เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 101
บทที่ 101 ลักพาตัวเด็กไปแล้ว
อีกวันหนึ่ง เวลาช่วงเช้าประมาณแปดโมง เจี่ยงเวินอี๋ก็ย้อนกลับมาภายใต้การเคียงข้างของเลขาและทนายความ
เพียงแต่ว่าก่อนที่เธอจะกลับไปบ้านตระกูลลี่นั้น เธอได้ไปที่บริษัทรอบหนึ่งก่อน
ในห้องทำงานที่ชั้นบนสูงสุดนั้น เธอพบกับลี่เฉินซีที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ได้กลับบ้านกลับช่องอยู่
เจี่ยงเวินอี๋เดินเข้าไป แล้วกวาดตามองเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานอันใหญ่โตของเขาทีหนึ่ง ยังมีคอมพิวเตอร์อีกหลายเครื่องที่กำลังจัดการเรื่องเกี่ยวกับบริษัทHSทั้งหมดอยู่ แต่ว่าโครงการCCUที่แท้จริงนั้น กลับโดนเขาละทิ้งไว้อีกข้างหนึ่งไปนานแล้ว
เพราะว่าเป้าหมายไม่ใช่งาน เพราะฉะนั้นเจี่ยงเวินอี๋จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงแต่แค่พูดจาตรงประเด็นและเข้าเรื่องโดยตรงเลย “เฉินซี หย่ากับซูย้าวเถอะ! ผู้หญิงแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะให้อยู่ในบ้านเราอีกต่อไปแล้ว!”
ลี่เฉินซีที่ยุ่งมาทั้งคืนแล้ว ในเวลานี้กำลังนั่งพิงหลังอยู่บนเก้าอี้เถ้าแก่ และหลับตาอยู่ คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันแน่น พอได้ยินคำพูดที่มารดาพูดออกมานั้น บนใบหน้าที่หล่อเหลา ก็เริ่มมีแววกังวลปรากฏออกมาเล็กน้อย
“เขาปฏิบัติต่อคนในครอบครัวตัวเองยังฝีมือโหดเหี้ยมขนาดนี้ แล้วยิ่งไปกว่านั้นกับคนฝั่งบ้านสามีอย่างพวกเราล่ะ ไม่ว่ายังไง ฉันจะไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นลูกสะใภ้อย่างแน่นอน!”
เจี่ยงเวินอี๋พูดได้อย่างเฉียบขาด ในคำพูดเต็มไปด้วยความรังเกียจและความโกรธเกลียดในตัวซูย้าว
เธอพูดไปมากมาย และเนิ่นนาน ลี่เฉินซีถึงจะค่อย ๆ ลืมตาที่มีนัยน์ตาดำลึกซึ้งขึ้นมา และจ้องมองมารดา คำพูดที่เปิดปากพูดมานั้นค่อนข้างเย็นชา “คนที่แต่งงานกับเขา เหมือนจะคือผมนะครับ แต่ไม่ใช่แม่!”
“แน่นอนว่าเป็นพวกเธอที่แต่งงานกันนะซิ ไม่งั้นแม่จะมาหาลูกทำไม?” เจี่ยงเวินอี๋อารมณ์หงุดหงิด และพูดขึ้นอีกครั้งว่า “เฉินซี แม่ไม่ได้พูดเล่นกับลูกนะ จะต้องหย่ากับเขาแล้วจริง ๆ! ลูกอย่ามัวแต่ใจอ่อนมีเมตตาอยู่อีกเลย!”
“ใจอ่อนมีเมตตาเหรอ?” ลี่เฉินซีเหมือนกับว่าจะได้ยินศัพท์ที่มีความหมายมากคำหนึ่ง
แล้วเธอก็พูดขึ้นอีกว่า “แม่รู้ว่าลูกเป็นคนใจดี เห็นซูย้าวเป็นคนใบ้คนหนึ่ง ที่พ่อแม่ก็ไม่รักไม่เอ็นดู ไม่มีที่พึงไร้ญาติขาดมิตร ก็มักจะสงสารเขา ถึงได้ไม่เอ่ยเรื่องขอหย่าออกมา แต่ว่าตระกูลลี่ของเราก็ไม่ได้เป็นองค์กรการกุศลนะ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาดูแลผู้หญิงแบบนี้อีกแล้ว!”
