เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 36 ยาบำรุง (2)
ซั่งกวนเจวี๋ยสะบัดศีรษะอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกหนักอึ้งจนเปลือกตาแทบลืมไม่ขึ้น เขาคงจะเหนื่อยเกินไปสินะ ซั่งกวนเจวี๋ยลอบถอนหายใจ อาการที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คงเพราะเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เมื่อคืนวานเขาจึงได้ฝันถึงนางอีกครั้ง!
เพียงแต่ฝันครั้งนี้นางกลับต่างออกไป ไม่มีรอยยิ้มที่เปล่งประกาย ยามที่นางพูดก็มักจะเนิบช้า เอาแต่กล่าวหยอกเย้า ยามที่หัวเราะออกมา เสียงก็ใสกังวานราวกับนกร้องเจื้อยแจ้ว ไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างมาก พาให้นางดูโดดเด่นขึ้นมามาก นางไม่ได้ชวนเขาให้ชมดาว จำได้ว่านางเคยกล่าวไว้ นางชื่นชอบแสงจันทร์ ทั้งยังชอบมองดวงดาราที่อยู่บนท้องฟ้า แต่เสียดายที่พวกเขาไม่เคยมีโอกาสชมดาวด้วยกัน เมื่อคืนวานดวงดาวส่องแสงอยู่เต็มท้องฟ้า ไฉนพวกเขาจึงไม่ฉวยโอกาสนั้นร่ำสุราใต้แสงดาวกันนะ? ความสามารถในการดื่มสุราของนางทำให้คนตกใจเสียจริง จำได้ว่าครั้งแรกที่พบกัน นางยืนอยู่ริมหน้าผา เงยหน้ารับลมที่พัดมาจากภูเขา จนชุดคลุมนั้นพลิ้วไสว ผมสลวยปลิวล่องลอย ดูสง่างามราวกับเทพเซียน ทว่ากลับ ‘เมามายไปกับหิมะ’ ยกสุราขึ้นดื่มอย่างสุขใจคล้ายกับไม่มีผู้ใดอยู่ สร้างความตกตะลึงทั้งเปิดหูเปิดตาให้แก่ผู้คน และยังตราตรึงสลักลึกอยู่ภายในใจของพวกเขา
ไม่เจอหนึ่งวัน คล้ายคลาดกันสามปี! เขาไม่ได้พบนางมาถึงห้าร้อยกว่าคืนแล้ว ความคะนึงหาที่ฝังลึกในกระดูก ทำให้เขาอยากจะบ้าคลั่ง หากสัมผัสค่อยๆ เลือนหายไป แล้วเขาจะเป็นเช่นไร? คงจะทำได้เพียงพบเจอกับนางแค่ในฝัน หรือบางทีอาจจะเป็นตอนที่ร้องเพลงในหุบเขา ยามที่ลงเล่นในลำธาร ยามที่ทอดมองจากยอดเขา หรือยามที่ก่อไฟร่ำสุราในป่า…
บางทีความคะนึงอาจจะมีมากเกินไป บางที…เขาจึงได้ฝันถึงภาพนางที่กำลังแง่งอน ท่าทีที่เอาแต่หยอกเย้า เผยยิ้มหวานซึ้งพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดเขา ส่งริมฝีปากที่หอมหวนตามมาอย่างขวยเขิน ก่อนร่างจะค่อยๆ สั่นสะท้าน ยกมือขึ้นปลดอาภรณ์ออก…ช่างเป็นฝันที่ดีเสียจริง! ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจแผ่วเบา เสียดายที่เป็นเพียงฝันที่ไร้ร่องรอย ดังนั้นจึงเป็นเขาที่คิดเพ้อฝันไปเอง หญิงสาวเช่นนางนั้นจะละทิ้งท่าทีหยิ่งผยอง มาร้องขอความรักจากเขาได้อย่างไร?
