่านั้น ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหญิงสาวสูงส่งอะไรเช่นนั้นหรอก”
พี่สะใภ้? อู๋เลี่ยนเยี่ยนโมโหจนหน้าดำหน้าแดง หลิงหลงก็เรียกคำว่าพี่สะใภ้ตามเด็กจิงอิ๋งอีกคน? นางลืมไปแล้วหรือว่านางเข้ามาทำอะไรที่นี่?
“ทำไมเล่า?” หลิงหลงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างแปลกใจ นางไม่รู้สึกว่าเรื่องราวของตัวเองมีความสง่างามแฝงอยู่บ้างเลยหรือ?
“คนที่สูงส่งอย่างแท้จริงนั้น เร้นกายอยู่ในหุบเขาที่แสนไกล ใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับผืนฟ้าและแผ่นดิน อยู่คู่กับสายลมและเมฆหมอก โอบล้อมด้วยแสงเรืองรองในยามเช้า มีนกกระเรียนเป็นดั่งสหาย ดื่มน้ำค้างเพื่อดำรงอยู่ แต่ตัวข้านั้นกลับเป็นคนที่อยู่ในโลกคาวโลกีย์ที่เต็มไปด้วยความขมุกขมัว แม้อาภรณ์จะสวยสดงดงาม แต่ก็ยังมีช่วงเวลาเยี่ยงคนธรรมดาอยู่ดี อย่างมากก็แค่ใช้ชีวิตไปอย่างไร้ความกังวล เสื้อผ้า อาหารและที่อยู่ก็ดีกว่าคนทั่วไปเท่านั้น จะกล่าวว่าเป็นหญิงสาวที่สูงส่งได้ที่ไหนกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างราบเรียบ “หลิงหลง มีคนมากมายที่ไม่อาจเข้าใจตนเอง อย่าได้มองตัวเองสูงจนเกินไปเช่นนั้นมันอาจจะเป็นการสูญเสียตัวตน ไม่มีคุณค่าอย่างแท้จริง”
อู๋เลี่ยนเยี่ยนถูกนางว่าเป็นนัยจนเดือดขึ้นมาอีกครั้ง กระนั้นกลับไม่สามารถระบายโทสะออกมาได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเป็นนาง หนำซ้ำแม้แต่สายตาก็ไม่ปราดมองมาสักนิด!
“หลิงหลงเข้าใจแล้ว!” หลิงหลงอย่างไรก็คือหลิงหลง ไม่ได้ไร้เดียงสาเฉกเช่นจิงอิ๋งที่ไม่รู้อะไรไปเสียหมด ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์กำลังตักเตือนนางด้วยความหวังดี ในใจจึงมีความชื่นชมขึ้นมา น้อมรับคำสอนนั้นไว้อย่างนับถือ
“คุณหนูเยี่ยนยังไม่ได้ตอบเลยว่าเหตุใดจึงชอบชามากมายถึงเพียงนั้น!” อู๋เลี่ยนเยี่ยนกล่าวด้วยท่าทีคลุมเครือ นางย่อมไม่แน่ใจว่าจะรุกหรือจะถอยดี
“ข้าไม่ใช่กล่าวไปแล้วหรอกหรือ? ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา รักง่ายหน่ายเร็วก็เป็นพฤติกรรมปกติของคนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวกับนางหนึ่งประโยค จากนั้นก็กล่าวกับหลิงหลงต่อ “หลิงหลง ข้ายังไม่เคยเดินเที่ยวชมเรือนสดับวายุเลย ไม่รู้ว่าช่วงนี้มีอะไรให้เยี่ยมชมบ้าง?”
