เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 76 ละครของหญิงสาว (5)
เสียงบรรเลงพิณของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยและคนที่เขาพามาตกตะลึงกันไปไม่น้อย…ซั่งกวนเจวี๋ยมักจะถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดกรอกหูเรื่องข้อดีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาโดยตลอด กล่าวว่าฉลาดหลักแหลม รูปลักษณ์งดงาม เก่งกาจมากความสามารถ…ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเชื่อคำพูดของมารดามาก่อน เขารู้ว่ามารดาเคยพบเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาสองครั้งเท่านั้น ครั้งแรกคือก่อนที่จงเสวี่ยฉิงจะจากไป ส่วนครั้งที่สองก็คือตอนก่อนแต่งงาน แทนที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะพูดว่า นางรู้ดีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นหญิงสาวที่เก่งกาจขนาดไหน มิสู้กล่าวว่าเป็นเพราะมารดามีความสัมพันธ์ที่เลื่อมใสศรัทธาต่อจงเสวี่ยฉิง ดังนั้นความรู้สึกนี้จึงถูกถ่ายทอดมาสู่ตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียดีกว่า
แน่นอนว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นหญิงสาวที่ไม่เลวคนหนึ่งจริงๆ งดงามแต่ก็ไม่อวดตัว อ่อนโยนแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ สุภาพเรียบร้อย ยามที่ต้อนรับแขกก็ไม่เผยอารมณ์ฉุนเฉียวมาให้เห็นแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือบุคลิกที่ไม่เย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไป แต่เขากลับยี่งนึกไม่ถึงว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผู้นี้ยังมีฝีมือการบรรเลงพิณอย่างยอดเยี่ยมเสียด้วย
“ไพเราะยิ่ง! คนโบราณกล่าวว่าหากได้เสียงไพเราะเสนาะหู ก็สามารถอิ่มท้องจนไปถึงสามเดือน เพลงหิมะขาวพราวแสงทองของน้องสะใภ้นั้นมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา กล่าวได้ว่าเป็นเสียงไพเราะจากสวรรค์เลยทีเดียว!” หวงฝู่หลินจี้กล่าวชมเสียงดัง แม้ว่าจะชมเกินไปบ้าง แต่กลับไม่ได้มีคนกล่าวขัดแต่อย่างใด
“ขลุ่ยของน้องเจวี๋ย พิณของน้องสะใภ้ สองสามีภรรยาบรรเลงสอดประสานดนตรีร่วมกัน นับว่าเหมาะสมกันดียิ่ง!”
มู่หรงปั๋วเย่กล่าวด้วยยิ้มๆ อย่างคล้อยตาม สำหรับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เขานับว่ารู้สึกดีกับนาง เดิมทีเขาก็ชื่นชอบหญิงสาวที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ เยียนอวี่อนุภรรยาที่เขาโปรดปรานก็เป็นหญิงสาวที่นุ่มนวลอ่อนหวานอย่างนี้เช่นกัน เพียงแต่เมื่อเทียบกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วยังขาดเสน่ห์ไปอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะว่าเยียนอวี่เป็นวรยุทธ์ ดังนั้นจึงเผยความแข็งกร้าวองอาจไปบ้าง ทำให้ขาดความโอนอ่อนดั่งเช่นสายลมไป
“ขอบคุณท่านพี่ทั้งหลายที่กล่าวชม น้องสะใภ้มีฝีมือเพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่อาจรับคำชมเช่นนั้นได้จริงๆ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยใบหน้าแดงระเรื่อ ตอบกลับคำชมของทั้งสองไปอย่างถ่อมตน กระนั้นกลับลอบมองไปยังซั่งกวนเจวี๋ยครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ อยากจะรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ไม่คาดคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยก็กำลังมองตนอยู่พอดี จึงรีบร้อนเก็บสายตากลับมาประหนึ่งกวางน้อยที่ตกใจ ใบหน้านั้นกลับไม่ได้แดงประปรายอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเฉกเช่นดวงอาทิตย์ยามเย็น ความรู้สึกที่ขัดเขินของหญิงสาวนั้น ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยใจสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ทำให้คนที่มองดูสองสามีภรรยามาโดยตลอดต่างก็คิดไปต่างๆ นานา
“พี่ใหญ่ ท่านมานี่เลย!” จิงอิ๋งลากซั่งกวนเจวี๋ยเข้ามายืนด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างซุกซน กล่าวทั้งเผยยิ้ม “แบบนี้ดูรื่นหูรื่นตาขึ้นมาเยอะเลย พี่สะใภ้และพี่ชายใหญ่ยืนด้วยกันแล้วเหมาะสมเสียยิ่งกว่ากระไร!”
