เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 41 พี่น้อง
“คุณหนู คุณหนูรองมาเจ้าค่ะ!” สุ่ยเซวียนกล่าวเสียงเบา ม่านชิงและม่านจิ้งในยามนี้ไม่อาจรับใช้ใครได้ หลิงหลงจึงทำได้แค่ต้องให้สุ่ยเซวียน สาวใช้ชั้นสองมาคอยทำหน้าที่นี้แทนชั่วคราวเท่านั้น
ยี่สิบไม้ที่กล่าวไว้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม่นมหวัง ม่านชิงและม่านจิ้งต่างก็เดินกระโผลกกระเผลกกลับเรือนหลิงหลงไปตามๆ กัน แม่นมหวังอายุมากแล้ว ซั่งกวนฮ่าวโมโหที่นางอายุถึงปูนนี้ แต่ก็ยังไม่รู้จักหนักเบา จึงไม่คิดให้คนยั้งมือ ทำให้นางบาดเจ็บไปไม่น้อย แม้ว่าหลิงหลงจะโกรธและปวดใจอย่างไร สุดท้ายก็ยังคงทนไม่ได้ สั่งให้สาวใช้ไปคอยดูแลนาง ม่านชิงและม่านจิ้งกลับไม่ได้โชคดีถึงเพียงนั้น หลังจากกลับมาก็ถูกหลิงหลงกักบริเวณไว้ไม่ให้ออกไปไหน
สาวใช้คนอื่นๆ ในเรือนก็ไม่แน่ชัดว่า จริงๆ แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ และแม้เพียงจะรู้อยู่บ้าง ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็มองออกกันทั้งนั้น หลิงหลงในยามนี้คล้ายกับหม้อต้มที่กำลังเดือดได้ที่ อีกนิดเดียวก็คงจะระเบิดออกมา น้ำเสียงที่พูดคุยนั้นต้องลดระดับลงถึงแปดระดับ ทั้งไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ต้องระมัดระวังรอบคอบขึ้นมาอีกด้วย
“นางมาทำไม? เพื่อมาหัวเราะเยาะข้าอย่างนั้นหรือ?” หลิงหลงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจนาง บอกนางให้ไปเสีย!”
“เจ้าค่ะ คุณหนู!” สุ่ยเซวียนไม่กล้ามากความ รับคำสั่งอย่างว่าง่ายก็ค่อยๆ ถอนตัวออกไป
“เดี๋ยว!” จู่ๆ หลิงหลงก็นึกถึงประโยคนั้นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นมา นางและจิงอิ๋งเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ ผู้ที่สามารถแบ่งปันความสุขและความลับซึ่งกันและกันได้ หากว่าจิงอิ๋งไม่ได้มาเพื่อหัวเราะเยาะเล่า?
“เจ้าคะ?” สุ่ยเซวียนหมุนกายกลับมาทันที รอคอยคำสั่งของหลิงหลงอย่างเงียบๆ
“นางมาคนเดียวหรือไม่? มีท่าทีอย่างไร?”
“คุณหนูรองพาเพียงสาวใช้ม่านซินมาด้วยเจ้าค่ะ นอกจากนั้นก็ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าจะมีท่าทีกระวนกระวายใจอยู่บ้าง คล้ายกับไปทำเรื่องอะไรผิดมาเจ้าค่ะ!” แม้ว่าสุ่ยเซวียนจะเป็นเพียงสาวใช้ชั้นสองผู้หนึ่ง ไม่ได้อยู่ในสายตาของหลิงหลงมากนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นคนโง่เขลา กลับกัน ทักษะการสังเกตและพิจารณาของนางกลับทำได้อย่างยอดเยี่ยม
“ให้นางเข้ามาเถิด!” หลิงหลงก็ไม่อาจทำใจนอนได้แล้ว ลุกนั่งขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้หยัดกายขึ้นตรงแต่อย่างใด
“ท่านพี่…” ไม่นานจิงอิ๋งก็เข้ามา ใบหน้านั้นมีความร้อนใจแฝงอยู่บ้าง มองดูหลิงหลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ได้ยินว่าท่านถูกท่านพ่อดุมา แม่นมหวัง ม่านชิงและม่านจิ้งก็ถูกโบยกันอีก”
“ดังนั้นเจ้าจึงมาหัวเราะเยาะข้างั้นหรือ?” หลิงหลงมองจิงอิ๋งอย่างโกรธเคือง นางพูดเก่งจริงๆ แค่ครู่เดียวก็จุดเพลิงโทสะที่นางเพิ่งจะสงบลงไปได้ขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าแค่อยากจะพูดว่า ท่านอย่าเสียใจไปเลย เมื่อวานข้าก็ถูกดุเช่นกัน ทั้งยังไม่ได้ดีนักด้วย!” จิงอิ๋งกล่าวอย่างซื่อๆ “เดี๋ยวคุ้นชินแล้วก็จะดีเอง!”