“ภายในเรือนปลูกดอกอวี้หลัน (ดอกแม็กโนเลีย) อยู่บ้าง ทั้งยังเป็นดอกอวี้หลันจื่อซาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้จะสนใจหรือไม่?” หลิงหลงรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องการพูดคุยส่วนตัวกับนาง อีกทั้งเริ่มไม่ชอบใจที่ถูกอู๋เลี่ยนเยี่ยนกล่าวแทรก ยามนี้จึงตามน้ำไปกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนหลิงหลงแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้น จื่อหลัวรีบสวมเสื้อคลุมให้นางทันที ไม่รั้งรอให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้พูด ก็กล่าวทั้งแย้มยิ้ม “คุณหนู คุณหนูใหญ่ไม่ได้เตรียมชุดคลุมมาด้วย ท่านยังมีอีกตัวที่เพิ่งปักเย็บเสร็จ ยังไม่ได้ใส่นี่เจ้าคะ รูปร่างของคุณหนูใหญ่ก็ไม่ต่างกับท่านเท่าไร คงจะสวมได้อย่างพอดี”
“เช่นนั้นยังจะรออะไรอีก?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งจะกล่าวจบ ลู่หลัวก็ไปหยิบชุดคลุมสีม่วงอ่อนออกมาให้อย่างรวดเร็ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างพอใจ “หลิงหลง เจ้าลองสวมดูสิ กิ่งไผ่ที่อยู่บนผ้าผืนนี้ข้าเป็นคนปักเอง เจ้าน่าจะชอบไม่น้อย”
หลิงหลงรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง จึงกล่าวบอกปัดไป “นี่เป็นผ้าของพี่สะใภ้ หลิงหลงจะใช้ได้อย่างไร?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะเจ้าคะ!” ลู่หลัวกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ทางคุณหนูรองยังตื้อขอจากคุณหนูไม่ปล่อยเลย แต่ว่าตัวที่คุณหนูรองอยากได้เป็นสีเหลืองสดใส เมื่อสวมดูแล้ว งดงามเข้ากันเป็นอย่างมาก คุณหนูใหญ่ก็อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ”
หลิงหลงสวมชุดคลุมสีม่วงลงอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ หลังจากบอกปัดก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา พอสวมแล้ว ก็งดงามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกิ่งไผ่ที่ปักด้วยด้ายสีม่วงเข้มเล็กน้อยนั้น แม้จะไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ก็ไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน ทำให้นางดูสุขุมขึ้นมาไม่น้อย
“ข้าและคุณหนูหลิงหลงมีเรื่องที่ต้องพูดคุยเพียงลำพัง พวกเจ้าไม่ต้องคอยรั้งอยู่ข้างๆ แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กำชับด้วยเสียงเรียบนิ่ง จงใจชะงักสายตาไว้ที่ร่างของอู๋เลี่ยนเยี่ยนชั่วครู่
“พวกเจ้าก็รั้งอยู่ที่นี่เถิด!” หลิงหลงกล่าวกับแม่นมหวังและสาวใช้สองคนอย่างไม่อ้อมค้อม ทั้งไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจึงมองข้ามอู๋เลี่ยนเยี่ยนไป
เมื่อเห็นทั้งสองคนต้องการจะออกไปเพียงลำพัง อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็หยัดกายขึ้นทันที เตรียมที่จะติดตามไป แต่ก็ถูกจื่อหลัวขัดขวางอย่างฉับไว กล่าวด้วยรอยยิ้มที่สดใส “ด้านนอกอากาศหนาวเย็นนัก คุณหนูอู๋อยู่พักผ่อนในเรือนดีกว่านะเจ้าคะ”
“หลีกไป!” อู๋เลี่ยนเยี่ยนคาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าขัดขวางนาง ก็วางท่ากล่าวอย่างหยิ่งผยองทันที “เจ้าไม่มีตาหรือไงจึงกล้าเสียมารยาทเช่นนี้!”