“มิผิด!” หลิงหลงก็กล่าวยิ้มๆ คล้อยตามด้วย “นี่จึงจะกล่าวได้ว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก พวกท่านว่าใช่หรือไม่เล่า?”
ทั่วป๋าฉินซินกัดฟันแน่น ส่วนชุยอวี่เฟยก็ขยำผ้าเช็ดหน้าในมือจนยับยู่ยี่ล้วนไม่อาจสงวนท่าทีไว้ได้โดยสิ้นเชิง หวัง
เหยียนหย่าเห็นท่าไม่ดีจึงส่งสายตาเป็นนัยให้แก่ทั่วป๋าฉินอิน ดึงให้ทั่วป๋าฉินซินกลับมา ทั้งยังให้ทั่วป๋าฉินอินสกัดจุดที่ลำคอทั่วป๋าฉินซิน ไม่ให้นางพูดคำที่ไม่สมควรใดออกมา
แม้ว่าจะมีโอกาสพบเจอกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงแค่สองครั้ง ทั้งยังในเวลาที่สั้นๆ แต่หวังเหยียนหย่าก็ได้วางตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจของตนคนหนึ่ง ก่อนที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์นางย่อมไม่อาจปล่อยให้ทั่วป๋าฉินซินลงมือบุ่มบ่ามทำอะไรแน่ ควรจะรู้ว่าทั่วป๋าฉินหลิ่งมีน้องสาวร่วมสายเลือดเพียงคนเดียว น้องสาวคนอื่นๆ นั้น หากไม่เป็นลูกบ้านอื่นที่ถูกนำมาเลี้ยงภายในนามบ้านหลัก ก็จะเป็นดั่งเช่นทั่วป๋าฉินอินที่ว่านอนสอนง่าย ทั้งมารดาก็ได้รับความโปรดปรานจากนายท่านและฮูหยินทั่วป๋า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานของทั่วป๋าฉินซินได้ทำให้ตระกูลทั่วป๋าเกิดโทสะยิ่งนัก หากวันนี้ยังเกิดเรื่อง หวังเหยียนหย่าก็ไม่รู้ว่าทั่วป๋าฉินหลิ่งจะโมโหตนอย่างไรอีก หวังเหมยเสียนก็เป็นคนคิดมาก จึงไม่มีใครจะสามารถช่วยนางดึงชุยอวี่เฟยเอาไว้ได้
ชุยอวี่เฟยกล่าวอย่างยิ้มเยาะ “พี่สะใภ้เจวี๋ยและคุณหนูมีความสัมพันธ์ที่ดีไม่น้อย ในสายตาของพี่หลิงหลง นอกจากพี่สะใภ้แล้วก็คงไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้นแล้วสินะ ช่างทำให้คนปวดใจเสียจริง!”
หลิงหลงขมวดหัวคิ้ว มองไปยังชุยอวี่เฟยด้วยข่มกลั้นโทสะ “หรือน้องอวี่เฟยทนไม่ได้ที่เห็นข้าสนิทสนมกับพี่สะใภ้หรืออย่างไร?”