“ข้าไม่อาจคุ้นชินกับการถูกว่าได้หรอก!” หลิงหลงกล่าวอย่างโมโห “ช่างเถิด เรื่องขบขันก็ดูไปแล้ว เจ้าก็ไปเสียสิ!”
“อื้อ…” จิงอิ๋งตอบรับ กระนั้นกลับไม่ขยับไปไหน ใช้สายตากวาดมองไปที่หลิงหลง คล้ายกับมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้ากล่าวออกมา
“มีอะไรอีก?” หลิงหลงไม่คิดอยากจะเสียเวลา จึงกล่าวไปตรงๆ “พูดครั้งเดียวให้จบๆ ไป เผื่อครั้งหน้าเจ้าจะได้ไม่ต้องมาหาเรื่องให้ข้าอีก!”
“ขอโทษ!” จิงอิ๋งพูดอึกๆ อักๆ “เรื่องที่ท่านไปเรือนสดับวายุเมื่อวาน ข้าเป็นคนบอกท่านพ่อท่านแม่เอง ข้าไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดมาจนถึงขนาดนี้ เดิมทีข้าเพียงอยากเห็นท่านถูกต่อว่าเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดว่าท่านพ่อจะโมโหถึงเพียงนี้ ทั้งนึกไม่ถึงอีกว่าจะทำให้พวกแม่นมหวังถูกร่างแหจนถูกตีไปด้วย ขอโทษจริงๆ!”
“ไม่เป็นไร!” หลิงหลงคาดไม่ถึงว่าจิงอิ๋งจะมาขอโทษเพราะเรื่องนี้ แม้ว่าจะโกรธเรื่องที่จิงอิ๋งลอบฟ้อง แต่หากเทียบกับแผนต่ำช้าของอู๋เลี่ยนเยี่ยนและพวกแม่นมหวังที่ทรยศแล้ว เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องเล็กไปทันที อีกทั้งหากจะพูดถึงเรื่องการฟ้องนั้น นางก็ลอบทำเช่นนี้กับจิงอิ๋งไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้งเช่นกัน
“แต่ว่า…” จิงอิ๋งมองหลิงหลงอย่างรู้สึกผิด เดิมทีนางคิดว่า เรื่องนั้นจะจบลงที่อู๋เลี่ยนเยี่ยนถูกส่งออกไป กลับไม่คาด คิดว่านั่นจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น และที่นางรู้สึกผิดที่สุดก็เป็นเพราะเรื่องคำเล่าลือนั้นเป็นตัวจุดชนวนของเรื่องนี้
“แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ฟ้องท่านพ่อและท่านแม่ แต่อย่างไรพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องที่ข้าไปเรือนสดับวายุอยู่ดี” หลิงหลงพูดความจริง นางไม่คิดว่าบิดาและมารดาจะรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของคนในบ้าน แต่หากแม้แต่จิงอิ๋งยังรู้เรื่อง เช่นนั้นก็ย่อมไม่อาจปิดบังทั้งสองคนได้ การฟ้องของจิงอิ๋งนั้นไม่ได้ชี้ขาดกันการตัดสินใจแต่อย่างใด
“แต่ว่า ข้ายังบอกกล่าวเรื่องที่เห็นแม่นมตู้คิดร้าย ให้ท่านเสียเวลารอที่เรือนสดับวายุไปเช่นกัน!” จิงอิ๋งยังคงรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย “ยามนั้นท่านพ่อโกรธมาก กล่าวว่าแม่นมตู้เหิมเกริมกล้าทำเรื่องกลั่นแกล้งเจ้านายเช่นนี้ เพราะมีคุณหนูอู๋คอยบงการ จงใจให้ท่านและพี่สะใภ้แตกคอกัน ต้องการให้ท่านเข้ากับพี่สะใภ้ไม่ได้! ข้าคิดว่าท่านพ่อต่อว่าท่าน ทั้งยังตีคนข้างกายของท่าน ก็คงเพราะเรื่องนี้!”