แม้ว่าสัมผัสจากอ้อมอกจะคล้ายกับถูกเติมเต็ม ร่างกายที่แนบชิดกันอย่างสุขสม ทั้งเสียงร้องครวญครางในยามที่นางพลิกกายไปมาอยู่ใต้ร่างเขาล้วนดูคล้ายกับจะเป็นเรื่องจริงถึงเพียงนั้น และแม้กระทั่งยามนี้ เขาก็ยังเหมือนว่าสัมผัสได้ถึงความเอิบอิ่มของนางที่อิงแอบกับฝ่ามือของเขา เขาจึงลองเคลื่อนมือไปจับอย่างทนไม่ไหว…
ไม่ถูก! ซั่งกวนเจวี๋ยดึงสติกลับคืนมาโดยพลัน ผุดลุกขึ้นนั่งทันที ข้างกายของเขามีร่างของหญิงสาวที่เปลือยเปล่าจริงๆ ใบหน้าของนางยังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม นอนหลับตาพริ้มอย่างอิ่มเอม
เป็นนางนี่เอง! อู๋เลี่ยนเยี่ยน! หลานสาวของอนุภรรยาอู๋!
ซั่งกวนเจวี๋ยไม่กล้าขยับ ในหัวรีบย้อนคิดกลับไปถึงเรื่องเมื่อคืนทั้งหมด…เพราะว่าคิดถึงนาง ดังนั้นจึงเขียนกลอนไฉ่เกอออกมาอย่างห้ามใจไม่อยู่ หลังจากนั้นหลิงหลงก็มา ทั้งยังหยอกล้อเขาเรื่อง ‘ไม่พบกันหนึ่งวัน เหมือนคลาดกันสามสารทฤดู’ จากนั้น…จากนั้นก็…
ซั่งกวนเจวี๋ยนึกไปถึงยาบำรุงนั้น คล้ายกับหลังจากเขาดื่มยาบำรุงนั่นไปแล้ว หลิงหลงก็ออกไป ส่วนเขาก็พิงอยู่ข้างหน้าต่าง มองจันทร์เสี้ยวที่ลอยอยู่บนผืนฟ้า ชมดวงดาราที่ส่องแสงระยิบระยับพร่างพราว จากนั้นก็ถูกความรู้สึกคิดถึงอย่างบ้าคลั่งจู่โจมเข้ามา จึงได้นั่งร้องเพลง ‘ความคะนึงหาที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด’ อยู่ตรงขอบหน้าต่าง คล้อยหลังจู่ๆ ในสวนดอกไม้ก็ปรากฏร่างหญิงสาวผู้หนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นก็คือ ‘ความคะนึงหาที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด’ ของเขา เขาจึงใจสั่นไหวอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ ถลาลงไปจากหน้าต่าง ตระกองนางเข้าสู่อ้อมกอด ทั้งนางก็ยังแย้มยิ้มเล็กน้อย ดึงมือเขากลับไปในห้อง จากนั้นยามที่นางออดอ้อนขอความรักจากเขา พวกเขาก็ได้สอดประสานกายกลายเป็นหนึ่งเดียว เสพสมความรู้สึก…
ยาบำรุงนั่นมีปัญหา!
ซั่งกวนเจวี๋ยลืมตาขึ้นมา แทบอยากจะบั่นคอผู้หญิงที่น่ารังเกียจที่กำลังหลับฝันผู้นี้อย่างทนไม่ไหว นางถึงขนาดกล้าร่วมมือกับหลิงหลงนำแผนชั่วเช่นนี้มาใช้กับเขา!
ไม่ได้!