“หลิงหลง พูดอย่างนั้นได้อย่างไรกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดึงหลิงหลงมาอยู่ข้างกาย ตำหนิเสียงเบา “อวี่เฟยเป็นคุณหนูตระกูลชุย ภายหลังก็ต้องเป็นญาติของเจ้า เห็นพวกเราสนิทสนมกันในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ย่อมต้องอิจฉาอยู่บ้าง เจ้าเป็นพี่ ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ จะเป็นการทำร้ายจิตใจของน้องอวี่เฟย”
“เข้าใจแล้ว พี่สะใภ้” หลิงหลงตอบรับอย่างไม่เต็มใจ อารมณ์โกรธบนใบหน้ายังไม่จางหายไปไหน และชุยฮ่าวหรันก็มีสีหน้าไม่ยินดีเช่นกัน น้องสาวผู้นี้ไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดถากถางหลิงหลงต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
“เจ้านี่นะ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวอย่างใจไม่แข็งพอที่จะตำหนิ ก่อนจะหันไปกล่าวกับชุยอวี่เฟย “น้องอวี่เฟยอย่าได้โกรธไปเลย แม้ว่ายามนี้ทุกคนทำได้เพียงนับว่าเป็นพี่น้องมิตรสหายกัน แต่หลิงหลงและคุณชายสามชุยได้มีการหมั้นหมายแล้ว ไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็ล้วนต้องเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น น้องอวี่เฟยก็อย่าได้ถือโทษโกรธไปเลย”
“อวี่เฟยเพียงเห็นว่าพี่สะใภ้เจวี๋ยและพี่หลิงหลงสนิทสนมกันจริงๆ จึงอดอิจฉาไม่ได้ ทำให้พี่สะใภ้เจวี๋ยเห็นเรื่องขบขันเสียแล้ว” ชุยอวี่เฟยก็รู้ว่าตนได้หุนหันพลันแล่นเกินไป สถานการณ์เช่นนี้ ตนเองจะเป็นที่เกลียดชังเอาได้ เพียงแต่เมื่อครู่โกรธจนขึ้นหน้า จึงได้ลงมือบุ่มบ่ามไป ดีที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนที่ไม่คิดเคืองแค้นอันใด ทั้งยังรู้จักประนีประนอมอีก
“ข้าไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์พี่สะใภ้น้องสามีระหว่างพวกเจ้าในอนาคตมีความบาดหมางอันใด น้องอวี่เฟยมีความรู้กว้างไกล สามารถเข้าใจได้ก็ดีแล้ว” การกระทำที่รู้ยั้งคิดของชุยอวี่เฟยทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลายสีหน้าราวกับหนักใจ คล้อยหลังก็กล่าวอย่างจริงใจ “แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอิจฉาอันใด รอหลิงหลงกลายเป็นพี่สะใภ้สามของเจ้าแล้ว นางย่อม จะรักเอ็นดูเจ้ามากกว่า ถึงเวลานั้นข้าที่เป็นพี่สะใภ้ก็จะปฏิบัติกับเจ้าเหมือนเป็นน้องเช่นกัน สามี ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่าลืมคิดเสียว่าน้องอวี่เฟยเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ด้วยล่ะ”
แววตาของซั่งกวนเจวี๋ยประกายความนับถือวาบขึ้นมา ดูท่าแล้วความในใจของชุยเฟยอวี่ที่มีต่อตน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รับรู้แล้วเช่นกัน และการกระทำที่ไม่รู้หนักเบาของชุยอวี่เฟยได้ยั่วโทสะของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างถึงที่สุด ประโยคที่ว่า ‘น้องสาวแท้ๆ’ ทำให้ความหวังของชุยอวี่เฟยละลายหายไปราวกับฟองสบู่แล้ว แต่ว่าก็ยังต้องการให้เขาร่วมผสมโรงไปด้วยอีก
“นี่ยังต้องพูดอีกหรือ” เดิมทีซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ได้คิดอะไรกับชุยอวี่เฟยอยู่แล้ว ทั้งยังไม่ชอบที่นางกำเริบเสิบสานกล่าวกับหลิงหลงเช่นนี้อีก หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หลิงหลงจึงรู้คิดยั้งมือ ก็ไม่รู้ว่าอาจจะเดือดดาลคิดทำลายชื่อเสียงตนเองขึ้นมาหรือเปล่า ดังนั้นจึงกล่าวคล้อยตามไป “น้องอวี่เฟยมักจะมาเป็นแขกประจำของบ้านอยู่แล้ว ข้าล้วนเห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆ มาโดยตลอด ภายหลังหากนางมีคู่ที่เหมาะสมแล้ว ข้าก็ย่อมไม่ลืมเตรียมของขวัญแต่งงานให้แน่!”
คำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยที่กล่าวกับชุยอวี่เฟยแทบไม่ต่างอะไรกับฟ้าที่ผ่าลงมาตอนกลางวันแสกๆ ภายในชั่วพริบตาใบหน้าของชุยอวี่เฟยก็ซีดเผือดไร้สีเลือด มองไปยังซั่งกวนเจวี๋ยอย่างเสียใจ ทั้งจ้องมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์เขม็ง ดีที่นางยังมีสติเส้นสุดท้ายเหลืออยู่จึงไม่ได้บุ่มบ่ามทำอะไรลงไป แต่ดวงตาสองคู่ก็ได้เคล้าคลอไปด้วยน้ำตา คล้ายกับถูกทำให้เสียหน้าก็มิปาน
“เหมยเสียน อวี่เฟยไม่สบายอยู่บ้าง เจ้าพานางกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด!” ชุยฮ่าวเหว่ยไม่เหมือนกับชุยฮ่าวหรันที่ใบหน้าถอดสีไปแล้ว เขายังคงรักษาความสุภาพกล่าวออกไป “ข้าวเที่ยงก็กินเป็นเพื่อนนางในห้องเสียเถิด!”
“พี่ใหญ่ ข้า…” ชุยอวี่เฟยเต็มไปด้วยความน้อยใจ นางไม่เชื่อว่าพี่ใหญ่จะส่งตัวนางออกไปในเวลาเช่นนี้ นางรู้ดีว่า หากตนเองออกไปแล้ว ก็คงไม่มีโอกาสที่จะใกล้ชิดซั่งกวนเจวี๋ยอีก อย่าพูดเลยว่านังผู้หญิงอสรพิษคนนั้นและตระกูลซั่งกวนจะจงใจดึงซั่งกวนเจวี๋ยให้ห่างไกลจากนางไป แม้ว่าจะเป็นคนตระกูลชุยที่คิดทุกวิธีทางเพื่อขัดขวางตัวเอง นางก็ย่อมต้องจับกุมโอกาสสุดท้ายที่กำลังจะหลุดลอยไปให้ได้
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สนใจ ‘สายตาราวคมดาบ’ ที่นางประกายเข้ามา กลับยิ้มอย่างเบิกบานมองการกระทำของพวกเขาหลังจากนั้นแทน หากชุยฮ่าวเหว่ยสามารถมองภาพรวมของสถานการณ์ออก จะทำลายความคิดเพ้อฝันของชุยอวี่เฟย และก็อาจจะทุ่มสุดตัวในการพาชุยอวี่เฟยออกไปละก็ นางก็จะเป็นผู้ชมอยู่เงียบๆ ไม่ขว้างหินลงไปซ้ำเติมในบ่อน้ำ รักษาหน้าของนางและตระกูลชุยไว้บ้าง แต่ถ้าหากชุยฮ่าวเหว่ยคิดจะปล่อยนาง ให้นางก่อเรื่องวุ่นอะไรในวันแต่งงานแรกของนาง ทำให้ตัวเองรู้สึกอึดอัด หรือเสียหน้าต่อผู้คนมากมายละก็ นางก็จะตีกระหน่ำซ้ำหมาที่ตกน้ำโดยไม่สนใจอะไร ให้นางไร้โอกาสที่จะชูหน้าขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ได้ พวกเรากลับไปกันเถิด” หวังเหมยเสียนไม่กล้าที่จะปล่อยให้ชุยอวี่เฟยอยู่ต่ออีกแล้ว ชุยฮ่าวเหว่ยยังไม่เห็นถึงความร้ายกาจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เพียงแค่พินิจจากหน้าตาสกุลชุยและการแต่งงานของชุยฮ่าวหรัน ก็เพียงพอต้องยับยั้งไม่ให้
ชุยอวี่เฟยทำเรื่องเกินงามแล้ว และนางก็เชื่อว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถทำให้ชุยอวี่เฟยเสียหน้าอย่างถึงที่สุดได้ง่ายดาย ทั้งตัวเองกลับยิ้มแย้มราวกับเรื่องไม่เกี่ยวกับตน
“สามี นี่ถึงเวลาอาหารแล้วหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นชุยฮ่าวเหว่ยสองสามีภรรยาเห็นพ้องต้องกันที่จะแยกชุยอวี่เฟย
ออกไป แม้แต่หางตาก็ไม่คิดจะแลมองสักนิด แต่กลับเอ่ยถามจุดประสงค์ที่พวกซั่งกวนเจวี๋ยมาอย่างเป็นห่วง
