เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 102
บทที่ 102 ไกลได้แค่ไหน ก็ไสหัวไปให้ไกลเท่านั้น
ตึกสูงใหญ่ระฟ้าที่ใหญ่โตมโหฬาร ตั้งอยู่ในตำแหน่งใจกลางเมืองที่คึกคักที่สุดของเมือง A และเป็นทำเลทองอย่างแน่นอน และบริษัทลี่ซื่อ ก็ตั้งตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ที่นี่
ซูย้าวอุ้มลูกมานั่งอยู่ในร้านกาแฟละแวกใกล้ ๆ นี้ตลอดทั้งช่วงสาย นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ชิดหน้าต่าง ที่พอดีกับสามารถมองเห็นประตูหน้าของบริษัทลี่ซื่อได้ ขอแค่เขาเดินออกมา เธอก็จะสามารถมองเห็นได้ทันที
มีหานฉ่ายหลิงอยู่ด้วย เธอก็จะรู้สึกแต่ความอึดอัด และยิ่งไม่อยากจะเอาเรื่องที่ตัวเองตกอยู่ในที่นั่งลำบาก มาพูดให้คนอื่นฟังด้วย
อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่เล็กน้อยระหว่างซูย้าวและหานฉ่ายหลิง และบวกกับด้านที่ดีงามอีกด้านหนึ่งของหญิงสาว จึงมักจะทำให้ซูย้าวไม่มีที่ให้อยู่ ความรู้สึกแบบนั้น มันไม่มีทางที่จะบรรยายออกมาได้
ไม่รู้ว่าการแต่งงานในครั้งนี้ จะมาถึงทางตันแล้วหรือไม่ แต่ว่าซูย้าวก็แค่อยากจะรักษาศักดิ์ศรีอันน้อยนิดอย่างสุดท้ายของตัวเองไว้เท่านั้น
ขอแค่สามารถหลีกเลี่ยงหานฉ่ายหลิงได้ ก็พอแล้ว
ดื่มกาแฟไปแก้วแล้วแก้วเล่า เวลาก็ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า แต่ว่าก็ยังไม่เห็นลี่เฉินซีเดินออกมาจากบริษัทอีก และก็ไม่เห็นเงาร่างของหานฉ่ายหลิงอีกด้วย
เจิ้งเอ๋ออยู่ในอ้อมอกของเธอมาตลอดทั้งช่วงสายแล้ว ก็อึดอัดจนเริ่มจะไม่สบายตัวแล้ว และเจ้าตัวเล็กก็เริ่มอยู่ไม่สุข ขยุกขยิกคว้าลำคอของซูย้าวเอาไว้ และกะพริบตาโต ๆ ที่สีขาวดำแบ่งกันชัดเจนนั้นอยู่ ท่าทางดูน่าสงสาร จนทำให้เธอรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
ลูกอยากจะออกไปเล่น ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่อง
เธอมองดูเวลาทีหนึ่ง พอเห็นว่าถึงเวลาเที่ยงแล้ว ก็เลยอุ้มเจิ้งเอ๋อไปที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ แถวนี้ แล้วก็หาที่สักแห่งป้อนนมให้ลูกด้วยเลย
เจิ้งเอ๋อยังเด็ก และยังไม่ได้หย่านม ทุกวันก็จะกินนมแม่ของซูย้าว และก็ยังจะกินผลไม้และโจ๊กอาหารเสริมด้วยเล็กน้อยเพิ่มด้วย
เป็นแค่อาหารเสริมในปริมาณน้อย แต่ว่าเธอก็ได้เตรียมไว้ให้ลูกเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้เป็นห่วงมาก
แค่แป๊บเดียวก็ไปประมาณสองชั่วโมงแล้ว พอเจิ้งเอ๋อกินอิ่ม ก็เริ่มง่วงแล้ว และนอนอยู่ในอ้อมอกของซูย้าวอย่างมีความสุข
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนลูกชาย เธอจึงไม่ผ่อนฝีเท้าลงไม่ได้ และยังจะต้องกางร่มไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกโดนแดดส่องโดน
กว่าจะมาถึงหน้าประตูของบริษัทลี่ซื่อได้อย่างยากลำบาก และกำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าไปรอข้างในดีไหม และยังสามารถให้ลูกได้รับการดูแลที่ดีขึ้นหน่อย ไม่งั้นอากาศที่ร้อนขนาดนี้ ถ้าหากว่าเจิ้งเอ๋อตากแดดจนไม่สบายเข้าจะทำยังไงล่ะ?