คิ้วของลี่เฉินซียิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นไปอีก น้ำเสียงยังคงขรึมต่ำเช่นเดิม “ในเมื่อแม่รู้ว่าพ่อแม่ของเธอไม่รักไม่เอ็นดู และยังไม่มีที่พึงไร้ญาติขาดมิตรอีก งั้นเรื่องของคราวนี้ จะมาโทษเธอทำไมกัน?”
“แต่ว่า……”
เจี่ยงเวินอี๋โดนคำพูดประโยคเดียวของเขาทำให้อึ้งจนพูดไม่ออก หมดคำพูดจนต้องเม้มปากเล็กน้อย พูดว่า‘แต่ว่า’ผ่านไปตั้งนานแล้ว สุดท้ายถึงจะเค้นคำพูดออกมาได้ประโยคหนึ่งว่า “นั่นมันก็โหดเหี้ยมเกินไปนี่! ไม่ว่ายังไง อย่างน้อยก็ยังเป็นพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปบีบคั้นคนให้ไปสู่หนทางตายเลยนี่!”
เสียงพูดดังอยู่ที่ในหู รอยยิ้มที่คลี่อยู่ที่ริมฝีปากของลี่เฉินซีก็ยิ่งกว้างมากยิ่งขึ้น สิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ในดวงตา ทำให้คนคาดเดาได้ยาก
“สามารถบีบคั้นคนให้ไปสู่หนทางตายได้ ก็ถือได้ว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เหรอครับ?”
“……”
เจี่ยงเวินอี๋หมดคำพูดแล้วจริง ๆ และอึดอัดไปเนิ่นนาน “ลูกไม่ได้อยากจะหย่ากับเธอ ใช่ไหม?”
“การแต่งงานมันเป็นเรื่องของผม ไม่ว่าจะหย่าหรือไม่หย่า ผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง” ท่าทีของลี่เฉินซีแสดงออกชัดเจน สิ่งที่เขาไม่ชอบมาตลอดก็คือ การโดนคนอื่นควบคุม
และถึงแม้จะเป็นแม่แท้ ๆ ก็ไม่ได้
และยิ่งไปกว่านั้น อย่างเรื่องแต่งงานนี้ถ้าตัวเองยังไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ยังจะถือว่าเป็นลูกผู้ชายอะไรกัน!
“ก็เพราะว่าแกเป็นคนตัดสินใจเอง เพราะฉะนั้นฉันถึงได้มาหาแกเจรจาไง ไม่ว่าจะยังไง การแต่งงานนี้ก็จะต้องหย่าให้ได้!” เจี่ยงเวินอี๋พูดขึ้นเสียงเย็นขรึมต่ำ แล้วอยู่ ๆ ก็ยื่นคำขาดด้วยแววตาที่แน่วแน่
ลี่เฉินซีค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สายตาที่แหลมคมกวาดตามองไปที่ทนายที่อยู่ข้างหลังเจี่ยงเวินอี๋ แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบประโยคหนึ่งว่า “นี่คุณรับเงินของใคร และทำงานให้ใครกัน?”
ทนายมองดูเขาทีหนึ่ง ในใจก็สั่นขึ้นทีหนึ่ง แล้วก็ก้มหัวลงอย่างขี้ขลาด และพูดขึ้นเสียงเบาว่า “แน่นอนว่าก็ต้องทำงานกับคุณ ท่านประธานลี่อยู่แล้วครับ!”
“งั้นไม่มีเรื่องอะไรของคุณแล้ว ออกไปได้!” ลี่เฉินซีออกคำสั่งอย่างเสียงเย็นชา
ทนายอึ้งไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง จึงทำได้เพียงก้มหัวลงทำความเคารพให้เจี่ยงเวินอี๋ แล้วก็หมุนตัวออกจากห้องทำงานไป
“แก……นี่แกจะทำให้ฉันโมโหตายอยู่แล้ว! ก็แค่คนใบ้อย่างนั้นคนหนึ่ง และก็ยังไม่มีความสามารถอะไร ไม่มีอะไรเหมาะสมที่จะเป็นผู้หญิงของแกเลยสักนิด แกยังจะเอามาเป็นหัวแก้วหัวแหวนอีก น่าจะเตะออกจากตระกูลลี่ของเราไปได้ตั้งนานแล้ว!”