“แม่นมตู้จงใจถ่วงเวลา ให้ข้ารอเสียเปล่าอยู่ที่นั่นงั้นหรือ?” หลิงหลงนึกถึงคำพูดที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์บอกกล่าวขึ้นมา ‘จื่อ หลัวบอกว่าเจ้าถูกดึงตัวไว้ที่เรือนสดับวายุพักใหญ่ นั่นเป็นฝีมือของใครเล่า?’ ที่แท้คำตอบก็อยู่ตรงนี้ แท้จริงแล้วไม่เพียงแต่คนของตัวเอง แต่ข้างกายของท่านแม่ก็มีหอกข้างแคร่ของอนุภรรยาอู๋เช่นกัน จู่ๆ นางก็สงบจิตสงบใจลงมาได้
“ใช่แล้ว นางเป็นคนไม่ดี ข้าเห็นนางจงใจอยากให้ท่านกับพี่สะใภ้ทะเลาะกัน” จิงอิ๋งผงกหัว คล้อยหลังก็กล่าวอย่างอยากรู้อยากเห็น “ท่านได้ทะเลาะกับพี่สะใภ้หรือเปล่า?”
“เจ้าคิดว่าไงเล่า?” หลิงหลงไม่ได้ร้ายถึงขนาดนั้น นางมีใจคิดจะกล่าวดีๆ กับจิงอิ๋งเช่นกัน
“ข้าไม่รู้!” จิงอิ๋งสั่นศีรษะ “แต่สิ่งที่ข้ากล้ายืนยันก็คือ หากท่านกล้าทะเลาะกับพี่สะใภ้ ก็ย่อมมิวายถูกพี่สะใภ้จัดการเป็นแน่! ท่านคงไม่รู้ว่าพี่สะใภ้เก่งกาจขนาดไหน! แม้พี่สะใภ้จะดูอ่อนโยน เป็นคนดีมากๆ แต่นางก็หลักแหลมไม่น้อยเช่นกัน
จื่อหลัวบอกว่า แม้จะมีเพียงแมลงวันบินผ่านไปตรงหน้าพี่สะใภ้ นางก็จะรู้ได้ทันที…ก็เป็นเช่นนั้นแหละ…หากท่านพบพี่สะใภ้ครั้งแรกก็ทะเลาะ ไม่มีมารยาทต่อนางละก็ พี่สะใภ้แทบไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเหตุใดท่านจึงมีอาการเช่นนั้น หลังจากนั้นพี่สะใภ้ก็จะกล่าวอ่อนโยนให้ท่านกลับไปแต่โดยดี!”