ในตอนที่ซูย้าวกำลังลังเลอยู่นั้น ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ ก็มีเงาร่างอ่อนช้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างในบริษัท และกำลังจะเดินตรงไปที่รถคันสีแดง แต่กลับมองเห็นสองแม่ลูกที่อยู่ที่มุมมุมหนึ่งเข้า
“ฉันยังนึกว่าเป็นใครกัน? ที่แท้ก็เป็นคุณผู้หญิงลี่ผู้มีเกียรตินี่เอง!”
ซูหยวนเดินจากที่ไกลเข้ามาใกล้ ทั้งตัวแต่งชุดกระโปรงสีอ่อนเอาไว้ และสวมใส่รองเท้าส้นสูงสิบกว่าเซนติเมตรเอาไว้ แล้วก็เดินบิดเอวที่เหมือนกับงูน้ำของเธอเข้ามาใกล้
เธอมองดูเด็กเล็กที่อยู่ในอ้อมอกของซูย้าวทีหนึ่ง แล้วก็ยิ้มขึ้นเสียงเย็นทีหนึ่ง “ทำไมถึงอุ้มลูกมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? เป็นถึงคุณหนูรองของตระกูลซู และคุณผู้หญิงของตระกูลลี่ ทำไมถึงได้อุ้มลูกและตกอับอยู่ข้างถนนแบบนี้ได้ล่ะ?”
“ดูท่าทางของเธอแบบนี้ ถ้าหากว่าไม่ได้ดูดี ๆ แล้ว ยังนึกว่าเธอเป็นขอทานที่มาขอทานอยู่ข้างถนนซะอีก! หือ หือ……”
ฝีปากของซูหยวนไม่เคยปรานีใคร คำพูดหยาบคายและไม่เกรงใจคน พูดจาถากถางสอดเสียดคนไปชุดหนึ่ง ราวกับว่าจะเอาไฟโกรธที่อยู่ในใจระบายออกมาให้หมด
เพราะว่ารู้จักนิสัยของเธอมานานแล้ว เพราะฉะนั้นซูย้าวจึงกะว่าจะไม่สนใจเธอ เพียงแต่จะอุ้มลูกแล้วหมุนตัว และอยากจะไปโรงน้ำชาละแวกใกล้ ๆ นี้
“อ๋อ ฉันนึกออกแล้ว!”
ยังไม่ทันที่จะรอให้ซูย้าวได้หมุนตัวเลย ที่ข้างหลังก็มีเสียงแหลมของซูหยวนลอยมา แล้วอยู่ ๆ เสียงก็สูงขึ้น จนทำให้คนตกใจ
ในตอนที่ซูหยวนพูด ก็ก้าวเดินเข้ามาข้างหน้าอีกหลายก้าว เสียงหัวเราะที่เย็นชาและดูถูกลอยมาไม่หยุด “ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคุณผู้หญิงลี่ผู้ทรงเกียรติทำไมถึงได้ตกอับมาจนถึงวันนี้ได้! เพราะว่าเธอใจไม้ไส้ระกำ ลงมือโหดเหี้ยมกับคนในครอบครัวตัวเอง ผู้หญิงที่โหดเหี้ยมอย่างเธอ ตระกูลลี่ก็คงจะไม่มีทางเอาเธอไว้แล้วละซิ!”
คำพูดเหมือนกับเป็นมีดคมที่อ่อนนุ่ม คอยทิ่มแทงใจของซูย้าวตามความต้องการของซูหยวนอยู่ เธอยังสนุกกับมันอย่างไม่เหนื่อยหน่าย “นี่มันสมน้ำหน้าแล้วจริง ๆ! ผู้หญิงชั่วที่ทั้งชั้นต่ำและโหดร้ายอย่างเธอ ก็สมควรที่จะให้คนเป็นพันมาข่มขี่คนเป็นหมื่นมาย่ำยีแล้ว! อย่างเธอตกนรกไปสิบแปดชั้นก็ยังไม่พอเลย!”