เจี่ยงเวินอี๋มีความไม่พอใจอยู่เต็มอก แล้วก็พร่ำบ่นไปอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นถึงได้สะบัดเสื้อจากไปอย่างโกรธเคือง
จากบริษัทตรงกลับไปที่บ้านตระกูลลี่ เจี่ยงเวินอี๋หน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา ไฟโกรธที่อยู่เต็มอกรอที่ระบาย พอรถเพิ่งจะจอดลงตรงลานจอดรถ เธอก็รีบผลักประตูเปิดออกไปและลงจากรถอย่างรวดเร็ว
“ซูย้าวล่ะ?” พอเห็นแม่บ้านก็โยนประโยคคำถามออกไปประโยคหนึ่งเลย
แม่บ้านรีบตอบว่า “น่าจะอยู่ชั้นบนมั้งค่ะ! ตลอดทั้งคืนยังไม่เห็นคุณผู้หญิงลงมาจากตึกเลยค่ะ”
เจี่ยงเวินอี๋ก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนตึก สีหน้าบึ้งตึง ความโกรธราวกับฟ้าผ่าแค่แตะโดนก็จะระเบิดออกมาได้ เธอผลักประตูห้องนอนเปิดออก แล้วในห้องก็ว่างเปล่าไม่มีใครสักคนเลย
เธออึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็หมุนตัวออกไปตามหาในห้องพักแขกห้องอื่นอีก
ห้องสิบกว่าห้องบนชั้นสอง พอผลักประตูเปิดออก ทุกห้องก็ว่างเปล่า ไม่มีคนสักคน
เจี่ยงเวินอี๋รู้สึกสงสัย ทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยงต่างก็วิ่งขึ้นมาด้วย พอเห็นภาพแบบนี้เข้า ก็ต่างคนต่างมองหน้ากัน “พวกเราไม่เคยเห็นคุณผู้หญิงออกนอกประตูเลยนะ!”
“คุณผู้หญิงอยู่กับนายน้อยตลอดเลยนี่ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน?”
แค่คำว่า‘นายน้อย’คำเดียว ก็ปลุกเจี่ยงเวินอี๋ตื่นขึ้นมาในทันที
เธอรีบร้อนพุ่งไปที่ห้องเด็กอ่อน พอเปิดประตู บนเตียงเด็กอ่อนนั้นว่างเปล่าไม่เหลืออะไร แม้แต่ผ้าห่มผืนเล็กที่ใช้ห่อตัวเด็กอ่อนก็หายไปด้วย!
“แย่แล้ว!”
เจี่ยงเวินอี๋รีบเดินลงไปจากชั้นบน พอมองเห็นประตูหลังของคฤหาสน์เปิดอยู่ ก็ตกใจจนตัวสั่นขึ้น และถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เธอรู้สึกแต่เพียงว่าในหัวสมองเกิดความวิงเวียนขึ้นมาเป็นระลอก จนเกือบจะเป็นลมล้มพับไปแล้ว
แม่บ้านรีบร้อนเข้ามาช่วยพยุงไว้ แต่กลับโดนเจี่ยงเวินอี๋ผลักออกทีหนึ่งอย่างรังเกียจ “รีบไปโทรศัพท์บอกกับเฉินซีเลย บอกว่าคนใบ้คนนั้นลักพาตัวเด็กไปแล้ว ให้เขาระดมคนทั้งหมดที่มีออกมา จะต้องตามหาตัวเด็กให้เจอให้ได้……”
“เร็ว ๆ เข้า!”
เจี่ยงเวินอี๋รีบเร่งอยู่ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก็กลับไปนั่งลงที่โซฟาด้วยขาทั้งสองข้างที่ไม่ค่อยมั่งคง “ยัยซูย้าวคนนี้ กล้าลักพาตัวหลานของฉันเชียวเหรอ ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ เลย! นี่มันตัวอะไรกันนี่!”
พี่เลี้ยงยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง มีคำพูดประโยคหนึ่งวนเวียนอยู่ในปาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมายังไง
เป็นอย่างนี้ไปสักพัก พี่เลี้ยงถึงได้พยายามใช้ความกล้าพูดออกไปประโยคหนึ่ง “คุณนาย คุณใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ คุณผู้หญิงอาจจะแค่พานายน้อยออกไปเดินเล่นหรือเปล่าคะ?”
“เดินเล่นอะไรกัน เขาจะต้องไม่อยากหย่าแน่ ๆ ถึงได้ตั้งใจลักพาตัวหลานฉันไป แผนการของผู้หญิงคนนี้ ทำไมฉันถึงได้ลืมจุดนี้ไปได้นะ? จริง ๆ เลย!”
