เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 98 พูดคุยเรื่องดอกไม้
เฉาซื่ออี๋จากไปแล้ว ทั้งยังพาคุณหนูทั้งสองของตระกูลซั่งกวนและซั่งกวนหลิงลี่ เด็กทโมนที่ไม่ว่าใครเห็นก็มีอันต้องปวดหัวไปด้วย ตระกูลซั่งกวนชั่วพริบตาก็ไม่เพียงแต่เงียบสงบ แต่ยังดูไร้ชีวิตชีวาขึ้นไปอีก ที่ที่คึกคักเพียงแห่งเดียวก็คงจะมีเพียงเรือนมีคู่
“ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้อีก ปลูกให้เต็มไปเลย!” เซียงเสวี่ยตะโกนเสียงดัง ออกคำสั่งกับบ่าวที่กายล่ำสันกลุ่มหนึ่งตรงกำแพงของเรือนมีคู่ ให้ปลูกดอกถานฮวาเรียงเป็นแถวไป สถานที่ก็ล้วนเป็นที่ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางแผนมาก่อนหน้าแล้ว
“มี่เอ๋อร์ เจ้าชอบดอกถานฮวาถึงขนาดนี้เลยรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยืนอยู่หน้าเตียงตรงห้องอ่านหนังสือชั้นสาม สถานการณ์ตรงด้านหน้าเรือนนั้นมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันที เขารู้สึกแปลกใจกับความชอบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่บ้าง
“อื้ม…จากดอกไม้ทั้งหมด ข้าชื่นชอบดอกถานฮวาที่สุด ส่วนดอกอื่นๆ ก็ล้วนพอได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผินหน้าไปเล็กน้อย ย้อนถามอย่างเริงร่าแฝงไปด้วยความน่าเอ็นดูอยู่บ้าง กล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ “สามีชอบหรือเปล่า?”
“อยากให้ข้าพูดความจริงหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยสนใจขึ้นมาในทันที หากในยามปกติ เขาก็คงจะพูดคล้อยตามไปว่า ‘ก็ชอบ’ แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือภรรยาของตน ถ้าหากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย คนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขาในอนาคตตลอดไปนั้น เขาอยากจะรู้เป็นอย่างมาก หากนางพบว่าตัวเขาเองและนางมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน นางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“ที่แท้สามีก็ไม่ชอบดอกถานฮวา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยากที่จะปกปิดความผิดหวัง เพียงแต่ชั่วพริบตาก็ร่าเริงขึ้นมา กล่าวถามยิ้มๆ “เช่นนั้น สามีมีดอกอะไรที่ชอบหรือไม่?”
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้เล่า” ซั่งกวนเจวี๋ยอดยิ้มออกมาไม่ได้ จงใจกล่าวสัพยอก “หรือมี่เอ๋อร์คิดว่านอกจากดอกถานฮวาก็ไม่มีดอกอื่นๆ มีค่าพอให้ชื่นชอบอีกแล้วหรือ?”
“ไม่ใช่เสียหน่อย! ดอกหลันฮวาในฤดูใบไม้ผลิ ดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วงต่างก็มีความพิเศษต่างกันไป ดอกไม้แต่ละชนิดย่อมมีจุดโดดเด่นที่ดึงดูดคน ดอกไม้ล้วนงดงามทั้งหมด แต่ทุกคนต่างก็มีความชอบเป็นของตนเอง มี่เอ๋อร์จึงอยากรู้เป็นอย่างมากว่า ผู้ที่หล่อเหลามากความสามารถเฉกเช่นสามีนั้น จะชมชอบเพียงแต่อะไรที่สบายหูสบายตาอย่างผืนฟ้าก้อนเมฆ ไม่โปรดปรานความสดใสครื้นเครงหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างหยอกเย้าอยู่บ้าง
ฮะ? ซั่งกวนเจวี๋ยตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยเข้าใจความหมายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่กลายๆ กล่าวยิ้มๆ “หรือมี่เอ๋อร์คิดว่าสามีเป็นประเภทที่หัวสูง มองได้แค่เพียงท้องฟ้า?”
“ไฉนสามีจึงเข้าใจผิดไปเช่นนั้นเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยให้เห็นรอยยิ้มในดวงตา ทว่าใบหน้ากลับแสร้งทำเป็นน้อยใจ “ความหมายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คือสามีมีหูตากว้างไกล มีความคิดแตกต่าง ชอบเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ก็เท่านั้นเอง!”
“จริงรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเห็นถึงแววตาของภรรยาตัวน้อยที่แทบจะปรากฏรอยยิ้มออกมา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางกำลังหยอกล้ออยู่ แต่ว่าเขาชอบที่จะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นเช่นนี้มากกว่า แม้ว่าจะไม่ได้เหมือนพวกที่หูตาแพรวพราวใจกล้า แต่กลับไม่ถึงขนาดที่แข็งทื่อ ไร้ชีวิตชีวา โดยเฉพาะน้ำเสียงที่นุ่มนวลของนาง ชวนให้คนที่ฟังรู้สึกสบายหูอย่างยิ่ง
“จริงสิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างจริงจัง “หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดโกหกสามีก็เป็นลูกหมาแล้ว!”
“มี่เอ๋อร์ เจ้ากำลังบอกว่าเจ้าโกหกข้า เจ้าเป็นลูกหมา หรือหลอกด่าข้าว่าเป็นลูกหมากันแน่?” ซั่งกวนเจวี๋ยจงใจเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คล้ายกับคาดคั้นอย่างดุดัน
“สามีพูดอะไรกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกตาโต เผยหน้าคล้ายกับเป็นผู้บริสุทธิ์ ฝีเท้านั้นค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้กับประตู ในยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยเผยแววตาขบขัน ท้ายที่สุดก็ไปอยู่ตรงปากประตู ใบหน้านางปรากฏรอยยิ้มหวานอย่างถึงที่สุดออกมา “แน่นอนว่าเป็นสามีที่เป็นลูกหมา!”
พูดจบก็หมุนตัวหนี คล้อยหลังกลับชนเข้ากับอ้อมอกที่อบอุ่นอย่างไม่ทันคาดคิด ซั่งกวนเจวี๋ยที่กระโดดมาจากด้านบนจงใจแสร้งกล่าวบดฟัน “นี่มี่เอ๋อร์คิดจะไปไหนอย่างนั้นรึ?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของซั่งกวนเจวี๋ย เงยหน้าที่แดงไปทั้งแถบขึ้น ตัวเองก็รู้สึกได้ว่าหน้าร้อนไปอยู่บ้างเช่นกัน กระนั้นกลับยังคงพยายามรักษาท่าทีให้เรียบนิ่ง กล่าวยิ้มๆ “มี่เอ๋อร์ไม่ใช่กำลังซบอยู่ในอ้อมอกสามีหรอกหรือ?”
มองใบหน้างดงามที่แสร้งทำเป็นเรียบนิ่งนั้น หน้าผากที่ดูแทบจะร้อนเป็นไฟ ทั้งยังแววตาที่แฝงความขวยเขิน ซั่งกวนเจวี๋ยจึงอดไม่ได้ ก้มหัวลงก่อนจะประทับริมฝีปากบนหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นนั้น ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยใจเต้นตึกตักขึ้นมา แต่ภรรยาตัวน้อยที่เผยแววตาตกใจ ทั้งลำคอยังแดงเถือกไปทั่ว ก็ทำให้เขารู้สึกเอ็นดูเช่นกัน นางยังปรับตัวไม่ทันกับความสัมพันธ์เช่นนี้ ทั้งยังไม่ได้เตรียมใจที่จะใกล้ชิด…
“ครั้งต่อไป จะเป็นตรงนี้!” ซั่งกวนเจวี๋ยใช้มือแตะที่ริมฝีปากของนาง กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าอยู่บ้าง เมื่อได้กอดนาง เขาจึงเพิ่งรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นบอบบางขนาดไหน ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดคล้ายกับมีก็เหมือนไม่มี กลิ่นไม่คุ้นที่หอมจางๆ แต่น่าดึงดูดนั้นทำให้เขาไม่อยากปล่อยนางไป
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกได้ว่าแม้แต่นิ้วเท้าของนางก็ย่อมต้องแดงตามไปด้วยแน่ ทั่วทั้งร่างนั้นร้อนรุ่มอย่างถึงที่สุด แม้ว่าจะชอบเขาอยู่นานก่อนแล้ว แต่ก่อนที่นางจะพบว่าตนเองได้ชอบเขาก็ไม่เคยทำอะไรที่ใกล้ชิดอย่างนี้…นางเป็นฝ่ายรุกในคืนส่งตัวเจ้าสาว ฉวยโอกาสยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้สติ แต่นางกลับลบเรื่องที่เอาเปรียบผู้อื่นนั้นออกไปเสียแล้ว
ไม่ใช่ว่านางขโมยกินแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน แต่…ยามที่ไม่ได้สติ แม้ว่าจะจู่โจมก็ล้วนไม่อาจรู้สึกตัวนั้นกับตอนที่สติเต็มร้อยเช่นนี้ เป็นฝ่ายรุกกอดตัวเอง ทั้งยังพูดคำสองแง่สองง่าม จะเหมือนกันได้อย่างไร? ทั้งจะเอามาพูดเหมือนเป็นเรื่องเดียวกันได้ที่ไหนเล่า?