ซั่งกวนเจวี๋ยหดมือตัวเองที่กำลังจะสัมผัสมือของอู๋เลี่ยนเยี่ยนกลับมา อู๋เลี่ยนเยี่ยนผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้ย่อมต้องถือโอกาสสร้างเรื่องขึ้นมาอีกแน่ เมื่อคืนวานการปรากฏตัวของอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่เรือนตะวันออก คงมิวายถูกผู้คนพบเห็นแล้ว ทั้งยามที่เห็นย่อมเป็นตอนที่มากับหลิงหลง เรื่องที่นางมาโดยไม่ได้กลับไปทั้งคืนอย่างไรก็ต้องถูกเผยแพร่ออกไป หากนางตายอย่างไม่ใสสะอาดที่เรือนตะวันออกเช่นนี้ หลิงหลงคงไม่มีหน้าไปพบปะผู้คน ทั้งงานแต่งงานของนางและตระกูลชุยก็ต้องจบลงด้วยเช่นกัน…
แต่ว่า เมื่อมองเห็นอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่หลับฝันหวานอย่างไม่รู้สึกตัว ทั้งไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่ายมบาลได้กวักมือเรียกตัวเองอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ซั่งกวนเจวี๋ยก็เกิดความชิงชังหญิงอสรพิษผู้นี้ขึ้นมา จากนั้นก็ถีบออกไปอย่างแรง อู๋เลี่ยนเยี่ยนที่กำลังฝันว่าตัวเองกำลังกอดรัดกับซั่งกวนเจวี๋ยอย่างหวานซึ้งก็ถูกเตะจนกระเด็นออกไปทั้งร่างที่เปลือยเปล่า ลอยไปชนเข้ากับโต๊ะน้ำชาด้านหน้าเตียง ชนเข้ากับกำแพง สุดท้ายก็ไถลลื่นลงจากกำแพงไปนอนกองอยู่กับพื้น…
“คุณชายใหญ่!” ฝันหวานถูกขัดไม่ใช่เรื่องสำคัญ ร่างกายเปลือยเปล่าก็ไม่เป็นไร แต่ซั่งกวนเจวี๋ยที่ทำท่าราวกับจะกินคนนั้นทำให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนที่พยายามฝืนความเจ็บระทมภายในใจ ลองหยั่งเชิงร้องเรียกออกมา
“คุณชายใหญ่?” เสียงของม่านเหลียน สาวใช้ชั้นหนึ่งข้างกายเขาดังมาจากด้านล่าง นางคล้ายกับไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่อย่างไรก็ไม่เหมือนกับยามปกติ เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเดินขึ้นมาชั้นบน ดูท่าแล้ว เรื่องเมื่อคืนวาน ม่านเหลียนก็คงเห็นเช่นกัน
“เจ้าขึ้นมาเถอะ!” ซั่งกวนเจวี๋ยคลำหยิบเสื้อตัวในที่กระจัดกระจายเต็มพื้นขึ้นมาสวม จู่ๆ ก็นึกถึงหญิงสาวที่ยังร้องโอดโอยตรงพื้นกำแพง ทั้งยังเป็นคนที่ถอดเสื้อเขาเมื่อคืน ก็พยายามข่มโทสะลงไป จากนั้นก็หยิบชุดคลุมยาวออกมาจากตู้ผ้า สวมใส่ลงไป ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสูง
“คุณชายใหญ่ นี่มัน…” ม่านเหลียนมองอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่นอนยวบอ่อนแรงร้องครวญครางอยู่ที่พื้นกำแพงอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจอยู่บ้างว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“เมื่อคืนใครเฝ้าเวรยามดึก?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างเยียบเย็น
“บ่าวเองเจ้าค่ะ!” ม่านเหลียนข่มความสงสัยไว้ในใจ ตอบกลับไปอย่างนอบน้อม
“เช่นนั้นเจ้าเห็นหรือไม่ว่าผู้หญิงสารเลวคนนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างไม่หวังมากมายนัก หากพบเข้า ม่านเหลียนก็ย่อมต้องขัดขวาง!
“คุณชายเป็นคนพาขึ้นมาเจ้าค่ะ!” ม่านเหลียนอดทำตัวลีบไม่ได้
“เจ้ามองเห็นงั้นรึ?” ที่ซั่งกวนเจวี๋ยอยากถามก็คือเหตุใดจึงไม่มีใครขัดขวางเขาในยามที่พาผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา เวลานั้นสติเขาไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่รู้ว่ามีคนมองออกหรือไม่?
“บ่าวไม่เห็นเจ้าค่ะ แต่ม่านเหอเห็นกับตาตัวเองเจ้าค่ะ!”