ภายในภาพความทรงจำของเจี่ยงเวินอี๋นั้น ซูย้าวก็คือผู้หญิงเลวที่ชั่วช้าถึงขีดสุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย ๆ อะไร ก็สามารถเอามาเกี่ยวข้องกับตัวเธอได้
พี่เลี้ยงได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี จึงได้แต่ไปชงชาที่ห้องครัว
ซูย้าวนั้นได้พาลูกออกมาจริง ๆ แต่ว่าไม่ได้เป็นการหลบหนี
นี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ และเธอก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของลี่เฉินซี นี่ก็พูดไม่ได้ว่าเป็นการหลบหนี
ฝีมือและความสามารถของเจี่ยงเวินอี๋นั้น เธอก็รู้ดี เซ็นชื่อลงในใบหย่านั้นไม่เท่าไหร่ แต่ว่าสิทธิ์ในการปกครองลูกนั้น จะเป็นยังไงล่ะ?
ซูย้าวไม่สามารถแยกจากกับเจิ้งเอ๋อได้ ความเจ็บปวดของการพลัดพรากกับเลือดเนื้อนั้น เธอไม่อยากจะลิ้มลอง
การพาลูกออกมาก่อน ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว
แต่ว่าพออุ้มเจิ้งเอ๋อออกมายืนอยู่ข้างถนนแล้ว เธอก็ว้าวุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ควรจะไปที่ไหนล่ะ? โลกที่กว้างใหญ่ แต่กลับไร้ที่ซึ่งที่จะให้พวกเขาแม่ลูกได้อยู่กันอย่างสงบ
จ้องมองเด็กทารกน้อยที่อยู่อ้อมอก เจิ้งเอ๋อยังคงจ้องมองเธออยู่ มีฟันน้ำนมซี่ไม่ใหญ่มากโผล่ออกมาซี่หนึ่ง ที่มุมปากคลี่ยิ้มกว้างอยู่ ท่าทางที่ดูไร้เดียงสาสะอาดบริสุทธิ์และไร้มลทิน ทำให้ซูย้าวดูมีท่าทีที่หวั่นไหวตามไปด้วย
เธอหอมแก้มเล็ก ๆ นั้นของลูก ในใจก็รู้สึกทอดถอนใจไปด้วย ยังไงก็ไปหาเขาก่อนดีกว่า!
ไม่ว่ายังไง เขาก็เป็นพ่อของเจิ้งเอ๋อ น่าจะดูแลพวกเขาสองคนแม่ลูกได้อยู่ละมั้ง!
ซูย้าวยึดตามความคิดนี้ แล้วก็โบกรถมาถึงหน้าบริษัทลี่ซื่อ
ยังไม่ทันได้ลงจากรถ ก็สามารถมองเห็นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตานั้นได้จากที่ไกล ๆ ดูสูงโปร่งและสง่างาม ทั้งตัวสวมใส่ชุดสูทสีดำเอาไว้ อยู่ภายใต้การห้อมล้อมของผู้คน เป็นดั่งดวงจันทร์ที่มีดวงดาวมากมายห้อมล้อม หล่อเหลาและโดดเด่น
ชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา ราวกับเดินออกมาจากหนังสือการ์ตูนยังไงอย่างงั้น จนทำให้คนยากที่จะละสายตาไปที่อื่นได้
เธอกำลังจะอุ้มลูกลงจากรถ แต่ว่าไม่รู้ว่าทำไม อยู่ ๆ ที่ข้างหูก็มีเสียงหวาน ๆ ของผู้หญิงดังขึ้นมา จนทำให้การกระทำของซูย้าววุ่นวายไปหมด
“เฉินซี……”
หานฉ่ายหลิงลงมาจากรถอีกคันหนึ่ง ใส่ชุดกระโปรงพลิ้วไหวไว้ทั้งตัว ดูสวยงามราวกับนางฟ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์ ถ้าไปเดินอยู่เคียงข้างเขา จะต้องดูเหมาะสมกันอย่างเป็นธรรมชาติแน่นอน
ชั่ววินาทีนั้น ในใจเหมือนกับว่าโดนมีดคมเชือดเฉือน เจ็บจนถึงขีดสุด จนไม่มีทางที่จะบรรยายออกมาจากปากได้