“คุณหนูอู๋ ข้ามีหูนะเจ้าคะ ได้ยินที่คุณหนูพูดทุกอย่าง คุณหนูของพวกเราต้องการจะพูดคุย ‘เพียงลำพัง’ กับคุณหนูซั่งกวน อย่างไรคุณหนูอู๋ก็อยู่พักที่นี่ก่อนเถิดนะเจ้าคะ!” แม้รอยยิ้มของจื่อหลัวจะไม่ได้ลดลง แต่ท่าทีกลับหนักแน่นเป็นอย่างมาก
“เจ้ากล้าดียิ่งนัก! คุณหนูเยี่ยน เจ้าอบรมคนเช่นนี้ออกมาอย่างนั้นรึ!” อู๋เลี่ยนเยี่ยนกล่าวเสียงดังไปยังหน้าประตู ตั้งใจจะให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้ยินถึงเหตุการณ์ที่นี่
ฝีเท้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย นางมองไปยังหลิงหลงครั้งหนึ่ง กลับพบว่าใบหน้านางปรากฏความอึดอัดใจอยู่บ้าง ครุ่นคิดสักครู่ ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จับมือดึงหลิงหลงออกจากประตูไป ทิ้งอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่โกรธเกรี้ยวไว้ในห้องนั้น แม้ว่าจะได้ยินเสียงร้องเอะอะของอู๋เลี่ยนเยี่ยนอยู่ด้านหลังก็ไม่คิดจะหมุนกายกลับไป
“ต้องขออภัยด้วย ข้าไม่คิดว่านางจะเป็นเช่นนี้” หลิงหลงกล่าวขอโทษกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างละอายใจอยู่บ้าง นางไม่นึกเสียใจที่ได้มาเยี่ยมเยียนมี่เอ๋อร์ที่เรือนสดับวายุ แต่เรื่องที่น่าเสียใจนั้นกลับเป็นเพราะนำอู๋เลี่ยนเยี่ยนมาด้วย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดจากการกระทำของผู้อื่น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย “จริงๆ แล้วข้าก็พอจะรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร ที่ข้าไม่พูดก็เพราะไม่อยากให้เจ้ารู้สึกผิด”
“แต่ว่าข้าก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี…” ชั่วขณะนั้น หลิงหลงก็รู้สึกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นได้ดีดั่งที่จิงอิ๋งกล่าวไว้จริงๆ
“หลิงหลง เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงมาที่เรือนสดับวายุ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง ก้าวไปด้านหน้าอย่างสบายๆ ไม่ได้สร้างความกดดันให้กับหลิงหลงแต่อย่างใด
“ข้าเพียงแค่อยากรู้จึงเข้ามาดูเท่านั้น” ท้ายที่สุดหลิงหลงก็ไม่ได้พูดความจริงออกมา นางในยามนี้ไม่อยากให้ใครรู้ว่า นางมาที่นี่ก็เพื่อจับผิด เมื่อเผชิญกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อ่อนโยนดุจสายน้ำ จึงไม่กล้าจะพูดเช่นนั้นออกมา
“เหมือนกับจิงอิ๋ง เด็กคนนั้นสินะ ที่แตกต่างก็คือนางชอบเบิกตากว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ตลอดเวลา มักจะคอยเดินตามอยู่รอบๆ ไม่ห่าง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะทั้งยิ้มน้อยๆ กล่าวต่อว่า “พวกเจ้าสองคนพี่น้องช่างคล้ายกันจริงๆ!”
“ข้าไม่ได้เหมือนกับลิงป่าเช่นนั้นสักหน่อย!” หลิงหลงโต้แย้งอย่างไม่ยินดีนัก สิ่งที่นางไม่ชอบที่สุดก็คือการที่ผู้คนเปรียบเทียบนางกับจิงอิ๋ง นางกับลิงป่าผู้นั้นไม่เหมือนกันสักนิด
“พวกเจ้านี่นะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ กล่าวอย่างจนใจ “ยังจะพูดว่าไม่เหมือนกันอีก แม้แต่น้ำเสียงและท่าทีที่ตอบคำถามนี้ยังเหมือนกันไม่มีผิด”
“นางเอ่ยถึงข้าว่าอย่างไรบ้าง?” หลิงหลงอดที่จะถามไม่ได้
“นางกล่าวว่าเจ้าไม่ชอบนาง กล่าวว่าเจ้าฉลาดหลักแหลมที่สุด กล่าวว่าเจ้างดงามเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังกล่าวว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวที่เพียบพร้อม…พูดเยอะแยะไปหมด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งรอยยิ้ม “นางมักจะใช้น้ำเสียงตัดพ้อเอ่ยถึงเจ้า แต่อย่างไรก็ล้วนมาจากรู้สึกภาคภูมิใจ นางอยากเป็นอย่างเจ้า หลิงหลง ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองพี่น้องจึงเป็นเช่นนี้ แต่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ พวกเจ้าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด เป็นคนในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดในใต้หล้า พวกเจ้าควรจะแบ่งปันความทุกข์ความสุขและความลับซึ่งกันและกัน ข้าไม่มีพี่น้องร่วมสายเลือด แต่ข้าก็หวังที่จะมีคนเช่นนั้นมาตลอด คนที่สามารถแบ่งเบาทุกข์และสุขร่วมกับข้า แลกเปลี่ยนความรู้สึกต่างๆ พวกเจ้านั้นมี แต่กลับไม่คิดจะถนอมไว้ ทั้งสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจที่สุดก็คือ เจ้าใกล้ชิดผู้ที่เป็นหลานสาวของอนุภรรยาอู๋ขนาดนั้น สนิทสนมกับนางขนาดนั้น เจ้าไม่เคยคิดจริงๆ หรือว่า นี่มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกและไม่สมควรถึงเพียงไหน?”