“แล้วม่านเหอเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยอยากได้ยินว่าสาวใช้อีกคนของเขาจะพูดว่าอย่างไร
“คุณชาย ม่านเหอสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ คุณชายยกโทษให้นางเถิดนะเจ้าคะ!” ม่านเหลียนตกใจจนคุกเข่าลงไปกับพื้น กล่าวขอร้องอย่างขื่นขม “นางบาดเจ็บไปไม่น้อย ไม่รู้ว่าสิบวันหรือครึ่งเดือนนี้จะหายดีหรือไม่ ขอให้ท่านเห็นแก่นางที่รับใช้ท่านมาหลายปี อภัยให้นางด้วยเถิดนะเจ้าคะ!”
“นางเป็นอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้ว อะไรคืออภัยให้ม่านเหอ ทั้งม่านเหอยังบาดเจ็บได้อย่างไร
“เมื่อคืนม่านเหอขวางทางคุณชายและคุณหนูอู๋จึงถูกคุณชายเตะจนบาดเจ็บภายในเจ้าค่ะ” ม่านเหลียนไม่เข้าใจ คุณชายจำเรื่องที่ทำเมื่อคืนไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
“แล้วนางตอนนี้ล่ะ? ไปหาหมอหรือยัง?” ซั่งกวนเจวี๋ยสั่นสะท้านในใจ ม่านเหอถูกเขาถีบ ทั้งยังบาดเจ็บภายใน เหตุใดเขาจึงจำไม่ได้แม้แต่น้อย?
“ไม่ใช่บอกว่าไม่อนุญาตให้ไปหาหมอหรือเจ้าคะ? ม่านเหอยามนั้นกระอักเลือดออกมา แต่ว่า…” ม่านเหลียนหมอบอยู่ที่พื้น มองอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่เบิกตาจ้องนางอย่างข่มขู่ไปครั้งหนึ่ง “คุณหนูอู๋กล่าวว่า หากใครกล้าไปหาหมอมารักษาให้ม่านเหอ หรือบอกเรื่องของท่านและคุณหนูอู๋กับคนอื่น จะให้ท่านแล่เนื้อเถือหนังนางเจ้าค่ะ!”
“นางเป็นคนพูดงั้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่หน้าหดลงจนเหลือสองนิ้วด้วยความชิงชัง “แม้แต่คำสั่งของนางพวกเจ้าก็ฟังอย่างนั้นหรือ?”
“คุณชาย…” ม่านเหลียนปวดใจจนน้ำตาไหล “ยามนั้นมีเพียงม่านเหออยู่ จากนั้นนางก็มาหาข้าด้วยสภาพที่ซมซาน ในยามที่ข้าและสุ่ยเหยามา ท่านกับคุณหนูอู๋ก็กำลัง…พวกข้าจะกล้ารบกวนท่านได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ!”
“ดี! ดีนัก!” ซั่งกวนเจวี๋ยพอจะคาดเดาเรื่องราวของเมื่อคืนได้บ้างแล้ว เขาพยามยามสงบใจไว้ กล่าวอย่างข่มกลั้น “ม่านเหลียน ไปเชิญหมอมารักษาม่านเหอ! จากนั้นก็จับผู้หญิงแพศยาคนนี้ขังไว้ในห้อง!”
“เจ้าค่ะ คุณชาย!” แม้ว่าม่านเหลียนจะไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่เมื่อคืนที่คุณชายผิดแปลกไปย่อมต้องเป็นเพราะแผนร้ายอะไรบางอย่างแน่
“ยังมีอีก อย่าให้ใครได้พบผู้หหญิงแพศยาคนนี้เป็นอันขาด!” ซั่งกวนเจวี๋ยในยามนี้อยากจะฆ่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนให้ตายอย่างรู้แล้วรู้รอดไป แต่เพื่อหลิงหลง เขาจึงทำได้เพียงข่มกลั้นไว้ก่อน “โดยเฉพาะคนของคุณหนูใหญ่และอนุภรรยาอู๋ ใครหน้าไหนกล้าบุกเข้ามา ตีให้ขาขาดก็ดี ตีจนตายก็ไม่ว่า ข้าจะรับผิดชอบเอง! ตอนนี้เรียกคนมาคุมตัวนางไปก่อน!”