สายตาหันไปตกที่เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของซูย้าว แล้วเธอก็หัวเราะเย็น ๆ ขึ้นทีหนึ่ง “ยังมีเด็กนอกคอกที่เธอคลอดออกมานี้ด้วยสมน้ำหน้าที่มันมาเจอกับแม่ที่ชั่วร้ายอย่างเธอเข้า แล้วก็สมน้ำหน้าที่จะต้องมารับโทษไปพร้อมกับเธอด้วย!”
ในทุกคำพูดของทุกประโยคนั้น ล้วนแฝงไว้ด้วยความโกรธเคืองและเกลียดชังของซูหยวนอยู่ ราวกับว่าจะเชือดเฉือนเนื้อของซูย้าวไปเป็นพัน ๆ ชิ้นในพริบตา แต่ก็ยังไม่สามารถระบายความเกลียดในใจออกมาได้หมด
ซูย้าวอุ้มลูกอยู่ จึงไม่มีทางใช้ภาษามือได้ และที่สำคัญเธอกลัวว่าจะทำให้เจิ้งเอ๋อตื่นขึ้นมา จึงไม่อยากจะสนใจเอามาก ๆ และไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ต่อแล้ว จึงอุ้มลูกไว้แล้วอยากจะจากไป แต่กลับโดนซูหยวนสกัดเอาไว้อีกครั้ง…….
“เธออุ้มลูกมาทำอะไรที่นี่? คงจะอยากจะมาหาพี่เฉินซีล่ะซิ!” ซูหยวนก้าวมาข้างหน้าอีกครั้ง นิ้วมือดึงรั้งเสื้อยืดของซูย้าวเอาไว้ เพื่อไม่ให้เธอจากไป
สายตาที่ซูย้าวมองเธออยู่นั้นช่างเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าในแววตามีความไม่พอใจชัดเจนขึ้นมา
“อย่ามัวแต่ฝันอยู่เลย! เมื่อกี้ฉันกินข้าวกับพี่เฉินซีบนตึกแล้ว เขาพูดแล้วว่า ครั้งนี้จะต้องหย่ากับเธอแน่ ๆ และจะไม่มีทางเอาผู้หญิงที่ชั่วร้ายแบบเธออีกแล้ว แล้วก็ยังมีลูกนอกคอกที่เธอคลอดออกมาอีก เขาก็จะไม่มีทางเอาด้วยเหมือนกัน!”
เสียงดังอยู่ในหู ซูย้าวก็นิ่งอึ้งไป
ถ้าหากจะพูดว่าหย่า เธอสามารถเชื่อได้ว่าลี่เฉินซีจะต้องยินยอม
แต่ว่าลูกชาย เขาก็จะไม่เอาด้วยเหรอ?!
ซูย้าวอึ้งไปเล็กน้อย แล้วมือที่อุ้มลูกอยู่ ก็กดหน้าจอโทรศัพท์ให้สว่างขึ้น
“รีบพาลูกนอกคอกของเธอจากไปซะเถอะ! ไสหัวไปได้ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ทางที่ดีที่สุดชาตินี้ก็อย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าพี่เฉินซีอีก! เธอและเด็กคนนี้ มีแต่จะทำให้เขารู้สึกอยากจะอ้วก!”