“เจ้าเคยเจอเช่นนั้นมาก่อนหรือ?” หลิงหลงไม่อยากจะเชื่อ ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดถึงจิงอิ๋ง น้ำเสียงนั้นกลับไม่เหมือน กัน ดูคล้ายกับเอ็นดูนาง แทบที่จะเห็นจิงอิ๋งเป็นน้องสาว
“ไม่ใช่สักหน่อย! พี่สะใภ้ดีมากๆ!” จิงอิ๋งสั่นศีรษะ “ข้าเพียงแค่เชื่อคำพูดของจื่อหลัว นางและลู่หลัวล้วนเก่งกว่าพวกม่านซินทั้งนั้น เย็บปักถักร้อยเป็น ทำขนมอร่อยๆ ได้ด้วย ทั้งยังพูดจามีหลักการ แต่พวกนางก็กลัวพี่สะใภ้เป็นอย่างมาก พี่สะใภ้แค่ขมวดคิ้ว พวกนางก็รู้แล้วว่าพี่สะใภ้ต้องการอะไร หากพี่สะใภ้ไม่เก่งกาจจะเป็นเช่นนี้ได้หรือ? กลับกัน ข้าขยิบตาขึ้นมา พวกม่านซินยังไม่รู้เลยว่าข้าต้องการอะไร และนั่นก็เป็นเพราะว่าพวกนางไม่กลัวข้าสักนิด ทั้งไม่ได้รับใช้ข้าอย่างใส่ใจถึงเพียงนั้น”
“คุณหนู พวกบ่าวกล้าที่ไหน…” ม่านซินร้อนใจ คุณหนูพวกนางเหตุใดจึงกล้าเปรียบเทียบถึงเพียงนี้ จู่ๆ นางก็เกลียดชังสะใภ้ใหญ่ที่นางไม่เคยเห็นหน้าผู้นี้มาก่อน สอนให้คุณหนูรองเสียคนถึงเช่นนี้
“ไร้ระเบียบก็คือไร้ระเบียบ!” จิงอิ๋งกล่าวเสียงดังอย่างไม่พอใจ “แค่ใช้สายตาเป็นนัยก็ยังมองไม่ออก จื่อหลัว พวกนางนั้น หากได้ฟังพี่สะใภ้บ่นว่าเรื่องที่พวกนางไม่เข้าใจ ก็ไม่กล้าขัดอะไรออกมาแน่!”
“ม่านซิน เจ้าไปเถิด ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณหนูของพวกเจ้า” หลิงหลงมองจิงอิ๋ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน้องสาวคนนี้เปลี่ยน แปลงไปมากจริงๆ รู้จักพิถีพิถันเรื่องกฎเกณฑ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
“เจ้าค่ะ!” ม่านซินรับคำสั่งถอนตัวออกไปอย่างน้อยใจ
“จิงอิ๋ง เจ้าคิดว่าพี่สะใภ้เป็นคนดีจริงๆ อย่างนั้นหรือ?” หลิงหลงไม่ได้ถามอย่างมั่นใจมากนัก แม้แต่อู๋เลี่ยนเยี่ยนที่อยู่ข้างกายนางมาหลายปียังคิดวางแผนกับนาง แล้วคนที่พบหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียวอย่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะดีถึงแค่ไหนกันเชียว
“ดีมากๆ เลยล่ะ!” จิงอิ๋งพยักศีรษะ กล่าวอย่างไม่ลังเล “พี่สะใภ้เคยกล่าวว่า ความสัมพันธ์ของพวกเราคือพี่สะใภ้กับน้องสาวสามี ก็เหมือนกับเป็นพี่สาวน้องสาวนั่นแหละ แบ่งปันอะไรกันได้ แบ่งปันความลับ แบ่งปันความสุข แบ่งปันความทุกข์ ไม่มีอะไรที่ต้องแย่งชิงกัน ดังนั้นสนิทสนมกันจึงจะถูก แต่พี่สะใภ้กับน้องสะใภ้ไม่เหมือนกัน สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือการแย่งชิง ข้ามาคิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้น พวกเราไม่มีอะไรขัดแย้งกัน ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องทำร้ายซึ่งกันและกัน”