“เลี่ยนเยี่ยนเป็นคนฉลาด ใจกว้าง ทั้งจิตใจดี ไม่มีใครไม่ชอบนางหรอก” หลิงหลงกล่าวอย่างตั้งใจ “นางมีความรู้รอบด้าน สง่างามและใจกว้าง มุ่งมั่นตั้งใจร่ำเรียน ข้าชอบที่มีนางคอยอยู่เป็นเพื่อนจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่เคยคิดถึงเรื่องฐานะของนางเลยอย่างงั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตักเตือนอย่างราบเรียบ “นางเป็นใคร? นางเป็นเพียงหลานสาวของอนุภรรยาอู๋ไม่ใช่รึ แล้วอนุภรรยาอู๋ล่ะ? แม้นางในยามนี้จะเป็นอนุภรรยาของนายท่านซั่งกวน แต่เมื่อนานมาแล้วก็เป็นเพียงบ่าวใช้ข้างกายของฮูหยินที่ไม่อาจนำขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้ผู้หนึ่งก็เท่านั้น ตระกูลอู๋ทั้งตระกูลล้วนเป็นตระกูลที่กำเนิดบ่าวไพร่ให้กับตระกูลหวงฝู่ ว่าตามตรงแล้วเป็นฐานะที่ต่ำต้อยที่สุด ดังนั้นอนุภรรยาอู๋ในยามนั้นจึงได้คิดจะเป็นอนุภรรยาของนายท่านซั่งกวนโดยไม่สนใจอะไร แต่เดิมก็ไม่ใช่เพราะความรักใคร่ แต่เพียงเพื่อว่าต้องการจะเปลี่ยนแปลงฐานะของตัวเองและคนในตระกูลต่างหาก”
“แต่ว่านางดีกับข้าจริงๆ นะ! เพื่อที่จะดูแลข้า นางยังกระทั่งไม่คิดที่จะกำเนิดบุตร” หลิงหลงนั้นอ่อนไหวกับจุดนี้มากที่สุด ในยามที่นางอายุเจ็ดปี นางพยายามโน้มน้าวให้อนุภรรยาอู๋มีลูกอย่างตั้งใจ แต่อนุภรรยาอู๋กลับตอบว่า ‘ข้ากลัวว่าหากข้ากำเนิดบุตรก็จะละเลยท่านไป เช่นนั้นไม่มีน่าจะดีกว่า’ และตั้งแต่นั้นมา นางก็เริ่มสนิทสนมกับอนุภรรยาอู๋และเชื่อใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าเชื่อคำพูดเช่นนี้จริงๆ รึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างตกใจ “เจ้าคิดว่านางยอมไม่มีลูกก็เพื่อที่จะได้ดูแลเจ้า หรือว่าแต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่อาจมีลูกได้อยู่แล้วกันเล่า?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” หลิงหลงไม่เคยประสบพบเจอกับการฟาดฟันของอนุภรรยาทั้งต่อหน้าและลับหลังมาก่อน ดังนั้นจึงไม่เข้าใจนัยยะคำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“เจ้าคิดว่าเหตุใดนางจึงสามารถเป็นอนุภรรยาได้งั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าว “นางเป็นเพียงบ่าวระดับล่าง แม้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอยู่บ้าง แต่นอกจากนั้นแล้วนางยังมีอะไรอีก? ข้ารู้มาเหมือนกันว่าฮูหยินซั่งกวนเกลียดนางจนเข้ากระดูกดำ เจ้าคิดว่าเป็นเพราะสาเหตุอันใดเล่า? หลิงหลง เรื่องราวพวกนี้ไม่นับเป็นเรื่องที่ใสสะอาด พ่อและแม่ของเจ้าเป็นผู้ที่รักเจ้ามากกว่าใครๆ เลี้ยงดูฟูมฟักเจ้ากับจิงอิ๋งราวกับไข่ในหิน หากไม่ใช่เพราะว่าถูกรั้งเวลาจากงานแต่งงานของซั่งกวนเจวี๋ยและข้า เจ้าก็คงได้พูดคุยเรื่องการตบแต่งไปแล้ว หากเจ้าได้แต่งออกไปตระกูลอื่น หากไม่เจ็บปวดฟกช้ำดำเขียว ก็อาจจะตกระกำลำบากซูบเซียวจนผ่ายผอม อย่างไรเจ้าก็ลองคิดดูคำถามพวกนี้ให้ดีๆ แล้วกัน”