“เจ้าค่ะ คุณชาย!” ม่านเหลียนรับคำสั่งอย่างตั้งใจ สาวใช้และบ่าวข้างกายพวกนั้นของซั่งกวนเจวี๋ยเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง แม้จะไม่นับว่ามีฝีมือสูงส่ง ไม่ถึงกับขนาดเชิดหน้าชูตาได้ แต่หากเป็นในจวนนี้แล้ว ก็นับเป็นศัตรูที่ยากจะต่อกร
“คุณชายใหญ่…” อู๋เลี่ยนเยี่ยนมองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างวิงวอน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาไม่ชอบนาง แต่ตัวนางก็เพิ่งมอบความบริสุทธิ์ให้เขาแล้ว ไฉนเขาจึงเปลี่ยนกลับไม่รู้จักกันไปเสียแล้ว?
อู๋เลี่ยนเยี่ยนยังจำได้ดี ซั่งกวนเจวี๋ยเมื่อคืนนั้นปฏิบัติต่อนางอย่างเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้งขนาดไหน ยามเขาตระกองนางเข้าสู่อ้อมอก แม้จะมุทะลุแต่ก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ ทั้งกลัวว่านางจะหลุดลอยหายไป ยามนั้น ตัวนางคล้ายกับเป็นสิ่งของที่เปราะบางและล้ำค่ามากที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ ไม่จบเพียงเท่านั้น ในยามที่เขาจูบนาง ก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ทำให้นางสัมผัสถึงความรู้สึกลึกซึ้งที่เขามีต่อนาง เวลานั้น แม้ว่าจะต้องตายไปทั้งเดี๋ยวนั้น นางก็ไม่รู้สึกเสียใจแล้ว ความทะนุถนอมของเขา ความระมัดระวังของเขา เขาที่มองนางราวกับเป็นสิ่งที่ล้ำค่า ทำให้นางไม่อาจทำใจทำตามแผนเดิมได้นั่นคือการลอบออกไปในยามที่เขากำลังนอนหลับ
แต่ตอนนี้เล่า? เหตุใดเขายกกางเกงขึ้นมาสวมก็เปลี่ยนเป็นไร้เยื่อใยเสียแล้ว? ตัวเขาในเมื่อคืนหายไปไหนกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านป้าไม่ใช่พูดเองหรอกหรือ? แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะรู้ว่าตัวเองตกหลุมพราง แต่ก็เป็นเพราะหลิงหลงที่นำยาบำรุงนั้นมา ทั้งตัวนางก็เป็นคนถูกหลิงหลงพาเข้ามาในเรือนตะวันออก เพียงแค่จุดนี้ เขาก็จะยอมรับนางเป็นอนุภรรยา และย่อมต้องยอมรับนางเป็นแน่ จากนั้นก็กดเรื่องนี้ปิดเป็นความลับ เพราะหากแพร่งพรายเรื่องให้ใหญ่โตขึ้นมา ก็จะกล่าวได้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยนั้นจีบผู้หญิงเล่นๆ ได้แล้วก็ทิ้ง หากดึงหลิงหลงมาเกี่ยวข้อง ก็ไม่เพียงแต่จะกระทบเรื่องงานแต่งของนาง ซ้ำร้ายยังอาจทำลายชื่อเสียงของซั่งกวนหลิงหลงจนป่นปี้ แม้แต่ซั่งกวนจิงอิ๋งก็อาจติดร่างแหไปด้วย
แต่ว่า นางจะไปรู้ได้อย่างไรกันว่า เรื่องที่ซั่งกวนเจวี๋ยโมโหที่สุดนั้นไม่ใช่เพราะนางเติมอะไรลงไปในยาบำรุง แต่เป็นเพราะเมื่อคืนนั้น เขาเข้าใจผิดว่านางเป็นหญิงสาวที่แสนบริสุทธิ์ในใจเขา ผู้ที่มีค่าให้เขาปกป้องด้วยชีวิต แต่กลับไม่อาจเอื้อมถึงได้คนนั้น หญิงสาวในกลอนไฉ่เกอที่ทำให้เขา ‘คล้ายคลาดกันสามสารทฤดู’ คนนั้น ผู้ที่เลือนรางอยู่ในความฝัน…