แม้ว่าสถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้ในตอนนี้จะเป็นตัวเองที่จงใจ แต่ว่าถึงแม้จะรู้ แต่ก็ไม่อาจห้ามความขวยเขินที่ไร้ทางควบคุมของตัวนางเองได้อยู่ดี!
“มี่เอ๋อร์บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงชอบดอกถานฮวา?” ซั่งกวนเจวี๋ยเปลี่ยนประเด็น เขายังคงสงสัยเป็นอย่างมาก หากว่าเขายืดเยื้อเรื่องเดิมต่อไปอีก ภรรยาตัวน้อยของเขาจะขวยเขินจนเบียดตัวเข้าไปอยู่ในที่ใดสักที่กระมัง ทั่วทั้งตัวล้วนแต่ร้อนรุ่มจนเหมือนจะลุกเป็นไฟ ไม่ว่าจะเป็นที่ใด ก็คล้ายจะไม่ไหวทั้งนั้น อย่างไรก็อย่าไล่ต้อนไปกว่านี้ดีกว่า
“สามีปล่อยมี่เอ๋อร์ก่อนได้หรือไม่?” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็แหบอยู่บ้าง น้ำเสียงที่ไม่คุ้นชินนั้นทำให้ตัวนางเองตกใจเสียยกใหญ่ เหตุใดนางจึงถูกเย้าแหย่ได้ง่ายถึงเพียงนี้ ไม่ได้ เป็นเช่นนี้ไม่ได้ จะต้องหาวิธีกู้หน้าคืนจากคำถามนี้ให้ได้
ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้มเล็กน้อย ปล่อยให้นางผละออกจากอ้อมกอดเขาโดยไม่ขัดขวาง ทว่ากลับดึงมือของนางเอาไว้ พากลับไปยังหน้าต่าง “ดอกถานฮวาพวกนี้ล้วนดูอุดมสมบูรณ์ คาดว่าในปีนี้ก็คงจะออกดอกเป็นแน่ ถึงเวลานั้นทั้งเรือนก็จะเต็มไปด้วยดอกถานฮวา ทั้งยังคงต้องส่งกลิ่นหอมโชยออกมา”
“ครั้งแรกที่ข้าพบดอกถานฮวา หลังจากรู้ความพิเศษของมันแล้วก็ค่อยๆ หลงใหลมันมากขึ้นไปอีก! สามีไม่คิดว่าดอกถานฮวามีชื่อเสียงในความโดดเด่นและมีนัยยะแฝงอย่างที่ดอกอื่นๆ ไม่มีหรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวออกมาไม่หยุด
“มีความพิเศษอันใด? กระหยิ่มยิ้มย่องในตัวเอง?” แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะรู้จักดอกถานฮวา ทั้งยังรู้ว่ายังเป็นดอกที่เบ่งบานยามราตรีย่อมมีความโดดเด่นอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้เคยศึกษาอะไร งานบุปผาเดือนสิบสองก็ไม่มีส่วนของดอกถานฮวา
“กระหยิ่มยิ้มย่องในตัวเองคือดอกเหมยต่างหาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองอย่างตำหนิ ไม่น่าเกลียดแม้แต่น้อย กลับกันยังดูน่ามองเป็นอย่างมาก “ในยามที่ทุกสิ่งโรยรา ดอกเหมยนั้นยังคงยืนหยัดอยู่ได้เพียงผู้เดียว มีคนกล่าวว่าดอกเหมยทนต่อหิมะจึงสามารถเบ่งบาน นั่นนับเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ แต่ข้าว่าเป็นการยกยอปอปั้นก็เท่านั้น รูปลักษณ์ของมันงดงามไม่เท่าดอกท้อ ทั้งยิ่งไม่ต้องพูดถึงความตระการตาของดอกไห่ถัง ความหอมและความงามยังด้อยกว่าดอกหลันจื่อ ทั้งกลิ่นหอมกรุ่นก็ยังเทียบกับดอกเยว่กุ้ยไม่ได้ หากไม่ได้เลือกดอกที่ผลิบานในอากาศหนาว เดิมทีก็แทบที่จะไม่มีใครให้ความสนใจหรือรู้จักมัน การทำเช่นนี้ หรือไม่ใช่ว่าก็เป็นเพียงแค่การเสนอความคิดแปลกใหม่ออกมา ยกยอปอปั้นไปเอง?”