“ใช่!” ซั่งกวนเจวี๋ยรับบทสนทนากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างพอใจ สามารถจัดการชุยอวี่เฟยได้อย่างเงียบเชียบ ต่อหน้าเขาก็ยังรู้จักให้ตัวเขาเองเป็นคนตัดสินใจครั้งสุดท้าย(ประโยคที่ว่าน้องสาวแท้ๆ นั้นเป็นเขาที่ยอมรับ) อีกทั้งดูเหมือนว่าชุยอวี่เฟยจะสร้างเรื่องให้หลายครั้ง ก็ล้วนถูกนางรับมือไม่ว่า แต่ยังเสียเปรียบอีก จึงได้ทำให้ข่มกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ขนาดนี้ แม้แต่ท่าทีและฐานะของตนเองก็แยกแยะไม่ออกแล้ว และตระกูลทั่วป๋า? แม้หวังเหยียนหย่าจะควบคุมทั่วป๋าฉินซินอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังตกอยู่ในสายตาของคนไม่กี่คนอยู่ดี การกระทำเช่นนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นที่เรื่องฉลาดหรอกหรือ?
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด!” จิงอิ๋งลากซั่งกวนเจวี๋ยทั้งยิ้มหยีตาและหลิงหลงก็อยู่ด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงดึงทั้งสองคนเข้ามาหากัน “หลังจากรับประทานข้าวเที่ยงแล้ว ยังต้องทำอะไรอีกเยอะเลย!”
“น้องเจวี๋ยรับปากว่าจะเขียนอักษรพลิ้วขาวให้ข้า ฝีมือการเขียนอักษรพลิ้วขาวของน้องเจวี๋ยนั้นยอดเยี่ยม ไม่รู้ว่าการเขียนพู่กันจีนของน้องสะใภ้เจวี๋ยเป็นอย่างไรบ้าง?” ทั่วป๋าฉินหลิ่งกล่าวออกมาลอยๆ หญิงสาวส่วนมากชื่นชอบตัวอักษรแบบจานฮวา[1]เขียนออกมาด้วยเส้นเล็กคมชัดงดงาม แต่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นการเขียนพู่กันจีน
ส่วนทั่วป๋าฉินซินชอบซั่งกวนเจวี๋ยมาตั้งแต่เด็ก จึงพยายามอย่างมากในการฝึกเขียนอักษรพลิ้วขาว
“ที่เรือนสดับวายุก็คงเป็นฝีมือของสามีกระมัง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม “ยามนั้นจิงอิ๋งเอาแต่กล่าวชมข้างหูข้าไม่หยุด บอกว่าตัวอักษรของสามีได้รับการชื่นชมยกย่องเป็นอย่างมาก พลิ้วไหวอย่างอิสระ ทั้งปลดปล่อยไปตามอารมณ์อย่างลึกซึ้ง ตามลักษณะตัวตนของสามี ตั้งแต่เล็กข้าก็ได้เรียนอักษรพลิ้วขาวเช่นกัน เพียงแต่แค่ผิวเผินเท่านั้น ไม่อาจยกมาอวดชื่นชมได้”
“ใครว่าเช่นนั้นกัน” จิงอิ๋งกล่าวแย้ง “พี่สะใภ้ท่านอย่าได้ถ่อมตัวไปหน่อยเลย อีกเดี๋ยวให้พวกพี่ชายได้เห็นการเขียนตัวอักษรของท่าน จะพูดว่าท่านแสร้งถ่อมตนเสียเปล่า! พี่ทั่วป๋า ท่านคงไม่รู้ ฝีมือการเขียนตัวอักษรของพี่สะใภ้ยอดเยี่ยมมาก งดงามมีชีวิตชีวา แม้นจะต่างจากพี่ใหญ่ แต่ก็ล้วนยอดเยี่ยมเหมือนกัน”
ทั่วป๋าฉินหลิ่งคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก ไม่นึกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เล่นพิณได้ดีขนาดนั้น ทั้งมีความสามารถรอบด้าน จัดการกับชุยอวี่เฟยที่เป็นศัตรูหัวใจอย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของหญิงสาวชนชั้นสูง ฝีมือการเย็บปักไม่ธรรมดา ถักร้อยสิ่งของได้อย่างสดใสมีชีวิตชีวา ยามนี้ยังเชี่ยวชาญด้านตัวอักษรพลิ้วขาวอีก เช่นนั้นยังมีอะไรอีกบ้างที่นางไม่สามารถเล่า? ดูเหมือนว่าทั่วป๋าฉินซินจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเข้าให้แล้ว!