ใช่แล้ว หลิงหลงกระจ่างใจขึ้นมา มิน่าเล่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงพูดเช่นนั้น ตั้งใจตักเตือนนางเป็นพิเศษ แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะว่าปรารถนาดี แต่เพราะพวกนางไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นพันธมิตร ในเมื่อไม่ใช่ศัตรู เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู
“จิงอิ๋ง ยามนี้ข้าทุกข์ใจเป็นอย่างมาก” จู่ๆ หลิงหลงก็คิดอยากลองแบ่งปันความลับที่อาจจะไม่ใช่ความลับนั้นกับ
จิงอิ๋ง นางในตอนนี้รู้สึกเศร้าใจจริงๆ
“ข้ารู้ ดังนั้นท่านจึงได้มานอนอยู่บนเตียงนี่” จิงอิ๋งพยักหน้า “ข้ารู้อีกว่ายามที่ท่านถูกดุมาก็ยังรู้สึกดีใจในยามที่คนอื่นพบเจอกับความทุกข์อยู่บ้าง…ท่านอย่ามองข้าเช่นนั้น ท่านไม่เหมือนกันเสียหน่อย แต่ว่า เมื่อรู้ว่าท่านนอนอยู่บนเตียงเช่นนี้ ข้าก็เดาได้ว่าเรื่องต้องร้ายแรงอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นท่านก็คงไม่โกรธจนถึงขนาดไม่มีแรงถึงเพียงนี้หรอก ดังนั้นข้าจึงได้รู้สึกผิดแล้วก็มาพบท่าน”
ไม่นึกว่านางจะรู้ด้วยว่า หากตัวเองโกรธอย่างถึงที่สุดแล้วก็จะหมดซึ่งเรี่ยวแรง! น้ำตาหลิงหลงที่อดกลั้นไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ไหลรินลงมาอีกครั้ง ทำเอาจิงอิ๋งตกใจอย่างคาดไม่ถึง
“นี่ ท่านอย่าร้องไห้สิ! ข้าขอโทษแล้วนี่นา!” จิงอิ๋งลนลานไปหมด คล้อยหลังได้ยินเสียงพวกสาวใช้ถลาเข้ามาก็กล่าวดุออกไป “ออกไป! ไม่ได้เรียกเสียหน่อย พวกเจ้าเข้ามาทำไมกัน!”
สาวใช้ไม่กี่คนนั้นตกใจจนออกไปไวกว่าตอนที่ถลาเข้ามาเสียอีก
“ท่านอย่าร้องเลยนะ! ไม่อย่างนั้นข้า…ข้า…” จิงอิ๋งทำไม้ทำมือไม่ถูกไปหมด ซั่งกวนหลิงหลงเป็นคนเช่นไร แต่ไหนแต่ไรก็เก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง แล้วเหตุใดจู่ๆ คิดจะร้องก็ร้องออกมาเสียอย่างนั้น ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ?
“เจ้าจะทำไม?” หลิงหลงถามออกไปอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ถ้าอย่างนั้นท่านดุข้าเถิด!” จิงอิ๋งคิดขึ้นมาอย่างฉับไว “ต้องโทษที่ข้าเอาเรื่องไปฟ้อง ไม่เช่นนั้นท่านก็คงไม่โดนจับได้คาหนังคาเขา และก็คงไม่ถูกท่านพ่อต่อว่า ทั้งพวกนางก็คงไม่อาจถูกท่านพ่อใช้กฎของตระกูลลงโทษ ต่อว่าข้า ใจของท่านก็จะรู้สึกสบายขึ้นมา จะได้ไม่ต้องเศร้าใจไปถึงเพียงนั้น!”
“เจ้านี่นะ…” หลิงหลงเช็ดน้ำตา “เรื่องนี้ไม่โทษเจ้า เป็นข้าที่โง่เอง ไม่รู้ว่าจิตใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง จึงได้ถูกหลอกใช้อย่างนี้”
“หา?” จิงอิ๋งกล่าวอย่างร้อนตัว หรือหลิงหลงจะรู้ว่าคำเล่าลือที่ทำให้พวกนางขาดสติ ไม่สนคำเตือนของท่านพ่อและท่านแม่ ถ่อจนไปถึงเรือนสดับวายุนั้นเป็นตัวนางและหลิงลี่ที่กุเรื่องขึ้นมา? แต่เรื่องนั้นคนที่รู้ก็มีเพียงตัวเองและหลิงลี่ อีกทั้งสาวใช้อีกสองคนที่ถูกปิดปากไปแล้วนี่นา!