ยังมีวิธีคิดเช่นนี้ด้วยรึ? ซั่งกวนเจวี๋ยเงียบไป ทุกคนล้วนคิดเหมือนกันว่าดอกเหมยนั้นแข็งแกร่งทนต่อความหนาว ยืนหยัดและมีความทระนง ยิ่งเปรียบอีกว่าพวกคุณชายนั้นก็เป็นเหมือนดั่งดอกเหมย เด็ดเดี่ยวมั่งคงไม่สั่นคลอนต่อสิ่งใด แต่เหตุใดในสายตานางดอกเหมยกลับดูแย่เช่นนี้เล่า? แต่ฟังดูก็มีเหตุผลเช่นกัน
“เช่นนั้นมี่เอ๋อร์คิดว่าดอกถานฮวามีความพิเศษอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกว่าภรรยาตัวน้อยของตนคนนี้ก็เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ไม่เหมือนดั่งภายนอกที่บอบบาง แม้จะรู้ว่านางก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกก็ตาม แต่อย่างไรก็ยังคงเหนือความคาดหมายอยู่ดี
“มันมีความลึกซึ้งเป็นนัยแฝงอย่างมาก เบ่งบานในราตรีที่เงียบสงัด ไม่ได้อยากให้ใครมายกยอปอปั้น เพราะมันรู้ดีว่าเวลานั้นทุกสิ่งล้วนหลับใหล มันจึงผลิบานเพื่อให้ตัวเองชื่นชม แต่มันเชื่อมั่นและภาคภูมิขนาดนี้ได้อย่างไร ดอกที่เบ่งบานขนาดใหญ่ กลีบดอกที่สดใสพร่างพราว กลิ่นหอมที่คล้ายทั้งใกล้และไกลเหมือนจะมีและก็ไม่มีเช่นกัน ดอกไม้งามอย่างไรก็ต้องการให้คนชื่นชม มันกล้าเลือกเวลาเบ่งบานเช่นนั้น ก็เพราะตัวมันมีความมั่นใจอย่างมาก มั่นใจรูปร่างที่งดงามของมันว่า แม้จะเป็นยามราตรี ก็ย่อมมีคนรอคอยเพื่อที่จะยลโฉมมัน มันจึงมีแต่คนที่มีความรู้สึกลึกซึ้งเท่านั้นที่จะชื่นชมมันได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวทั้งแฝงความทระนงเล็กน้อย
นางกำลังพูดถึงตัวเองหรือ? ซั่งกวนเจวี๋ยสงสัยเป็นอย่างมาก ผู้หญิงมักชอบใช้ดอกไม้มาเปรียบเทียบกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ว่า…ซั่งกวนเจวี๋ยครุ่นคิดสักครู่ แต่นางก็คล้ายกับจะมีลักษณะเหมือนดอกถานฮวาจริงๆ บางครั้งก็ดูลึกลับ และก็มีบางครั้งที่เปิดเผยความโดดเด่นออกมาเช่นกัน
“หากจะหาคำมาเปรียบเทียบ มี่เอ๋อร์ เจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นดอกไม้อะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่บ้าง “มี่เอ๋อร์ไม่รู้ตัวเช่นกัน! แต่ว่า ท่านแม่เคยกล่าวว่า นางเป็นดอกโบตั๋นที่อยู่ในช่วงเวลางดงามที่สุด หวังว่ามี่เอ๋อร์จะไม่ใช่อย่างนั้น”
“ดอกโบตั๋นไม่ดีหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นความขมขื่นของนาง ก็จงใจกล่าวเย้าแหย่ “ดอกโบตั๋นงดงามไร้ผู้เทียบเคียง เป็นราชาของร้อยบุปผา จะมีคนไม่ชอบได้ด้วยหรือ?”