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยเดินมาอยู่ข้างนาง ก่อนจะเชิดหน้าปรายตามองลงมา ใบหน้าเผยท่าทีเหยียดหยาม ในแววตาก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ ทิ่มแทงใจอู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นอย่างมาก ซั่งกวนเจวี๋ยใช้เท้าช้อนคางนางขึ้นมา กล่าวอย่างเย็นเยียบ “เจ้าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าก็จะไปรายงานท่านพ่อกับท่านแม่ ให้รับเจ้าเข้ามา ทำให้เจ้าสมปรารถนา แต่ว่าเจ้าควรจะรู้ไว้ นรกกับสวรรค์นั้นมันอยู่ใกล้กันอย่างคาดไม่ถึงเชียวล่ะ!”
“คุณชาย เลี่ยนเยี่ยนทำเช่นนี้ก็เพราะในใจมีเพียงท่าน เพราะว่าข้ารักท่าน!” อู๋เลี่ยนเยี่ยนเผยใบหน้าเศร้าสร้อย หรือเขาไม่รู้ว่าตัวนางรักเขามากถึงเพียงใด?
“เจ้าคู่ควรหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยย้อนถามอย่างเยือกเย็น ก่อนม่านเหลียนและสุ่ยเหยาจะพาพวกสาวใช้เข้ามา “นำโถที่วางบนโต๊ะนั้นส่งไปให้ทางลุงอิน ให้เขาตรวจสอบดูว่าของที่เติมเข้ามาเป็นสิ่งใด!”
“เจ้าค่ะ คุณชาย!” ม่านเหลียนรับคำสั่งเสียงดัง ที่แท้ผู้หญิงหน้าไม่อายคนนี้ก็วางยาคุณชาย มิน่าเล่าคุณชายกับนางจึง…เพียงแต่ เหตุใดคุณชายจึงรับคำเชื้อเชิญจากผู้หญิงคนนี้เล่า? น่าแปลกจริงๆ !
“ยังมีอีก ปิดปากพวกเจ้าให้ดี หากใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป…” ซั่งกวนเจวี๋ยมองไปยังสุ่ยเหยาที่ชอบซุบซิบนินทาไปทั่ว กล่าวอย่างดุดัน “ม่านเหลียน เจ้าจับตาดูให้ดี หากมีคนพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สาวใช้ทั้งหมดของเรือนตะวันออกก็ให้แม่ค้านายหน้าพวกนั้นพาตัวไปเสีย!”
“เจ้าค่ะ คุณชาย!” ม่านเหลียนตัวสั่นขึ้นมา เรื่องนี้คงทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยโมโหอย่างถึงที่สุด บ่าวของตระกูลซั่งกวน หากทำเรื่องผิดพลาดก็จะถูกลงโทษ ถูกขับไล่ออกจากตระกูลเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งไป ทั้งบางครั้งถูกตีจนตายก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือให้พวกแม่ค้านายหน้ามาพาตัวไป หากถูกพวกนั้นพาไปแล้ว ผู้ชายย่อมต้องถูกส่งเข้าไปในภูเขาลึกทำงานอย่างตกระกำลำบาก หากเป็นผู้หญิงก็จะถูกส่งไปทำงานในหอนางโลม โดยไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อเห็นอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่ถูกพวกม่านเหลียนห่อด้วยพาคลุม ก่อนจะคุมตัวออกไป คิ้วที่ขมวดขึ้นของซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังไม่มีท่าทีจะคลายลง นี่ยังนับว่าเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น…
———————————————