“เหตุใดท่านไม่พูดตรงๆ เล่า?” หลิงหลงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ปล่อยให้เจ้าเอาความอัดอั้นและความคับแค้นใจไปกล่าวโทษกับอนุภรรยาอู๋เช่นนั้นรึ? ข้าว่า นางคงจะมีวิธีนับร้อยนับพันที่เป่าหูให้เจ้าเชื่อว่าข้ายุยงพวกเจ้าให้แตกคอกันน่ะสิ และเจ้า ก็จะเชื่อใจนางมากขึ้นไปอีก หนำซ้ำไม่จำเป็นจะต้องให้นางมาชี้แจงเรื่องพวกนี้ คนรอบกายเจ้าก็จะพากันแก้ต่างให้นางอยู่ดี ข้าไม่เชื่อว่ารอบกายของเจ้าจะไม่มีคนของนางอยู่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างสบายๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ามิสู้ปล่อยให้เจ้าไปพบกับสิ่งที่น่าสงสัยนี้อย่างละเอียดด้วยตัวเอง ให้เจ้ากระจ่างแจ้งด้วยตนเอง? ให้นางเตรียมรับมือกับสิ่งที่ไม่อาจตั้งรับได้จะดีเสียกว่า?…อีกทั้งตอนที่พวกเจ้ามาในวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าอารมณ์ไม่ดีกันอยู่หรอกหรือ? ท่าทีเช่นนั้นมาจากไหนกัน? เหตุใดเจ้าจึงมายังเรือนสดับวายุ? เรื่องพวกนี้คงมิวายต้องข้องเกี่ยวกับอนุภรรยาอู๋เป็นแน่ ไม่จบเพียงแค่นั้น จื่อหลัวยังกล่าวว่า พวกเจ้าถูกรั้งไว้ที่เรือนสดับวายุสักพัก เช่นนั้นเป็นเพราะผู้ใดกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามออกมาอย่างไม่หยุด ทำให้หลิงหลงยากที่จะหลบเลี่ยงอยู่บ้าง
“ข้า…” หลิงหลงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอย่างไรดี ทั้งจะสามารถพูดอะไรออกไปได้บ้าง
“ลองคิดดูให้ดีๆ ข้าไม่ได้เร่งเร้าจะเอาคำตอบจากเจ้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างอบอุ่น “ส่วนทางอนุภรรยาอู๋นั้น หลิงหลง อยู่ให้ห่างจากนางจะเป็นเรื่องดีกว่า จุดประสงค์ของนางข้าก็รู้ดี ไม่ใช่เพราะพี่ชายใหญ่ของเจ้าหรอกหรือ? ข้าไม่สนใจเรื่องนี้หรอก พ่อของข้าก็มีฐานะเดิมเป็นพ่อค้าวาณิช ในยามนั้นเพราะเขาสามารถตอบรับเงื่อนไขของท่านแม่ได้ บริจาคเงินจนสอบผ่านขุนนางระดับต้น จึงตบแต่งท่านแม่เข้ามาได้อย่างราบรื่น แต่เรื่องราวกลับตาลปัตร หลังจากแต่งท่านแม่เข้ามา เขาก็รับอนุภรรยาเข้ามาถึงเจ็ดบ้าน พี่ชายใหญ่ของเจ้าเป็นลูกชายคนโตสายตรงของตระกูลซั่งกวน จะรับอนุภรรยาเข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด จากฐานะของอู๋เลี่ยนเยี่ยน อย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่อนุภรรยาเท่านั้น ไม่อาจเทียบเทียมข้าได้อยู่แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับนาง แต่ว่า หากเจ้าสนิทสนมกับนางมากจนเกินไป ฐานะเช่นนั้น รั้งแต่จะทำให้คนคิดว่านางเป็นสาวใช้ข้างกายของเจ้า หากนางกลายเป็นอนุภรรยาของพี่ชายเจ้า เช่นนั้นก็จะเป็นการทำร้ายเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง?”