“สามี นอกจากช่วงเวลาเบ่งบานแล้ว ท่านจะชมดอกโบตั๋นหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามทั้งแฝงความเศร้าอยู่บ้าง
ซั่งกวนเจวี๋ยตกตะลึงไปเล็กน้อย ยามที่ดอกยังไม่ผลิบาน ใครจะมาชื่นชมเล่า?
“แต่ว่า ในยามที่หลันฮวายังไม่ออกดอก ก็มีคนชื่นชมยอดใบของมันแล้ว ต้นไผ่ตั้งแต่เริ่มแตกหน่อก็มีคนให้ความสนใจในการเติบโตของมัน ดอกบ๊วยยามที่ยังไม่เบ่งบาน ก็ยังมีกิ่งก้านที่ยังคงยืนหยัดงดงาม แต่ดอกโบตั๋นเล่า? ยามที่ผลิบานทุกคนต่างก็ชื่นชมให้ความสนใจ แต่ในยามที่ร่วงโรย จะมีสักกี่คนที่รู้สึกเสียดายกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ
“เอ๊ะ ที่สีเทาๆ นั่นมันอะไรกัน?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรอยู่บ้าง หญิงสาวมักจะอารมณ์เปราะบาง แต่ที่แตกต่างคือความถี่และระยะเวลา พอดีกับเห็นมีบ่าวลากรถที่ขนสิ่งแปลกๆ เข้ามา มีสีเทา คล้ายกับรากของต้นอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่มีกิ่งก้านและใบไม้ แต่ไหนแต่ไรซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่เคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อน
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเขากำลังเปลี่ยนเรื่อง แต่เรื่องอารมณ์เปราะบาง นางก็ไม่ถนัด จึงมองคล้อยตาม ก่อนจะกล่าวอย่างตื่นตาตื่นใจ “คาดไม่ถึงว่าลุงจิ่นจะหาสิ่งนี้พบ นี่นับเป็นของหายากจริงๆ!”
“มันคืออะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยแทบจะไม่อยากละออกจากใบหน้าที่ตื่นเต้นและเปล่งประกายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“เคราฤาษี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างอดดีใจไม่ได้ “สามี มี่เอ๋อร์อยากจะแขวนพวกเถาวัลย์ลงมาจากชายคามาโดยตลอด รอมันเติบโต ก็จะห้อยตัวลงมาเป็นม่านสีเขียว ทั้งดูงดงามและสดใส แต่การดูแลรักษานั้นยุ่งยากเป็นอย่างมาก มี่เอ๋อร์ก็เคยอ่านหนังสือเจออยู่ว่ามีต้นไม้ที่แปลกมากชนิดหนึ่ง ต้นไม้ชนิดนี้ก็คือเคราฤาษี การเพาะปลูกและการดูแลนั้นง่ายเป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าลุงจิ่นจะหามาได้จริงๆ!”
“เคราฤาษี?” ชื่อที่ดูไม่คุ้นหูโดยสิ้นเชิง
“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างสดใส หากใช้สิ่งนี้ปลูกตามที่วางแผนไว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ขอเพียงแค่เข้าใกล้ ย่อมเกิดเสียงออกมาเป็นแน่ ทั้งไม่ต้องกังวลว่าคนที่มาจะมีวรยุทธ์ลึกล้ำ อย่างไรก็ย่อมไร้ทางสังเกตเห็น
“สามีเคยเห็นพืชที่ไม่มีราก และไม่ต้องใช้ดินในการปลูกมาก่อนหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างสัพยอก “เคราฤาษีก็เป็นเช่นนั้น มันยังถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พืชอากาศ ขอเพียงแค่ให้พื้นที่ที่มันสามารถปีนป่ายได้ ทั้งมีแสงอาทิตย์และลมฝนเพียงพอ มันก็จะเติบโตเร็วเป็นอย่างมาก ถึงขนาดออกดอกได้ด้วย!”