ซูหยวนพูดขึ้นไม่หยุด ราวกับว่าจะเอาไฟโกรธที่มีอยู่ในใจทั้งหมดระเบิดออกมา และในที่สุดก็ถือได้ว่าหาโอกาสที่เหมาะสมได้แล้ว
จ้องมองเธอ บนใบหน้าที่ราบเรียบของซูย้าวนั้นเหมือนมีปฏิกิริยาขึ้นมาน้อยมาก เพียงแต่แค่อุ้มลูกไว้แล้วหมุนตัวไปอย่างสง่างาม และก็จากไปอย่างไม่อยากจะอยู่ต่อเลยแม้แต่น้อย
ซูหยวนจ้องมองแผ่นหลังของเธอ แล้วหือเสียงเย็นอย่างดูถูกแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ขับรถสปอร์ตสีแดงสดแล้วก็จากไปเลย
ในขณะที่เธอไม่รู้เรื่อง คำพูดไม่กี่ประโยคสุดท้ายที่เธอพูดมาเมื่อกี้นั้น ได้โดนซูย้าวกดบันทึกไว้ในโทรศัพท์หมดแล้ว แล้วก็จัดเก็บไฟล์เสียงไว้ในเอกสารส่วนตัวแล้ว
ถ้าหากว่าการหย่าต้องรวมไปถึงปัญหาเรื่องสิทธิ์ในการปกครองบุตร คำพูดทุกคำที่ซูหยวนพูดไว้เมื่อกี้ ก็จะสามารถเอามาเป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถยืนยันได้ทั้งหมดว่าลี่เฉินซีทอดทิ้งลูกแล้ว แต่ว่าอย่างน้อย ก็ยังพอยืนยันได้บ้าง
ถ้าหากว่าการหย่า จะต้องไปถึงขั้นขึ้นศาลจริง ๆ แล้วละก็ เมื่อเธอเทียบกับเขาแล้ว ก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเพื่อลูกแล้ว สามารถเก็บเกี่ยวได้นิดหน่อยก็คือนิดหน่อยแหละ!
เพียงแต่ว่า เขาจะยอมทอดทิ้งแม้แต่ลูกคนนี้เลยจริง ๆ เหรอ?
ซูย้าวคิดไปคิดมา ยืนคิดคร่ำครวญอยู่ข้างถนน แล้วมองไปที่ไกล ๆ เมืองใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไร้ที่ให้ตัวเองและลูกได้อยู่อาศัยอย่างสบายใจได้
เฮ้อ นี่มันช่างน่าเศร้าจริง ๆ เลย!
ในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็มีรถแอสตันมาร์ตินสีดำคันหนึ่งมาจอดลงที่ข้างทาง แล้วใบหน้าที่หล่อเหลามีเสน่ห์ร้ายกาจของเพ้ยส้าวอีก็โผล่เข้ามาในสายตาของเธอ และฝีเท้าของซูย้าวก็หยุดลงตามธรรมชาติ
“ทางบ้านตระกูลลี่ทำให้คุณลำบากอีกแล้วใช่ไหม!”
เพ้ยส้าวอีพูดขึ้นเสียงเรียบ และพิงพนักเก้าอี้ที่นั่งคนขับเอาไว้ แล้วสายตาก็กวาดมามองที่ลูกของเธอ “การอุ้มลูกออกมา เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดดี แต่ว่า เธอคิดดีหรือยังว่าจะไปที่ไหน?”
แววตาของซูย้าวขรึมลงเล็กน้อย ถ้าหากว่าเธอมีที่ไป ก็คงจะไม่ต้องอุ้มลูกมาตะลอนอยู่ข้างถนนเกือบจะทั้งวันแบบนี้หรอก
“จะมาที่ฉันก่อนไหมล่ะ? คุณต้องรู้ไว้นะ ว่าประตูใหญ่ของกรุ๊ปเพ้ยซื่อเรานั้น เปิดไว้เพื่อคุณตลอดเวลาเลยนะ!” เขาพูดขึ้น
ซูย้าวตกตะลึงจนเงยหน้าขึ้น แล้วพอดีกับที่มองเห็นรอยยิ้มที่สดใสของชายหนุ่ม รอยยิ้มที่อบอุ่น ราวกับฟ้าใสหลังฝนตก แสงแดดที่มีสีสันสว่างจ้าจนคนจ้องมองตรง ๆ ไม่ได้
เหมือนกับว่าจะดูความสงสัยในแววตาของเธอออก เพ้ยส้าวอีผลักประตูเปิดออกและลงจากรถ แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับออก และทำท่าทางว่าเชิญเธอขึ้นรถ พร้อมกับเปิดปากพูดขึ้นว่า “เชิญครับ! คุณ S