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงเผยยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งเบนกายไปทางซั่งกวนเจวี๋ยอยู่บ้าง ไม่ได้กล่าวอะไร หากรู้คำวิจารณ์ของทั่วป๋าฉินหลิ่งล่วงหน้า นางย่อมต้องหัวเราะในใจเป็นแน่…
เอาเถิด! พิณ หมาก พู่กันจีน ภาพวาด นางล้วนรู้มาบ้าง ไม่ใช่ว่านางถ่อมตัว แต่นางรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น! การเย็บปักถักร้อย นั่นเป็นเพราะจงเสวี่ยฉิงขอร้องให้เห็นความสำคัญ ดังนั้นจึงมีฝีมือลึกล้ำอยู่บ้าง การทำอาหาร นอกจากทักษะการจับมีด นางก็ถึงขนาดแยกไม่ออกว่าอันไหนคือ น้ำมัน เกลือ น้ำปรุงรส น้ำส้มสายชู แต่นางก็ได้ตั้งใจท่องตำราอาหารจบเล่มหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน อีกทั้งเป็นตำราอาหารเลิศรสที่มีชื่อเสียง สิ่งที่พอจะสร้างความตกใจได้ก็คือการวาดภาพ นางพอได้รับคำชมอยู่บ้าง ถ้าให้วาดก็ไม่มีปัญหา แต่ก็อาจจะวาดสะเปะสะปะไปบ้างเพราะคล้ายกับการถักร้อยอยู่บ้าง ไม่อย่าง นั้นก็ศิลปะวาดภาพแบบเสี่ยอี้ซานสุ่ยฮว่า[2] ขอเพียงแค่ได้ร่ำสุราเข้าไปเล็กน้อย ก็สามารถแสดงฝีมือออกมาได้แล้ว ส่วนศิลปะวาดภาพแบบกงปี่ฮว่า[3]อย่าได้พูดถึงเลย จะขายหน้าเปล่าๆ ส่วนหมากรุกจีน นอกจากสีขาวและสีดำแล้ว การวิเคราะห์บนกระดานหมากก็ล้วนไม่เข้าใจ ฝีมือการเล่นพิณนับว่าพอมีอยู่บ้าง อาจจะแสดงออกมาได้เพียงห้าหกบทเพลงเท่านั้นซึ่งก็มีเพลงหิมะขาวพราวแสงทองเป็นหนึ่งในเพลงที่คุ้นชินมากที่สุด และการเขียนพู่กันจีน เพราะต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อแขน ทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนวรยุทธ์ จึงนับได้ว่าเชี่ยวชาญอยู่จริงๆ…
————————————————-
[1] ตัวอักษรแบบจานฮวา ตัวอักษรแบบหนึ่งในสมัยโบราณ เขียนด้วยความประณีต เรียบร้อยและสวยงาม
[2] ศิลปะวาดภาพแบบเสี่ยอี้ซานสุ่ยฮว่า ศิลปะวาดภาพชนิดหนึ่งของจีน ใช้วิธีวาดอย่างอิสระเพื่อแสดงความรู้สึกออกมา มักจะวาดเป็นทัศนียภาพของภูเขา ลำธาร บ้านเรือน ต้นไม้ หินผา สะพาน เป็นต้น
[3] ศิลปะวาดภาพแบบกงปี่ฮว่า ศิลปะวาดภาพชนิดหนึ่งของจีนที่เน้นความละเอียดพิถีพิถันในการลงลายเส้นและลวดลาย