“เป็นอู๋เลี่ยนเยี่ยน!” หลิงหลงไม่ได้สังเกตถึงใบหน้าจิงอิ๋งที่ร้อนตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้ใส่ใจจิงอิ๋งที่ราวกับยกภูเขาออกจากอก ในยามที่นางกล่าวสามคำว่า ‘อู๋เลี่ยนเยี่ยน’ ออกมา
“นางทำอะไรท่าน? ข้าจะไปจัดการนาง คลายความโกรธให้เจ้า!” จิงอิ๋งรู้สึกโล่งใจ ที่แท้ต้นเหตุก็ไม่ใช่นาง แต่เป็นหญิงสาวที่ร้ายกาจผู้นั้น ดีล่ะ นางทำให้ท่านพี่ออกปากว่าเกลียดเช่นนี้ แหะๆ! พี่สะใภ้บอกแล้วว่า จะตีเสือก็ควรจะใช้พี่น้อง ยกทัพตีศัตรูก็ควรร่วมมือกับคนในครอบครัว และในตระกูลที่กว้างขวางเช่นนี้ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมมากที่สุดก็คือแม่กับลูกสาวและพี่สาวกับน้องสาว โดยเฉพาะพี่น้องร่วมสายเลือดควรต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียว คอยจัดการกับเภทภัยด้านนอกจึงจะถูก!
“แต่นางเป็นเมียบ่าวของพี่ใหญ่แล้ว” หลิงหลงพูดขึ้นมาก็ยังรู้สึกเสียใจ “ข้ารู้ว่านางชอบพี่ใหญ่ แต่นางก็ไม่ควรหลอกใช้ข้า ทั้งเพื่อให้ตัวเองได้บรรลุเป้าหมาย ยังทำให้พี่ใหญ่คิดว่าข้า…”
“นางหลอกใช้ท่าน หลังจากนั้นก็กลายเป็นเมียบ่าวของพี่ใหญ่?” จิงอิ๋งไม่ได้ชัดแจ้งมากนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่นั่นก็ไม่อาจขัดขวางความคิดของนางได้ กล่าวออกมาอย่างชิงชัง “พี่ใหญ่ไม่นานก็จะแต่งงานแล้ว ทั้งพี่สะใภ้ก็มาอยู่ถึงเรือนสดับวายุ นางยังกล้าแทรกตัวเข้าไปอีก! อี๋ ถ้าอย่างนั้นพวกเราเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่สะใภ้ดีหรือไม่ ให้พี่สะใภ้มาจัดการนาง?”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” หลิงหลงสั่นศีรษะ “หลังจากพี่สะใภ้รู้เรื่องนี้แล้วจะไม่โกรธข้าอย่างนั้นหรือ? หากไม่เป็นเพราะข้า อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็คงไม่อยู่ในตระกูลนานหลายปีถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คงไม่อาจมีโอกาสได้กลายเป็นคนของพี่ใหญ่เช่นนี้!”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” จิงอิ๋งกล่าว “พี่สะใภ้เป็นคนขี้สงสาร นางย่อมระบายความแค้นให้ท่านแน่ ทั้งพี่สะใภ้ยังเป็นคนหลักแหลม นางรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม”
หลิงหลงพอฉุกคิดขึ้นมาก็รู้ว่าสมควรเช่นกัน แต่ว่า…นางกล่าวอย่างลำบากใจ “พวกเราจะบอกเรื่องนี้กับพี่สะใภ้อย่างไรดี?”
“จะอย่างไรได้ล่ะ? ก็ไปพบพี่สะใภ้ตรงๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!” จิงอิ๋งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจมาก “ข้ารู้ว่าท่านกังวลว่าจะถูกต่อว่าอีก แต่ท่านไม่ใช่ถูกด่ามาตั้งแต่เช้าตรู่แล้วงั้นหรือ? ตอนเย็นกลับมาถูกด่าอีกครั้งก็คงไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง!”
หรือนี่จะนับว่ายืนอยู่ในน้ำก็ไม่ต้องกลัวเปียกฝน? หลิงหลงรู้สึกว่าจิงอิ๋ง เด็กลิงป่าผู้นี้ก็ดูน่าเอ็นดูขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน…
———————————-