ไม่ต้องใช้ดินก็สามารถปลูกได้? เป็นครั้งแรกที่ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงคนโง่เขลาไม่มีความรู้ เขารู้ที่ไหนกัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค้นหากับเซียงเสวี่ยมานานนม จึงพบกับสิ่งนี้ได้ และซั่งกวนจิ่นก็สืบหาอย่างยากลำบากกว่าจะค้นพบการมีอยู่ของมันได้ ทั้งนับว่าเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“หากในหนังสือกล่าวไม่ผิด ขอเพียงแค่สิบกว่าวัน เรือนเล็กนี้ของข้าย่อมมีม่านสีเทาของเคราฤาษีปกคลุมเป็นแน่ ถึงเวลานั้นสามีอย่ามาอิจฉาล่ะกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
“คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่เรียกพบเจ้าค่ะ!” เสียงดังจากประตูดังขึ้นมาตัดบทคำพูดของซั่งกวนเจวี๋ยที่กำลังจะกล่าว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่านย่า? ไม่มีเค้าสาเหตุ นางให้คนมาเรียกตนเองทำไมกัน?
“ฮูหยินใหญ่มีเรื่องอะไรถึงเรียกข้า?” เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีท่าทีไม่ร่าเริงอยู่บ้าง ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่พอใจเล็กน้อย ตระกูลซั่งกวนแทบจะทุกคนล้วนรู้ดีว่า เขากำลังพัฒนาความสัมพันธ์กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หรือนางอาจจะจงใจส่งคนมารบกวน
“เป็นคุณหนูหวง คุณหนูอวี้และคุณหนูสือกลับเข้าจวนมา คุณหนูสามท่านไม่ได้พบหน้าคุณชายใหญ่มาเดือนกว่า คิดถึงเป็นอย่างมาก จึงขอเชิญคุณชายเข้าไปพบคุณหนูทั้งสามหน่อยเจ้าค่ะ”
รังแกคนเกินไปแล้ว! ไม่เพียงแต่ตัดสินใจเชิญเชื้อหญิงสาวทั้งสามกลับจวนเอง ถึงขนาดมาขัดตนที่นี่อีก! เยี่ยนมี่เอ๋อร์โมโหอย่างถึงที่สุด ดูท่าระหว่างพวกนางคงจะอยู่กันแบบสงบสุขไม่ได้แล้ว เอาเถิด เจ้าจะทำสงครามข้าก็จะทำตอบ ดูกันว่าใครจะหัวเราะได้จนถึงตอนสุดท้าย!
“สามี ฮูหยินใหญ่มีคำสั่ง ท่านเข้าไปเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบคิดอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีความเจ้าเล่ห์แสนกลเหมือนก่อนหน้านี้ ทั้งยังไม่มีความทระนงตนแม้แต่น้อย เพียงแค่เป็นรอยยิ้มที่ไม่แฝงอารมณ์ใดใด ดวงตาก็ดูเรียบนิ่ง ทว่าลึกลงไปในแววตานั้นกลับดูจนใจและเจ็บปวด
“นั่นไม่สำคัญ อย่างไรข้าไปดูเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่าว่าพวกเขาปลูกเคราฤาษีกันอย่างไร!” ซั่งกวนเจวี๋ยสงสารเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายใน
“นั่นไม่สมควร! มีแขกมา ทั้งยังเป็นสหายเก่าของท่าน ท่านไม่ไปก็เสียมารยาทแล้ว ฮูหยินใหญ่ตั้งใจส่งคนมาเชิญท่าน ไม่ทำตามนับว่าไม่เชื่อฟัง มี่เอ๋อร์ไม่อยากให้เพื่ออยู่เป็นเพื่อนข้าแล้วสามีจึงถูกผู้อื่นตำหนิได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ คล้อยหลังก็แสร้งกล่าวอย่างสบายๆ “ยิ่งไปกว่านั้น มี่เอ๋อร์ยังคิดอยากจะรอให้ปลูกเคราฤาษีเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน จะได้ทำให้สามีตกใจได้มากกว่า”
มองลึกลงไปในดวงตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางที่จงใจแสร้งทำเป็นซุกซนทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งสงสาร แต่เมื่อมาคิดถึงนิสัยของทั่วป๋าซู่เยวี่ย หากตัวเองไม่ไปปรากฏตัว ก็ไม่รู้ว่านางจะก่อเรื่องขึ้นอย่างไม่สนใจหน้าตา ทั้งไม่คำนึกถึงผลลัพธ์อะไรทั้งนั้นอย่างไร!
———————————–