หลิงหลงเผยใบหน้าซีดเผือด นางย่อมเข้าใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์หมายความว่าอย่างไร คนข้างกายของนางกลายเป็นอนุภรรยาของพี่ชายใหญ่ เช่นนั้นนับเป็นอะไร? จู่ๆ นางก็นึกชิงชังอนุภรรยาอู๋ขึ้นมา เหตุใดนางจึงได้เลอะเลือนมองไม่เห็นความร้ายแรงของเรื่องนี้ ทั้งยังส่งอู๋เลี่ยนเยี่ยนมาอยู่ข้างกายนางอีก? กระทั่งยังเตรียมตำแหน่งอนุภรรยาให้กับพี่ชายใหญ่อย่างชัดเจน มิน่าเล่า ท่านแม่จึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่พี่ชายจะรับอู๋เลี่ยนเยี่ยนมาเป็นอนุภรรยาถึงเพียงนั้น
“แต่ว่าเจ้าก็ไม่ต้องกังวลไปนัก ฮูหยินซั่งกวนย่อมต้องคิดหาทางรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวปลอบใจนาง “ออกมาสักพักใหญ่แล้ว พวกเรากลับไปดีกว่าเถิด ไม่รู้ว่าคุณหนูอู๋ผู้นั้นจะก่อเรื่องอะไรอีก”
อู๋เลี่ยนเยี่ยนนั่งจิบชาอยู่อย่างเงียบเชียบ ในสภาพสงบเสงี่ยม คล้ายกับว่าเรื่องที่ได้ยินก่อนที่พวกนางจะออกไปนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินกลับมา นางก็เผยยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น “คุณหนูทั้งสองไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมาเสียแล้ว?”
“แค่ไปดูว่าดอกอวี้หลันจื่อซาบานหรือยังเท่านั้น เยี่ยมชมเสร็จแล้วจึงย้อนกลับมา!” สีหน้าของหลิงหลงยังคงไม่ดีนัก เป็นสีหน้าไม่ยินดีที่ทำให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนรู้สึกสบายใจอยู่เล็กน้อย
“ดอกอวี้หลันจื่อซานั้นเป็นดอกที่คุณหนูชอบที่สุด ไม่รู้ว่าออกดอกบานสะพรั่งแล้วหรือยัง?” อู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่ได้มองหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางรู้ว่าใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นคล้ายกับถูกสวมไว้ด้วยหน้ากาก เดิมทีก็ไม่อาจมองท่าทีของนางออก เมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้มองหลิงหลงที่มีความคิดบริสุทธิ์กว่า
“ยังไม่บาน แต่ตั้งช่อเล็กๆ ขึ้นมาเต็มไปหมดแล้ว” หลิงหลงตอบกลับอย่างเรียบง่าย พวกนางไปดูดอกอวี้หลันจื่อซามาจริงๆ ดอกนั้นยังออกดอกสะพรั่งมากกว่าปีที่แล้วเสียอีก เพียงแต่ยังไม่เบ่งบานก็เท่านั้น
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ” อู๋เลี่ยนเยี่ยนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก นางอยากรู้มากกว่าว่าแท้จริงแล้วทั้งสองคนพูดเรื่องอะไรกัน สีหน้าของหลิงหลงจึงแปลกไปเช่นนี้
“จริงสิ! คุณหนูเยี่ยน ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของท่าน ยามนี้ข้าต้องขอตัวกลับก่อน” หลิงหลงไม่มีกะจิตกะใจจะอยู่ต่อแล้ว นางถูกคำถามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้กลัดกลุ้มใจไปหมด
คุณหนูเยี่ยน? ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนไปเรียกพี่สะใภ้แล้วงั้นรึ? เลี่ยนเยี่ยนลอบยินดีอยู่ในใจ ดูท่าแล้ว การพูดคุยของคนทั้งสองคงจะไม่ได้เป็นไปด้วยดีเท่าไร บางทีเยี่ยนมี่เอ๋อร์คงจะคิดว่านางได้เข้าใจถึงตัวตนของหลิงหลงแล้ว ดังนั้นจึงพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ทำให้เกิดผลตรงกันข้ามเช่นนี้ จะว่าไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คงไม่ได้หลักแหลมอะไรถึงเพียงนั้น แค่หลักการรีบจู่โจมจนทำให้เสียงานก็ล้วนไม่เข้าใจ กระนั้นนางกลับนึกไม่ถึงว่าใบหน้าที่ผุดผายความดีใจของตนได้ถูกหลิงหลงจับตามองอยู่ตั้งนานแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยที่ถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพาะเอาไว้ก็ได้เริ่มเจริญเติบโตขึ้นภายในใจ…
———————————-